แก้ปัญหา‘ใจแผ่นดิน’
อุทยานตั้งด่าน-บุกบ้าน

กะเหรี่ยงบางกลอย แก่งกระจาน เพชรบุรี นัดเข้ากรุงวันนี้ร้องทุกข์ถึงนายกฯ แฉหลังกลับเข้าบ้านบางกลอยบนมีจนท.อุทยานตั้งด่าน 6 จุดกดดัน ขอตรวจเข้มคนขึ้นลงแถมบุกเข้าไปถ่ายภาพและรายละเอียดคนในหมู่บ้านทั้งหมด ระบุก่อนหน้าอุทยาน อ้างพบซากสัตว์ป่าโดยเหมารวมว่าเป็นฝีมือของชาวบ้าน เชื่อใช้วิธีกดดันไม่ให้นำอาหาร และข้าวของขึ้นไปได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เพิ่งตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหา แต่กลับมาลงมือกดดัน เตรียมร่วมกับภาคประชาชนเข้าทำเนียบ ร้องทุกข์ต่อนายกฯ ด้านภาคี #SAVEบางกลอย หวั่นสร้างสถานการณ์แล้วทำเหมือนปี 2554 ที่บุกเผาบ้าน ยุ้งฉาง ไล่ที่มาแล้ว

ความคืบหน้าปัญหากะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่กลับเข้าพื้นที่หลังถูกเจ้าหน้าที่รัฐขับไล่และเผาบ้านตั้งแต่ปี 2554 โดยภาครัฐตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย มีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เข้าร่วม แต่มีเจ้าหน้าที่บางส่วนพยายามสร้างปัญหาให้ชาวบ้านนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ก.พ. นายอภิสิทธิ์ เจริญสุข ชาวบ้านบางกลอย เปิดเผยว่า ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และชุดพญาเสือของกรม อุทยานฯ ตั้งด่านบริเวณทางขึ้นหมู่บ้านบางกลอยไว้ประมาณ 6 จุด

ชาวบ้านที่ต้องการผ่านทางต้องให้ลงชื่อโดยแสดงบัตรประชาชน และเขียนหมายเลขในบัตรประชาชน ขณะเดียวกันยังตั้งด่านจุดสกัดชาวบ้านที่อพยพขึ้น-ลง หมู่บ้านบางกลอยบน โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ขึ้นไปถ่ายรูปชาวบ้านที่อพยพขึ้นไปอยู่ข้างบนไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อมีชาวบ้านผ่านลงมาก็จะเอารูปที่ถ่ายไว้มาเปรียบเทียบกันว่าใช่เป็น คนเดียวกับที่อยู่ข้างบนหรือไม่ ซึ่งยังไม่รู้ว่าหากเป็นคนคนเดียวกันแล้วเจ้าหน้าที่จะทำอย่างไร

“วันนี้มีเจ้าหน้าที่อุทยานฯเข้าไปสำรวจหมู่บ้านว่าแต่ละบ้านมีชาวบ้านกี่คน แต่ชาวบ้านไม่มั่นใจในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เลยลังเลในการให้ความร่วมมือ เพราะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอุทยานฯ” นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่าการตั้งด่านทั้ง 6 จุด เป็นการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ อาจเพื่อต้องการตัดเส้นทางลำเลียงอาหารให้กับชาวบ้านบางกลอยโดยเฉพาะข้าว เพราะต้องการไม่ให้เรามีสิทธิในการทำกิน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ให้ข่าวไปว่าทางผู้บริหารจะเจรจากับชาวบ้าน แต่นี่ยังไม่มีการเจรจาใดๆ ก็ปฏิบัติการไปก่อน

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพยายามให้ข่าวเรื่องการลักลอบยิงสัตว์ป่า โดยโยงให้ถึงชาวบ้านบางกลอย จริงๆ ควรแยกแยะให้ชัดว่าใครทำผิด หากใครผิดก็ว่ากันไปตามผิด ไม่ใช่พูดแบบเหมารวมเพื่อให้ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านเป็นผู้ร้าย การใช้วิธีการแบบนี้มันแก้ปัญหาไม่ได้ ที่ผ่านมาชาวบ้านบางกลอยจะเข้าหรือออกหมู่บ้าน ต้องมีหนังสือรับรองจากอุทยานฯ ถ้าใครไม่มีหนังสือก็ไม่ได้ผ่าน ทำให้ชาวบ้านรู้สึกอึดอัดใจ เพราะไม่เคยมีการตรวจสอบลักษณะนี้มาก่อน ที่สำคัญคือชาวบ้านต่างรู้สึกกังวลและหวาดกลัวในสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจเช่นนี้ เพราะเราไม่มีอาวุธปืน แต่เจ้าหน้าที่ถืออาวุธปืน จึงเกิดความกลัว

“เจ้าหน้าที่แอบซุ่มทั้งกลางวันกลางคืน ทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวั่นไหวมาก เราไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่มีหน่วยงานใดให้คำแนะนำ มีแต่เจ้าหน้าที่กระทำกับชาวบ้าน ในวันที่ 15 ก.พ. ชาวบ้านบางส่วนจะเดินทางไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมสมทบกับพี่น้องกะเหรี่ยงและเครือข่าย เพื่อร้องเรียนกับนายกรัฐมนตรี เราอยากนำเรื่องราวที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ กระทำกับพวกเราไปบอกเล่าให้นายกฯและสาธารณชนรับทราบ” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ด้านนายพชร คำชำนาญ คณะทำงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย กล่าวว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านบางกลอยในตอนนี้รู้สึกไม่เป็นธรรม สะท้อนให้เห็นว่ากระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหา ทั้งๆ ที่ผ่านการเจรจาในเบื้องต้นร่วมกันมาแล้ว โดยคณะทำงานจะร่วมกันหาข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาและมีกำหนดการว่าในวันที่ 19 ก.พ. จะลงพื้นที่ร่วมกัน แต่การลงพื้นที่ของอุทยานฯ ที่เกิดขึ้น และอ้างว่าต้องการเก็บข้อมูลในวันนี้นั้น ไม่เกี่ยวกับคณะทำงานฯ เพราะเราตกลงกันว่าการลงพื้นที่ต้องให้ภาคประชาชนลงพื้นที่ด้วยกัน

วันเดียวกันภาคประชาชนในนามกลุ่มประชาชนผู้รักความเป็นธรรมและภาคี #SAVEบางกลอย ออกแถลงการณ์ระบุว่า จากกรณีพี่น้องกะเหรี่ยงบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เดินทางกลับบางกลอยบน- ใจแผ่นดิน ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังถูกอพยพโยกย้าย ถูกเผาบ้าน ยุ้งฉาง และตกหล่นจากกระบวนการเยียวยาโดยรัฐกว่า 25 ปี การกลับไปยังผืนดินบรรพบุรุษเป็นความชอบธรรมของชุมชนที่ต้องการยืนหยัดในการดำรงวิถีวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม และเป็นไปเพื่อปากท้อง ความอยู่รอด แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือชาวบ้านถูกข่มขู่ด้วยมาตรการทางกฎหมาย ปิดกั้นการขนส่งเสบียงอาหาร และมีความพยายามในการสื่อสารเพื่อลดความชอบธรรมในการกลับสู่ใจแผ่นดิน รวมถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงครั้งใหม่ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2554 ในยุทธการตะนาวศรี

แถลงการณ์ระบุว่าจนถึงวันนี้การแก้ปัญหาของชาวบ้านบางกลอยไม่มีความคืบหน้า รวมถึงมีสถานการณ์ความตึงเครียดในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก สืบเนื่องจากเหตุการณ์การสนธิกำลังกันของเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปในพื้นที่บ้านบางกลอย เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ส่วนยุทธการด้านป้องกันและปราบปราม หน่วยเฉพาะกิจพญาเสือ และทหารรบพิเศษที่ 1 แก่งกระจาน

“เรามีความห่วงกังวลต่อปฏิบัติการที่เกิดขึ้น เราเห็นว่าการดำเนินการเช่นนี้ของเจ้าหน้าที่รัฐคือการข่มขู่ คุกคาม และละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ลักษณะไม่ต่างจากการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การดำเนินการเช่นนี้อาจนำไปสู่การกระทำรุนแรง ทั้งโดยการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายที่เข้มข้น และการสนธิกองกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปใช้ความรุนแรงกับชาวกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน ดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วในเหตุการณ์ยุทธการตะนาวศรี เมื่อปี 2553-2554” แถลงการณ์ระบุ

ในแถลงการณ์ระบุอีกว่า เรายืนยันว่าการแก้ไขปัญหากะเหรี่ยงบางกลอยต้องใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ เป็นหลักการสำคัญในการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการสำรวจรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวบางกลอยอย่างละเอียดรอบด้าน อาทิ การจัดสรรที่ดิน การพัฒนาคุณภาพชีวิต การอพยพโยกย้ายชุมชนอย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับชาวกะเหรี่ยงบางกลอยที่ประสบความเดือดร้อนอย่างแท้จริง โดยในระหว่างนี้เจ้าหน้าที่รัฐต้องมีบทบาทในการสนับสนุนกระบวนการทำงานแก้ไขปัญหา มิใช่กระทำการกดดัน สร้างความหวาดกลัว อันถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างร้ายแรง เดินหน้ากดทับและลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพี่น้องชาติพันธุ์ ไม่จบสิ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน