ยันไม่ใช่นอมินี
พท.ชี้ม.44มิชอบ
จี้คืนยุติธรรม‘ปู’

พปชร.ส่อวุ่นอีก สามมิตรผนึกสุชาติ ตั้งกลุ่ม 4 ว.รัฐมนตรีว่าการ สกัดก๊วน 4 ช.รัฐมนตรีช่วยก๊กธรรมนัสรวบอำนาจในพรรค เกรงกระทบปรับครม.ครั้งหน้า โพลชี้ คนกทม.ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครเป็นผู้ว่าฯ แต่ ‘ชัชชาติ’ คะแนนนำ ‘บิ๊กแป๊ะ’ เปิดใจลงสมัครในนามอิสระ เผย ‘บิ๊กป้อม’ โทรศัพท์มาชวน เมินถูกมองเป็นนอมินีพปชร. ด้าน ‘ไพบูลย์’ ลั่นพปชร. เป็นผู้นำแก้รธน.เพื่อประชาชน เย้ยเพื่อไทย มีแต่วาทกรรมสวยหรู ก้าวไกลเดินหน้าแก้รายมาตรา คู่ขนานกับการตั้งส.ส.ร. เมินแก้ม.144 หวั่นเปิดช่องส.ส.ทุจริตงบประมาณ ปชป. จ่อเสนอแก้ 6 ฉบับ ย้ำต้องตัดอำนาจส.ว.เลือกนายกฯ-แก้ม.256 ‘ภูมิธรรม’ อัด ‘บิ๊กตู่’ ใช้ ม.44 โดยมิชอบ จี้คืนความเป็นธรรมให้ ยิ่งลักษณ์ ‘เบญจา’ ส.ส.ก้าวไกล โดนหมายเรียกคดีหมิ่นประมาท ปมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘บิ๊กตู่’

‘ชัชชาติ-บิ๊กแป๊ะ’ติดโผผู้ว่าฯกทม.

วันที่ 4 เม.ย. ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจ เรื่อง “อยากได้ใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 2” ระหว่างวันที่ 31 มี.ค.-2 เม.ย. จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปและมีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น 1,316 หน่วยตัวอย่าง บุคคลที่ประชาชนจะเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. พบว่า ร้อยละ 32.67 ระบุยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 24.77 ระบุนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ร้อยละ 11.93 ระบุ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ร้อยละ 8.66 ระบุ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ร้อยละ 4.26 ระบุเป็นผู้สมัครจากคณะก้าวหน้า หรือพรรคก้าวไกล ร้อยละ 3.95 ระบุเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 2.89 ระบุน.ส.รสนา โตสิตระกูล ร้อยละ 2.81 ระบุเป็นผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 2.20 ระบุเป็น ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.59 ระบุเป็น นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ร้อยละ 1.52 ระบุไปลงคะแนน ไม่เลือกใคร (โหวตโน) และร้อยละ 2.75 ระบุอื่นๆ ได้แก่ นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครจากพรรคไทยสร้างไทย นายกรณ์ จาติกวณิช นางนวลพรรณ ล่ำซำ และจะไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

เมื่อเปรียบเทียบกับอยากได้ใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 1 เดือนมี.ค.2564 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย น.ส.รสนา ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ และนายสุชัชวีร์ มีสัดส่วนลดลง ขณะที่ผู้ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ นายชัชชาติ พล.ต.อ.อัศวิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ และไปลงคะแนนไม่เลือกใคร มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น

บิ๊กป้อมส่ง‘ธรรมนัส’คุมเลือกตั้ง

รายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้า พปชร. เรียกร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ส.ส.กทม. ผู้สมัครส.ก. และผู้สนับสนุนพรรค ประมาณ 30 คน เข้าร่วมประชุมอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เพื่อเตรียมความพร้อม และกำหนดแนวทางทำงานเพื่อสนับสนุน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในนามอิสระ โดยมอบให้ร.อ.ธรรมนัส จะเป็นผู้รับผิดชอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในที่ประชุม ร.อ.ธรรมนัส กล่าวยืนยันว่าพร้อมสนับสนุนปัจจัยทุกด้านอย่างเต็มที่ แต่มีบางประเด็นที่ ผู้เข้าร่วมประชุมบางส่วนเกิดความไม่สบายใจ เนื่องจากเป็นรูปแบบที่เหมาะกับการทำการเมืองในพื้นที่ต่างจังหวัดมากกว่าในพื้นที่กทม. และอาจสุ่มเสี่ยงถูกร้องเรียน จนอาจถูกใบเหลืองหรือใบแดงได้ แต่ไม่ได้ท้วงติงเนื่องจาก พล.อ.ประวิตรเห็นด้วยกับร.อ.ธรรมนัส

กลุ่ม 4 ช.ดัน‘ธรรมนัส’นั่งเลขา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเร็วๆ นี้ พล.อ. ประวิตรจะเรียกประชุมกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เพื่อกำหนดวาระการประชุมเลือก กก.บห.ชุดใหม่ แทนนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รวมถึงกำหนดแนวทางพิจารณาคัดเลือกเลขาธิการ พปชร.คนใหม่ แทนนายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค จะขอนั่งเลขาธิการพรรคเอง จากเดิมสนับสนุนนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง เพราะต้องการทำงานใกล้ชิดพล.อ.ประวิตร มากขึ้น และคาดหวังว่ากลุ่ม 4 ช. ประกอบด้วย ร.อ.ธรรมนัส นายสันติ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม รวมทั้ง นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล จะเข้ามาควบคุมอำนาจในพรรคอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อส่งผลไปถึงการปรับครม.ในครั้งต่อไป แต่ภาพและสไตล์การทำงานแบบแบ่งฝ่ายของร.อ.ธรรมนัส ยังไม่เป็นที่ยอมรับจาก ส.ส.กลุ่มอื่น แม้จะมีผลงานการคุมเลือกตั้งซ่อมหลายพื้นที่

3 มิตรผนึกสุชาติขวางรวบอำนาจ

ขณะที่กลุ่มสามมิตร ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และนายอนุชา ที่มีประสบการณ์ทางการเมือง และเป็นที่ยอมรับของส.ส. ทั้งในและนอกพรรคมากกว่า ล่าสุดจับมือนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เข้ามาเป็นพันธมิตร ร่วมกันทำงานในนาม “กลุ่ม 4 ว.” โดยจะสนับสนุนให้นายอนุชา เป็นเลขาธิการพรรค ตามเดิม หรือหากจำเป็นจะสนับสนุนนายสมศักดิ์ ให้นั่งเลขาธิการพรรค แทน เพื่อไม่ให้กลุ่ม 4 ช.รวบอำนาจในพรรคกลุ่มเดียวเนื่องจากหากปล่อยให้เป็นไปตามแผนของกลุ่ม 4 ช. การปรับ ครม.ครั้งหน้าอาจจะได้รับผลกระทบต่อการทำหน้าที่ได้

‘จักรทิพย์’ยันลงในนามอิสระ

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. กล่าวถึงการลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ว่า การตัดสินใจมีองค์ประกอบหลายอย่าง ยอมรับว่ามีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน โดยพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและหัวหน้าพปชร. ได้โทรศัพท์มาบอกว่า ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็น่าจะไปลงผู้ว่าฯกทม. ซึ่งตนคิดว่าจะลงในนามอิสระแน่นอน ซึ่งเราร่างแผนไว้หมดแล้ว ส่วนที่ถูกมองว่าเป็นนอมินีของพปชร. นั้น ขอถามว่าคนที่จะลงเป็นคู่แข่งกับตน จะบอกคนกทม.อย่างไรว่าไม่ใช่นอมินีของพรรคนั้น พรรคนี้ และในอนาคต ตนอาจจะอยู่พรรคไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ขอลงผู้ว่าฯกทม.ในนามอิสระแน่นอน

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวต่อว่า ในฐานะอดีตนายตำรวจเก่า รู้ถึงปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ถ้าได้เป็นผู้ว่าฯกทม. ก็เปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวที่จะทำอย่างไรให้พี่น้องดีขึ้น ให้บ้านหลังนี้ดีขึ้น ฉะนั้น หลักคือจะต้องมี 4 เสาหลัก โดยมีตนเป็นเสาเอก คืน 1.เรื่องความจริงใจ 2.ประสบการณ์ความรู้วิสัยทัศน์ที่จะนำมาใช้ในบ้านหลังนี้ 3.รับฟังปัญหาของทุกคนจากทุกองค์กร และ4.การซื่อสัตย์ สุจริต และโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งนี้ บางคนบอกว่าไม่กลัวจะถูกมองว่าเป็นนอมินีหรือ เพราะรู้จักกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร แต่ตนอยากบอกว่าคนที่อยู่พรรคเดียวกันคนละพวกก็เยอะ พวกเดียวกันคนละพรรคก็มี สำหรับตนมีแต่พรรคพวก

พปชร.ลั่นขอเป็นผู้นำแก้รธน.

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้า พปชร. กล่าวกรณีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค เพื่อไทย (พท.) ระบุพปชร.ไม่จริงใจแก้รัฐธรรมนูญ แค่ต้องการลดแรงปะทะให้รัฐบาลว่า พปชร. จะยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 ประเด็น 13 มาตรา ต่อประธานรัฐสภา วันที่ 7 เม.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเห็นและเชื่อมั่นในความจริงใจและจริงจังของพปชร. ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์กับประชาชน เพิ่มสิทธิเสรีภาพ และแก้ไขปัญหาให้ ส.ส. ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้ และพปชร.จะเป็นผู้นำในการแก้ไขระบบเลือกตั้งให้ใช้บัตร 2 ใบ

เย้ยเพื่อไทยมีแต่วาทกรรม

นายไพบูลย์กล่าวว่า ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยังไม่ได้หารือกันอย่างจริงจัง ทั้งที่การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ หากพท.มัวแต่ใช้เวลาคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลดหรือแย่งอำนาจจากสมาชิกรัฐสภากลุ่มอื่น เพื่อมาเพิ่มอำนาจกลุ่มตนเอง สมาชิกรัฐสภากลุ่มที่ถูกลดหรือแย่งอำนาจ ย่อมมีสิทธิ์ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข จะสร้างความขัดแย้งในสังคม และพท.ไม่ยอมเสนอแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์กับประชาชนโดยตรงก่อน เพราะต้องการเอาประชาชนมาเป็นตัวประกันให้ได้ตามความต้องการของพวกตนก่อนใช่หรือไม่ ซึ่งประชาชนอยากเห็นการพูดจริงทำจริงเพื่อประชาชนอย่างพปชร.มากกว่า การที่พท.มีแต่คำพูดวาทกรรมสวยหรู แต่ไม่ทำอะไรจริงจังให้ประชาชน จึงหวังว่าพท.จะเร่งให้ความร่วมมือ ยื่นญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชนโดยเร็ว ไม่ควรใช้เวลานานอย่างที่เป็นข่าว

ค้านแก้ม.144 ชี้เปิดช่องทุจริต

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เเละรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงพปชร.เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ว่า ชัดเจนว่า รัฐบาลและส.ว.ไม่ต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เเต่อยากแก้รายมาตราโดยรัฐสภา ซึ่งเป็นประโยชน์กับเขามากกว่า พรรคก้าวไกลได้พูดคุยกันถึงรายละเอียดในร่างแก้ไขที่นายไพบูลย์ ออกมาเสนอ มีหลายประเด็นที่เราไม่เห็นด้วย เช่น การขอแก้มาตรา 144 ที่กำหนดไม่ให้ ส.ส.แปรญัตติงบประมาณ โดยอ้างว่าเพื่อส.ส.จะได้มีงบลงไปช่วยประชาชน แต่เรามองว่า เรื่องอำนาจในการช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ ควรมอบให้ท้องถิ่นเป็นสำคัญ ไม่ใช่ตัวส.ส. หากแก้ไขให้ส.ส.แปรญัตติงบได้จริง จะเปิดช่องให้เกิดการทุจริต คอร์รัปชั่น

นายพิจารณ์กล่าวต่อว่า พรรคจะเดินหน้าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะรายมาตราหรือทั้งฉบับ แต่อยากให้แก้ไขเรื่องต่างๆ เพื่อเพิ่มอำนาจประชาชน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ตัวเอง เหมือนเช่นกรณี ครม. มีมติเห็นชอบผ่านร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารนั้น มีปัญหามาก เพราะแทนที่จะแก้ไขให้เกิดการเปิดเผยข้อมูล แต่กลับแก้ไขเพื่อปกปิด

ชูโมเดลเลือกแบบสัดส่วนผสม

นายพิจารณ์กล่าวถึงการเสนอแก้ระบบเลือกตั้งกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบว่า ไม่อยากออกตัวว่าควรแก้หรือไม่ เพราะมีหลายฝ่ายมองว่า พรรคได้ประโยชน์จากการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว แต่ยอมรับว่าบัตรใบเดียวหรือระบบเลือกตั้งรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้เกิดรัฐบาลผสมไร้ประสิทธิภาพ มีสูตรคำนวน ส.ส.ที่ตลก เพราะคะเเนนแค่ 3-4 หมื่นก็ได้เข้าสภาแล้ว การจะแก้เรื่องบัตรเลือกตั้ง จะต้องคุยถึงรายละเอียดว่าจะแก้อย่างไร การกลับไปใช้บัตร 2 ใบ เเบบปี 2540 ก็ใช่ว่าจะสะท้อนเสียงประชาชนทั้งหมด ยกตัวอย่างในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยได้คะเเนนป๊อปปูลาร์โหวตเเบบเเบ่งเขต 44 เปอร์เซ็นต์ และได้ 48 เปอร์เซ็นต์ในเเบบบัญชีรายชื่อ แต่กลับได้ส.ส.ในสภา 57 เปอร์เซ็นต์ มันอาจจะไม่สะท้อนได้ดีพอ ฉะนั้น การกลับไปใช้บัตร 2 ใบเเบบปี 2540 ใช่ว่าจะดีกว่าปัจจุบันทั้งหมด

นายพิจารณ์กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมีการพูดถึงกรณีวงหารือของนักวิชาการที่ออกมาเเสดงความเห็นกับระบบการเลือกตั้ง ส.ส.แบบผสม (Mixed Member Proportional : MMP) ซึ่งอยู่ในร่างสมัยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอไว้ ในปี 2558 แต่สุดท้ายถูกคว่ำร่างทิ้งไป ซึ่งระบบเลือกตั้งแบบ MMP วงนักวิชาการมองว่าได้รับการยอมรับกว่าของปี 2540 ในหลายประเทศใช้ เช่น ยุโรป อเมริกาใต้ เป็นการสะท้อนเสียงประชาชนแม้จะใช้บัตร 2 ใบ ก็จริงแต่เอาคะเเนนดิบบัญชีรายชื่อมาคำนวน ส.ส. ที่พึงมี ซึ่งชัดเจนเเละตอบโจทย์เสียงประชาชน

เล็งแก้รายมาตราคู่ขนานตั้งสสร.

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงพปชร.จะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา แต่ไม่แก้มาตราเกี่ยวกับอำนาจ ส.ว. โหวตเลือกนายกฯ ว่า พรรคยืนยันว่า ในเมื่อส.ว.และพรรครัฐบาลจำนวนหนึ่งร่วมกันคว่ำร่างที่ให้ตั้งส.ส.ร. โดยนำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่บอกให้ทำประชามติก่อนมาอ้าง ดังนั้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบ รีบทำประชามติหลังพ.ร.บ.ประชามติบังคับใช้ เเทนที่จะพูดว่าหันไปแก้ไขรายมาตรา เพราะนายไพบูลย์ เป็นผู้ริเริ่มถามศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่พูดเเต่จะแก้ไขรายมาตราตามที่พปชร.ต้องการเท่านั้น ซึ่งการแก้ไขรายมาตรา พรรคก้าวไกลไม่ขัดข้อง โดยจะทำคู่ขนานกันไประหว่างแก้รายมาตรากับการให้ทำประชามติเรื่องส.ส.ร.

“ส่วนจะแก้เกมกรณีเสียงฝ่ายค้านเเพ้รัฐบาลกับส.ว.อย่างไรนั้น เราเสียเปรียบ แต่อย่าลืมว่าเสียงฝ่ายค้าน 20 เปอร์เซ็นต์มีความหมาย ไม่ว่าจะแก้ไขรายมาตราในสูตรไหน หากไม่ได้รับความเห็นชอบจาก 20 เปอร์เซ็นต์นี้ ก็แก้ไขไม่ได้เช่นกัน ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นด้วยเรื่องตัดอำนาจส.ว.เลือกนายกฯ พรรคจะผลักดันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสำเร็จ แก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จตอนนี้ ก็อาจสำเร็จในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” นายชัยธวัชกล่าว

เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรหากการแก้รายมาตราไม่ทันในรัฐบาลนี้ เกิดการยุบสภาก่อน นายชัยธวัชกล่าวว่า เรารู้ดีว่าพปชร.และส.ว.ส่วนใหญ่ไม่อยากให้แก้เลย แต่จะผลักดันในฐานะเสียงข้างน้อย ในบางข้อเสนอ พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็เห็นด้วยกับเรา เช่น การตัดอำนาจ ส.ว. นั่นคือเรื่องในสภา แต่นอกสภา เราร่วมกับประชาชนได้ ไม่จำเป็นต้องเน้นว่าจะสำเร็จในรัฐบาลนี้อย่างเดียว จะสำเร็จในสมัยหน้าก็ได้ ซึ่งตามกระบวนการประชาธิปไตย มันไม่มีทางลัด ถ้ายุบสภาจริง ต้องไปว่ากันที่สนามเลือกตั้ง ฝ่ายที่อยากเสนอให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ต้องหาเสียงเลือกตั้งว่า ใครอยากยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และอยากได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ให้มาเลือกพวกเรา

ปชป.เล็งแก้รายมาตรา 6 ร่าง

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่า ชัดเจนว่ามี 6 ร่างที่จะแยกเป็นประเด็นรายมาตราในแต่ละร่าง ซึ่งพรรคมองเห็นสิ่งสำคัญประการแรกคือสิทธิของประชาชนที่ลดน้อยถอยลงจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ต้องคืนสิทธิขั้นพื้นฐานในเรื่องสิทธิชุมชน สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิผู้บริโภค สิทธิในที่ดินทำกิน เป็นเรื่องที่สำคัญที่การแก้ประโยชน์ของประชาชนต้องมาอันดับ 1 เรื่องระบบเลือกตั้ง บัตร 2 ใบ การคำนวณส.ส. ต้องยุติด้วยกติกาที่มีความชัดเจน ไม่ใช่เลือกตั้งเสร็จยังไม่รู้วิธีคำนวณคะแนนที่แน่นอน

นายราเมศกล่าวว่า เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญให้ทำได้ง่ายขึ้นคือ มาตรา 256 และยังมีอีกหลายมาตราที่ต้องแก้ไข หากมีการตัดสัดส่วนเงื่อนไขคะแนนเสียงของส.ว.ออกไปก็จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญง่ายขึ้น เรื่องการกระ จายอำนาจ เรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลในเรื่องทุจริต การตัดอำนาจฝ่ายการเมืองในการตรวจสอบป.ป.ช.ออกไป โดยให้เป็นหน้าที่ของตุลาการ เรื่องอำนาจส.ว.ตามบทเฉพาะกาลก็จะยกเลิกอำนาจส.ว.เลือกนายกฯ

“ทั้ง 6 ร่างจะเสนอต่อที่ประชุมส.ส.เพื่อได้ร่วมกันพิจารณาหาข้อยุติ และจะนำร่างทั้งหมดไปแสวงหาแนวร่วมจากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อร่วมกันแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น พรรคไม่มีความกังวลใจใดๆ เพราะเวลาจะเป็น คำตอบได้ว่าพรรคใดจริงใจในการนำประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น และยืนยันว่าพรรคไม่มีนโยบายแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2” นายราเมศกล่าว

ย้ำคดียิ่งลักษณ์ยังไม่ถึงที่สุด

นายราเมศกล่าวถึงศาลปกครองได้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ซึ่งให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องชดใช้สินไหมทดแทนเป็นเงิน 35,000 ล้านบาท และให้เพิกถอนคำสั่งของกรมบังคับคดีที่ออกคำสั่งหรือประกาศใดๆ ที่ดำเนินการเกี่ยวกับการยึดอายัดและการขายทอดตลาดทรัพย์สินว่า เป็นดุลพินิจของตุลาการที่ทุกคนต้องน้อมรับ แต่คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ยังต้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ต้องรอฟังกันต่อไป

กรณีนี้ถึงย้ำว่าคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ในชั้นอุทธรณ์ก็ต้องติดตามกันต่อไป และถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์คิดว่าไม่มีความผิดก็กลับมาสู้คดีได้ในคดีอาญา หากคิดว่ามีพยานหลักฐานใหม่ก็กลับมาขอรื้อฟื้นคดีดู

ภูมิธรรมซัดใช้ม.44 กระทำมิชอบ

นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้า พรรคเพื่อไทยและเลขานุการผู้นำฝ่ายค้านในสภา โพสต์เฟซบุ๊กว่า ศาลปกครองกลางคืนความยุติธรรมให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยศาลชี้ว่าคำสั่งที่เอาผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง คำวินิจฉัยชี้ชัดว่าอดีตนายกฯ ไม่ต้องรับผิดในคดีรับจำนำข้าว คำสั่งกระทรวงการคลังไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นธรรมแก่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีพยานหลักฐานใดแสดงให้เห็นว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว อีกทั้งโครงการนี้ได้ดำเนินการตามที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ถือเป็นนโยบายสาธารณะขนาดใหญ่ ใช้เงินมาก แต่ยังดำเนินการอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ผ่านการตรวจสอบและการวิเคราะห์ดูแลของหน่วยงานระดับชาติ เช่น สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง เห็นได้ชัดเจนว่าการพยายามเอาผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ในเรื่องดังกล่าว เพื่อใช้เป็นข้ออ้างเข้ามายึดอำนาจในปี 2557 โดยมุ่งหวังทำลายรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

นายภูมิธรรมระบุอีกว่า การเอาผิดและยึดอายัดทรัพย์สินของอดีตนายกฯ นั้นเป็นการกระทำที่เร่งรัดเร่งรีบถึงขนาดใช้มาตรา 44 ออกมาคุ้มครองเจ้าหน้าที่ โดยเหตุที่ฝ่ายราชการประจำทราบแต่เบื้องต้นแล้วว่าไม่เคยมีแนวทางแนวปฏิบัติให้กระทำเช่นนี้มาก่อน แต่รัฐบาลฝ่ายผู้มีอำนาจพยายามจัดการถึงขนาดมีรายงานการประชุมออกมาว่าไม่ต้องคำนึงถึงความยุติธรรม การใช้คำสั่งตามมาตรา 44 ออกเป็นคำสั่งเพื่อให้นิรโทษกรรมล่วงหน้าเพื่อช่วยฝ่ายราชการที่ยึดอายัดทรัพย์ในครั้งนี้ให้พ้นผิด เรื่องการละเมิดหากมีการฟ้องร้องเอาผิด กรณีนี้จึงถือเป็นการกระทำที่ มิชอบของผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง ขาดความรับผิดชอบ และขาดสำนึกทางจริยธรรม

จี้คืนความเป็นธรรมให้อดีตนายกฯ

นายภูมิธรรมระบุด้วยว่า ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบควรต้องทำสิ่งผิดพลาดที่ผ่านมาแล้วให้ถูกต้อง ความยุติธรรมในบ้านเมืองเราถูกตั้งคำถามเรื่องสองมาตรฐานที่ไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายมาเป็นเวลานานนับแต่มีรัฐประหาร ความเสียหายจากทำลายหลักการนิติธรรมนั้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นของไทย โดยเฉพาะเมื่อเป็นการกระทำต่อผู้นำรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น จึงต้องคืนความยุติธรรม ให้ผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว ดีกว่าพยายามจะดันทุรังและคิดหาเหตุผลแก้เกี้ยว ไม่รู้จบ เพื่ออธิบายการกระทำที่ผิดพลาดในอดีต คิดผิดคิดใหม่ได้ สง่างามกว่าการดันทุรัง หาแง่มุมทางกฎหมายมาอธิบายเพื่อปกป้องการกระทำที่บิดเบือนหลักการที่ถูกต้อง หยุดบิดเบือนกฎหมายเพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่เคยกระทำ ประเทศเราเสียหายด้วยการกระทำเช่นนี้มามากพอแล้ว

เบญจาโดนหมายเรียก-ซักฟอกตู่

น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้รับหมายเรียกลงวันที่ 5 มี.ค. 2564 ในข้อหาหมิ่นประมาท ละเมิด เรียกค่าเสียหาย ซึ่งผู้กล่าวหาคือกรรมการบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการฟ้องที่สืบเนื่องจากกรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่นำเสนอในการอภิปราย เป็นการตั้งคำถามถึงการดำรงคงอยู่ของระบอบประยุทธ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศและประชาชน และตนมีเจตนาที่ทำไปเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน

“ท่ามกลางอาณาจักรของรัฐบาลเซียงกง ในระบอบประยุทธ์ ดิฉันทราบดีว่าไม่ง่ายเลย ในการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลแทนประชาชน ดิฉันจะยังยืนหยัด ยืดอก ตัวตรง ไม่หวั่นเกรงต่อผู้มีอำนาจ และเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างกล้าหาญตรงไปตรงมา เพื่อเรียกศรัทธาและความเชื่อมั่นให้กับสภา ว่าจะยังเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายในการทำหน้าที่ตรวจสอบและรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนต่อไปได้” น.ส.เบญจาระบุ

อธิบดีเปิดรับแจ้งบ่อบาดาลร้าง

ตามที่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.จังหวัดพิษณุโลกพรรคก้าวไกลได้ลงตรวจสอบพื้นที่ พบบ่อน้ำบาดาลที่ไม่ได้ใช้งานในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกจำนวน 1 บ่อนั้น นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ได้แจ้งข้อมูลมายังกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดพบเห็นปัญหาในลักษณะดังกล่าวสามารถโทร.แจ้งเข้ามาได้ที่ 0-2666-7000 เพื่อจะได้เร่งแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว

ขณะเดียวกัน นายศักดิ์ดาได้สอบถามรายละเอียดไปยังนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ปรากฏว่าบ่อน้ำบาดาลซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลวัดพริก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เป็นบ่อที่เจาะโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเมื่อปี พ.ศ.2558 แต่ปัจจุบันได้ถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง ไม่ได้มีการนำมาใช้ประโยชน์ นายศักดิ์ดาจึงได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ เข้าตรวจสอบพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกับท้องถิ่นในวันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 เพื่อให้ประชาชนสามารถสูบน้ำขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้

‘ตู่’สั่งลุยยาเสพติด-บำบัดผู้ติด

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความก้าวหน้าปฏิบัติการพาลีปราบยา ว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้เปิดปฏิบัติการ ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด มีเป้าหมายให้เข้าถึงตัวผู้บงการหรือผู้ค้ายารายใหญ่ สืบสวนเส้นทางการเงินเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกราย ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 63 – 31 มี.ค. 64 จับกุมคดียาเสพติด 163,603 คดี ผู้ต้องหา 170,467 ราย ยาบ้า 298 ล้านเม็ด ไอซ์ 16,041 ก.ก. กัญชา 15,848 ก.ก. เฮโรอีน 2,977 ก.ก. คีตามีน 803 ก.ก. โคเคน 22 ก.ก. เอ็กซ์ตาซี่ 241,591 เม็ด อายัดทรัพย์คดียาเสพติด มูลค่า 3,142.81 ล้านบาท

นายอนุชากล่าวว่า นายกฯ ย้ำให้เดินหน้ามาตรการปราบปรามยาเสพติด ควบคู่ไปกับการสร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกันในกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย รวมถึงกลุ่มเสี่ยงที่เป็นแรงงานนอกระบบด้วย ขณะเดียวกันให้เน้นบำบัดรักษายาเสพติด นำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาที่เหมาะสม โดยใช้กลไกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) นอกจากการป้องกันปราบปรามยาเสพติดแล้ว ยังให้ความสำคัญและให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องค้ามนุษย์ ทุจริตคอร์รัปชั่น และการฮั้วประมูลต่างๆ อีกด้วย ซึ่งข้อร้องเรียนของประชาชน ผ่านสายด่วน 1386 ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. 63-30 มี.ค. 64 จำนวนทั้งสิ้น 8,265 เรื่อง สามารถดำเนินการ 5,173 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 62.59

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน