ตร.เร่งล่า2ฝรั่งที่ยังหนี
หาหลักฐานจ่อจับอีก4

จับพ.ต.ท.เพิ่มอีก 1 ร่วมแก๊งอุ้มไต้หวันเรียกค่าไถ่ สน.ทองหล่อนำ 4 ผู้ต้องหาฝากขังก่อนศาลให้ประกันในวงเงินคนละ 300,000 บาท และให้ใส่กําไลอีเอ็ม ห้ามออกนอกประเทศ ผบช.น.เผยกำลังเร่งจับกุม 2 ชาวต่างชาติร่วมแก๊ง พร้อมหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมก่อนออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการที่เหลือ

จากกรณีกองปราบฯบุกจับแก๊งอุ้มนักธุรกิจไต้หวัน เรียกค่าไถ่ มีผู้ร่วมกระทำผิดรวม 8 คน เป็นต่างชาติ 7 คน ไทย 1 คน โดยสามารถจับกุม นายลูอิส ซิสกิน หรือนาย ลูอิส วิลเลียม ชิสกัน และนายเจรามี่ แมนเชสเตอร์ อดีตนาวิกมะกัน และนายเอกบดินทร์ ประสิทธิ์นฤทธิ์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่าน มานั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท. ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เปิดเผยว่า เหตุเกิดในพื้นที่สน.ทองหล่อ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับ 6 ราย โดยผู้เสียหายและกลุ่มผู้ต้องหารู้จักกัน ร่วมทำธุรกิจด้วยกัน กระทั่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สน.ทองหล่อได้ควบคุมตัวผู้ต้องหารายที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยศพ.ต.ท. ตำแหน่งรองผกก. สังกัด บก.จร. ซึ่งทางพนักงานสอบสวนสน.ทองหล่อ จะคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ฝากขังที่ศาลอาญา และมีการคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากว่าคดีดังกล่าวผู้ต้องหาบางส่วนเป็นชาวต่างชาติถิ่นที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งเกรงว่าจะหลบหนี และการกระทำความผิดกระทำในช่วงเวลากลางวัน ถือเป็นกรณีอุกอาจสะเทือนขวัญโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ยังกล่าวถึงตำรวจที่ร่วมกระทำผิดว่า ได้แจ้งข้อกล่าวหาเดียวกันกับ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุไม่ได้ใส่เครื่องแบบ โดยข้อหาที่แจ้งคือร่วมกันเรียกค่าไถ่ พยายามฆ่า ทำร้ายร่างกาย หน่วงเหนี่ยวกักขัง ข่มขืนใจ และซ่องโจร ส่วนการพิจารณาโทษทางวินัยรองผกก. ยศพ.ต.ท.นั้น ต้นสังกัดบก.จร. ได้สั่งมาช่วยปฏิบัติราชการที่ต้นสังกัดทันทีเมื่อทราบเรื่อง และจะพิจารณาโทษทางวินัยคือผิดวินัยร้ายแรง

ผบช.น.กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 คน ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ อยู่ระหว่างเร่งรัดจับกุมตัว พร้อมทั้งยังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ทราบคนร้ายอื่นเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ประกอบกับผู้เสียหายและผู้ก่อเหตุเป็นชาวต่างชาติ การรวบรวมพยานหลักฐานต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการพิสูจน์ทราบตัวบุคคล เพราะระหว่างก่อเหตุกลุ่มผู้ต้องหามีการแต่งกายและปิดบังใบหน้า

เมื่อถามว่าทางบก.ป. ระบุว่ามีผู้ต้องหาทั้งหมด 10 คน พล.ต.ท.ภัคพงศ์กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือว่าข้อมูลสอดคล้องกัน อย่างกรณีที่กระทำความผิด ยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะมีผู้กระทำความผิดมากกว่า 6 ราย แต่อยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบตัวบุคคล และผู้ต้องหาที่ก่อเหตุมีการปิดบังใบหน้า ซึ่งมีการออกหมายจับทั้งหมด 6 ราย แต่คนอื่นๆ เป็นเพียงแค่การออกหมายจับตามภาพถ่าย แต่ยืนยันตามหลักฐานที่พบแน่ชัดนั้น มีผู้กระทำความผิดในขณะนี้ 6 ราย ส่วนชาวต่างชาติ 2 รายที่หลบหนี จากการตรวจสอบเชื่อได้ว่ายังคงหลบหนีอยู่ภายในประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ พล.ต.ท.ภัคพงศ์กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่พบบุคคลที่มีชื่อเสียงเกี่ยวข้องเพิ่มเติมแต่อย่างใด หากรวบรวมพยานหลักฐานทราบว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องแน่ชัดก็จะออกหมายจับเพิ่มเติมอีกครั้ง ส่วนกรณีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการจับกุม ดังกล่าวอาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่นั้น ปกติเมื่อเกิดเหตุกรณีชาวต่างชาติกระทำความผิดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแจ้งให้ทางสถานทูตประเทศนั้นรับทราบว่ามีคนในสัญชาติหรือประเทศนั้นๆ กระทำความผิด ส่วนการเดินทางเข้ามาของผู้ต้องหาชาวต่างชาติทั้ง 4 คนนั้น ได้รับวีซ่าทำงานในประเทศไทยมีการตั้งบริษัทเกี่ยวกับการให้ คำแนะช่วยเหลือชาวต่างชาติที่ทำธุกิจในประเทศไทย อยู่ระหว่างการตรวจสอบประวัติบริษัทดังกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ ประกอบด้วย นายลูอิส ซิสกิน หรือนายลูอิส วิลเลียม ชิสกัน สัญชาติอเมริกัน ผู้ต้องหาที่ 1 จับกุมตัวได้ 2.นายไมเคิล กรีนเบิร์ก สัญชาติอเมริกัน ผู้ต้องหาที่ 2 อยู่ระหว่างหลบหนี 3.นายโรเบิร์ต ฟรานซิส สัญชาติอสราเอล ผู้ต้องหาที่ 3 อยู่ระหว่างหลบหนี 4.นายเจรามี่ ฮิวส์ แมนเชสเตอร์ สัญชาติอเมริกัน ผู้ต้องหาที่ 4 จับกุมตัวได้ 5.นายเอกบดินทร์ ประสิทธิ์นฤทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 5 จับกุมตัวได้ และ 6.พ.ต.ท.กฤษณพร ทัพทวี รอง ผกก.6 บก.จร. ผู้ต้องหาที่ 6 จับกุมตัวได้

ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานสอบสวนสน.ทองหล่อได้นำตัว นายลูอิส วิลเลียม ซิสกิน อายุ 51 ปี, นายเจเรมี่ ฮิวส์ แมนเชสเตอร์ อานุ 40 ปี, นายเอกบดินทร์ ประสิทธิ์นฤทธิ์ อายุ 28 ปี และพ.ต.ท.กฤษณพร ทัพทวี อายุ 59 ปี ผู้ต้องหาทั้ง 4 มาฝากขังศาลเป็นครั้งแรกโดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกันเป็นซ่องโจรร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวร่วมกันเรียกค่าไถ่บุคคลอายุกว่า 15 ปี และเป็นคนกลางเรียกรับค่าไถ่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210, 309, 310, 313 และ 314 ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ

พฤติการณ์ระบุในคำร้อง สรุปคือ ก่อนเกิดเหตุนายเหวินหยู่ฉุน สัญชาติไต้หวันผู้เสียหายที่จะเข้ามาทำงานกับนายจ้างที่บริษัท ตั้งอยู่ประเทศไต้หวัน ปรากฏว่านายจ้างได้ติดต่อซื้อขายถุงมือยางกับนายลูอิส ผู้ต้องหาที่ 1 เมื่อนายจ้างได้จัดส่งสินค้าให้กับผู้ต้องหาที่ 1 ไปแล้วปรากฏว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ขอเปลี่ยนสินค้า หากแต่นายจ้างของผู้เสียหายปฏิเสธจึงทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่พอใจนายจ้าง จึงให้ผู้เสียหายเดินทางไปประเทศไทยเพื่อเจรจากับผู้ต้องหาที่ 1 พร้อมกับจะได้สำรวจหาตลาดเพื่อหาซื้อถุงมือยางให้กับเจ้านาย จากนั้นผู้ต้องหากับพวกทั้งคนไทยและคนต่างด้าวได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำโดย ได้หลอกล่อให้ผู้เสียหายออกมาพบที่ร้านอาหารในซอยสุขุมวิท 36 แต่กลับล็อกตัว ใส่กุญมือในช่วงกลางวัน และลากไปยังห้องพักในบริเวณใกล้เคียง จากนั้นขบวนการดังกล่าวบังคับเรียกค่าไถ่รวม 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ผู้เสียหายพยายามเจรจาต่อรองว่า จะติดต่อกับบริษัทแม่ในต่างประเทศให้ชำระหนี้ดังกล่าว เพราะตัวเองไม่มีอำนาจในการเบิกจ่ายเงิน ผู้ต้องหาจึงยอมปล่อยตัวผู้เสียหายออกมา

พนักงานสอบสวนต้องสอบพยานบุคคลพยานเอกสารพยานวัตถุและผลตรวจพิสูจน์ต่างๆ กลับยังคงต้องสอบพยานอีกสิบปาก จึงขอฝากขังเป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันที่ 17-28 พ.ค. และขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญไม่ยำเกรงกฎหมายเกรงว่าปล่อยตัวไปแล้วจะหลบหนี

ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังและตามขอ ญาติและทนายผู้ต้องหาทั้ง 4 คนยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว

ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้พิจารณาคำร้องของผู้ต้องหาทั้ง 4 คนแล้ว อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในวงเงินคนละ 300,000 บาทและใส่กําไลข้อเท้า EM โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และต้องมารายงานตัวตามกำหนดนัดอย่างเคร่งครัด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน