มั่นใจว่าเป็นของคนร้าย
เร่งขอหมาย-สัปดาห์นี้
ทนายลุงพลยันไม่กังวล
สงสัยหลักฐานเพิ่งโผล่

เตรียมปิดฉากคดีน้องชมพู่ ที่เสียชีวิต ปริศนาบนภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก จนเป็น คดีดังข้ามปี หลังพบมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ชัดเจน เผยหลักฐานเด็ด สามารถพิสูจน์ดีเอ็นเอคนร้ายได้ ขณะที่ ทนายตั้ม ทนายลุงพลระบุไม่หนักใจ ถามกลับหากเป็นหลักฐานสำคัญทำไมถึงเพิ่งโผล่ แล้วที่ผ่านมาเป็นปีไปอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเป็นของใคร

จากกรณีคดีน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ชาวหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ที่หายตัวจากบ้านและพบเสียชีวิตบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านพักกว่า 2 กิโลเมตร เหตุเกิดเมื่อ 11 พ.ค.63 ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สรุปผลเบื้องต้นว่าต้องมีคนนำตัวน้องชมพู่ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ ซึ่งเป็นคนร้ายของคดีนี้และใกล้จะมีคำตอบแล้ว

วันที่ 29 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ หลังพบหลักฐานที่จุดพบศพ กางเกง รองเท้า และหลักฐานที่สามารถตรวจหาดีเอ็นเอ จนสามารถระบุได้แล้วว่าเป็นของใคร รวมถึงเส้นผมน้องชมพู่ และคำให้การของพยานแวดล้อมทั้งหมด 8 รายที่ได้เข้าเครื่องจับเท็จ คือ แม่ พ่อของน้องชมพู่ ลุงพล ป้าแต๋น พระครูบารัตน์ พระบุญมา เจ๊บุญมา และ พ่อแบม

โดยหลักฐานที่จุดพบศพจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะไขปริศนาว่าใครคือคนร้าย เพราะการขอศาลออกหมายจับคนร้ายในครั้งนี้ผลที่ระบุชัดเจนคือผลทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยมีการตรวจสอบอย่างละเอียดในเรื่องของดีเอ็นเอที่พบบนบริเวณจุดพบศพ ทั้งหมดอยู่ในระหว่างการสรุปสำนวนคาดว่าจะส่งสำนวนให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า

ทางนายสมเกียรติ โรจนวรกมล ทนาย ความส่วนตัวของนายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ระบุว่าตัวเองเป็นทนายความในทุกคดีของลุงพลที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ส่วนคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่นั้นเป็นหน้าที่ของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ซึ่งตัวเองไม่ขอออกความเห็นในส่วนนี้

ด้านนายษิทรา หรือ ทนายตั้มกล่าวว่า ในฐานะที่ตนเองเป็นทนายความให้ลุงพลในคดีน้องชมพู่นั้น ก็ไม่ได้กังวลอะไรกับหลักฐานที่พบ ซึ่งในข่าวก็ยังไม่ได้ระบุว่าเส้นขนนี้เป็นของใคร เป็นดีเอ็นเอของใครกันแน่ แล้วถ้าเกิดว่าเอาไปพิสูจน์เป็นของลุงนั้น ก็อยากจะถามกลับเจ้าหน้าที่ว่า ผ่านมาเป็นปีแล้ว เส้นขน 3 เส้นนี้ไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมถึงเพิ่งจะมาปรากฏเมื่อคดีผ่านมา 1 ปีแล้ว ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจุดให้ศาลใช้ดุลพินิจได้เหมือนกันว่า พยานหลักฐานนี้ได้มาจากที่เกิดเหตุจริงหรือไม่ ทั้งนี้ยืนยันว่า ตนเองจะยังคงรับหน้าที่เป็นทนายความให้กับลุงเหมือนเดิม ถ้าลุงพลถูกแจ้งข้อหาหรือถูกดำเนินคดี ตนก็จะเข้าไปทำหน้าที่เป็นทนายตามที่ได้รับปากกับลุงพลไว้

สำหรับคดีดังกล่าว เป็นกรณีการหายตัวไปของน้องชมพู่ หรือด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา อายุ 3 ขวบ จากบ้านพัก ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. 2563 ขณะที่คนในหมู่บ้านช่วยกันตามหาจนพบศพน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ท่ามกลางความสงสัยว่าน้องชมพู่เดินขึ้นไปเสียชีวิตเอง หรือใครเป็นคนพาไป

คณะทำงานของตำรวจนำโดยพล.ต.อ. สุวัฒน์ ที่ขณะนั้นเป็นรองผบ.ตร. ทำคดี เรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 2 ต.ค. 2563 หลังจากรับตำแหน่งผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ก็นำคณะชี้แจงความคืบหน้าระบุว่า สอบปากคำบุคคลกว่า 384 ปาก นำเข้าสำนวน 124ปากผู้เชี่ยวชาญ 13 ปาก วัตถุพยาน 154 ชิ้น สำนวนการสอบสวน 918 หน้า ยืนยัน 8 ข้อ คือ 1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของ น้องชมพู่ มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง 2.พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไป ไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ 3.ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่า เด็ก 3 ขวบ จะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น

4.กรณีศึกษาการหลงป่า ของนางทิน เชื้อคมตา ชาวบ้านกกตูม ชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว 5.แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยืนว่า พัฒนาการของเด็ก อายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้ 6.สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพูยืนยันว่า น้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้ 7.พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น 8.นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมาน้องชมพู่ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง

ทั้งหมดยืนยันได้ว่าน้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนภูเหล็กไฟซึ่งเป็นจุดพบศพได้ด้วยตนเอง จะต้องมีใครบางคนที่รู้จักกัน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เป็นผู้พาขึ้นไป โดยผู้ที่พาขึ้นไปจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม จะต้องมีความผิดฐานพรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และมีความผิดในข้อหา ซ่อนเร้น เคลื่อนย้าย ทำลาย และอำพรางศพ

ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญนายไชย์พล วิภา อายุ 44 ปี และนางสมพร หลาบโพธิ์ อายุ 41 ปี ลุงและป้าของน้องชมพู่เข้าให้ปากคำ และตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ

นอกจากนี้นายไชย์พลยังถูกดำเนินคดีเรื่องบุกรุกป่าสงวน กรณีตัดไม้บุกรุกป่าสงวนและก่อสร้างวังพญานาคในพื้นที่ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งอยู่ในความดูแลของตำรวจบก.ปทส. ซึ่งกำลังจะสรุปสำนวน รวมทั้งคดีทำร้ายร่างกายผู้สื่อข่าวที่ไปติดตามทำข่าวด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน