เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. รายข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. พิจารณาคดีกรณี นายเกษม กลั่นยิ่ง ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ปรับปรุงแก้ไขระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 2 ครั้ง เพื่อแก้ไขการดำรงตำแหน่งของประธานคณะกรรมการกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) จากวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี ให้เป็น 6 ปี โดยมีเจตนาเพื่อรองรับกรณีที่ตนเองจะพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ สกสค. ให้เป็นประธาน ช.พ.ค. โดยที่ไม่ให้เหตุผลรายละเอียดการขยายเวลาดังกล่าว มีเจตนาชัดเจนในการเอื้อตนเองไปเป็นประธาน จึงมีมติชี้มูลความผิดนายเกษม โดยหลังจากนี้ ป.ป.ช. จะส่งเรื่องไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังมีมติชี้มูลความผิด นายเกษม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธาน ช.พ.ค. เมื่อปี 2546 กรณีเซ็นอนุมัตินำเงินกองทุน ช.พ.ค. 500 ล้านบาท ไปซื้อตั๋วสัญญาจาก บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด เพื่อนำไปดำเนินการร่วมทุน โดยมีหลักฐานชัดเจน มีความผิดตามมาตรา 4 มาตรา 8 มาตรา 11 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และตามมาตรา 123/1 แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2561

นายธนพร สมศรี เลขาธิการ สกสค. กล่าวว่า กรณีนี้สกสค.ได้รลงโทษทางวินัย โดยมีมติไล่ออกจากราชการแล้ว ขณะนี้เหลือขั้นตอนอัยการสูงสุดในการสั่งฟ้อง ล่าสุดป.ป.ช.ยังชี้มูลความผิดของนายเกษม กรณีกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษฯ นำเงิน 800 ล้านบาท ร่วมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชน ของบริษัท หนองคายน่าอยู่ จำกัด โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทันทีที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ที่ประชุมคณะกรรมการสกสค.จึงมีมติไล่ออกซ้ำอีกกรณี และตั้งกรรมการสอบสวนกรณีความผิดทางละเมิดอีกกรณีหนึ่งไปแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน