‘พิธา’ลั่นสู้มั่นใจไม่ซ้ำรอย‘ธนาธร’ ยื่นฟ้อง‘คิมห์-เรืองไกร’ร้องเท็จ ลุ้นกกต.เคาะ500สส.รวดเดียว

‘วิษณุ’ เตือนระวังเสนอชื่อ นายกฯ ที่มีคดีติดตัว ประธานรัฐสภาในฐานะผู้รับสนอง โปรดเกล้าฯ ต้องรับผิดชอบ พร้อมกับชี้ถ้ากกต.เอาผิดตามมาตรา 151 ไม่มีสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่หากยื่นตามมาตรา 82 ศาลรธน.สั่งพักหน้าที่ จะเสนอชื่อให้โหวตเป็นนายกฯ ไม่ได้ ‘พิธา’ ลั่นรู้อยู่แล้วถูกสกัด เช่นเดียวกับเคส ‘ธนาธร’ แต่มั่นใจไม่ซ้ำรอย ยืนยันมีหลักฐานพร้อมสู้ ได้เข้าสู่กระบวนการโหวตนายกฯ กกต.ถกรับรองผลเลือกตั้ง แต่ยังไม่เคาะ รอพิจารณารวดเดียว 500 ว่าที่ส.ส.สัปดาห์หน้า ทนายรัชพลยื่นตำรวจสอบ ‘คิมห์-เรืองไกร’ ฐานแจ้งเท็จปมเอกสารประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ‘ตู่’ ไม่ก้าวล่วงปมไอทีวี ส่วน ‘ทักษิณ’กลับไทยเป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมาย ไม่เกี่ยวรัฐบาล

ตู่ยันทักษิณกลับไทยไม่เกี่ยวตัวเอง

วันที่ 13 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังเป็นประธานการประชุมครม. ถึงการเข้าพบของพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เมื่อ 12 มิ.ย.ว่า ไม่ได้มีการพูดคุยถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร ประกาศจะกลับประเทศไทยก่อนวันเกิด ตนจะไปคุยเรื่องอะไร ควรจะไปยุ่งกับเขาหรือไม่ เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมดำเนินการอย่างไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นอำนาจใคร ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลเป็นเรื่องของกฎหมาย เมื่อถามว่านายกฯ ในฐานะคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อนายทักษิณประกาศกลับมารับโทษได้ประสานมาทางตำรวจหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า “ประสานได้อย่างไร แล้วผมจะไปรับปากได้ยังไง”

เมื่อถามว่า ในฐานะนักโทษหนีคดีที่ประกาศจะกลับมารับโทษ มีการประสานมาหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไม่ต้องประกาศอะไรทั้งสิ้น ถ้ากลับมาก็ดำเนินคดีก็จบ อยู่ในขั้นตอนของกฎหมายอยู่แล้ว ตนไม่ไปเกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น และตนไม่ใช่ศัตรูของใครทั้งสิ้น มีประเด็นทางกฎหมายก็ไปแก้กันทางกฎหมาย ไม่ใช่นายกฯ จะทำได้ทุกอย่าง เป็นอำนาจของใครก็ว่ากันไปไม่อย่างนั้นจะเกิดความขัดแย้งอยู่แบบนี้ ตนไม่ได้ขัดแย้งกับใคร ยินดีด้วยซ้ำถ้าจะมีรัฐบาลใหม่ได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด เพราะต่างประเทศรอดูอยู่ เมื่อถามว่าคิดว่าถึงเวลาที่ต้องสลายขั้วชินวัตรกับขั้วอื่นๆ หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่มีขั้วอะไรทั้งนั้น เราไปสร้างขั้วกันเอง”

ปัดตอบปมร้อนไอทีวี

ส่วนประเด็นปัญหาหุ้นไอทีวีนั้น ก่อนประชุมครม. พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบ โดยโบกมือปฏิเสธพร้อมกล่าวว่า ให้ไปดูนิทรรศการดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ เรื่องที่ไม่เป็นสาระตนไม่พูด อย่ามาถาม

แต่หลังประชุมครม. พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธว่า ไม่ได้พูดคุยประเด็นดังกล่าวกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอยู่แล้ว อย่าลืมว่าที่ยืนอยู่นี้เป็นอำนาจบริหาร ส่วนอำนาจนิติบัญญัติ ตุลาการเป็นคนละอำนาจ ใครถึงตรงไหนก็ทำตรงนั้นไปแล้วกัน ถ้าไปก้าวล่วงซึ่งกันและกันจะยุ่งไปหมด วันนี้ก็ยุ่งพออยู่แล้วต้องให้เขาทำงานไป








Advertisement

วิษณุเตือนเสนอชื่อนายกฯมีคดี

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีนักการเมืองถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแล้วได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ได้หรือไม่ว่า ปกติการจะแต่งตั้งตำแหน่งใดเป็นพระราชอำนาจ กรณีแต่งตั้งข้าราชการประจำ ผู้พิพากษา อัยการ อธิบดี หรือขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์มีข้อตกลงกับสำนักพระราชวังมา 2-3 ปีแล้วให้ตรวจอย่าง เข้มงวด กวดขัน ถ้ามีก็ให้กราบบังคมทูลขึ้นไปว่ามีเหตุอย่างนี้อยู่ ส่วนจะโปรดเกล้าฯ อย่างไรก็แล้วแต่ เมื่อถามว่าการทูลเกล้าฯ ชื่อนายกรัฐมนตรีก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ นายวิษณุกล่าวว่า “ใช่ครับ”

และผู้รับผิดชอบหากมีอะไรเกิดขึ้นคือผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งกรณีเสนอชื่อนายกฯ ก็คือประธานรัฐสภา เหมือนสมัยก่อนโหวต พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ เป็นนายกฯ แต่ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานรัฐสภาสมัยนั้นเสนอชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ นายอาทิตย์ ก็รับผิดชอบ ฉะนั้นประธานรัฐสภาก็ต้องดูแลให้ถูกต้องให้ดี ถ้าจะเบรกอะไรก็เบรกในชั้นประธานรัฐสภา

หยุดปฏิบัติหน้าที่ชงชื่อโหวตไม่ได้

เมื่อถามว่าหากแคนดิเดตนายกฯ คนใดถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ กรณีถูกร้องว่ามีลักษณะต้องห้ามเป็นส.ส.และแคนดิเดตนายกฯ จะนำรายชื่อนั้นไปโหวตนายกฯ ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ไม่ได้”

เมื่อถามว่าแม้คดีจะยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีคำตัดสินออกมาจะไปโหวตได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ได้ เพราะเมื่อถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่แล้วก็เข้าไปทำหน้าที่ไม่ได้ แล้วจะไปตั้งทำไมและชื่อนั้นไม่เสนอเข้ามา แต่ปกติศาลจะไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เร็วเกินไป ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร

ฟ้อง 151 ไม่มีสั่งหยุดหน้าที่

เมื่อถามว่าการจะไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าบุคคลใดมีลักษณะต้องห้ามจะใช้กฎหมายใด นายวิษณุกล่าวว่า ใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งผู้ที่ร้องได้คือ ส.ส. 1 ใน 10 ของสภา หรือ 50 คน ซึ่งส.ส.จะยื่นได้หลังมีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนเรียบร้อยแล้วถึงจะทำหน้าที่ได้ ส่วนส.ว. 1 ใน 10 หรือ 25 คน เพราะ ส.ว.สามารถลงชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ส., ส.ว. รวมถึงรัฐมนตรีได้ โดยยื่นผ่านประธานรัฐสภา เมื่อมีการเลือกกันแล้ว และอีกช่องทางหนึ่งคือ กกต.เป็นผู้ยื่น

เมื่อถามว่าการที่ กกต.จะฟ้องใครด้วยความผิดตามพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส. มาตรา 151 จะฟ้องช่องทางใด นายวิษณุกล่าวว่า ต้องไปช่องทางศาลอาญา และไม่มีขั้นตอนการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่มาตรา 151 เป็นที่มาของทุกเรื่อง ถูกต้องแล้วที่ไม่รับเรื่องอื่น เพราะเมื่อ 151 ออกมาแล้วคลุมหมดทุกอย่าง แต่กระบวนการนี้ใช้เวลานานเพราะใช้กระบวนการยุติธรรมปกติ

กำลังใจ – สมาชิกสมาพันธ์เอสเอ็มอี มอบดอกไม้ให้กำลังใจนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ระหว่างร่วมหารือเครือข่ายเอสเอ็มอีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เมื่อ 13 มิ.ย.

พิธายันมีหลักฐานสู้-ไม่ซ้ำรอยธนาธร

ที่สมาพันธ์ SME ไทย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงคลิปการประชุมผู้ถือหุ้นสื่อไอทีวี และกระบวนการขัดขาขึ้นสู่นายกฯ มีข้อมูลใครอยู่เบื้องหลังหรือยังว่า ตามที่เคยได้โพสต์ว่ามีขบวนการที่จะฟื้นไอทีวี ก่อนที่ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย เสนอข่าว ฉะนั้นตอบสั้นๆ ว่ารู้อยู่แล้ว และมีคนส่งข้อมูลมาให้เรื่อยๆ คณะทำงานกฎหมายของพรรคได้ข้อมูลมาเพิ่มเรื่อยๆ ผู้ที่เกี่ยวข้องจากกระบวนการเหล่านี้คอยส่งข้อมูลเข้ามา

เมื่อถามกรณีกกต.หยิบมาตรา 151 มาวินิจฉัย นายพิธากล่าวว่า ไม่ได้เลยจากที่คิด ได้คิดฉากทัศน์ไว้แล้วเพราะเคยเกิดขึ้นกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาก่อน ใช้วิธีเข้าชื่อส.ส.ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา ศาลอาญา พอจะเดาออกว่าจะมีการปิดฉากทัศน์ได้ แต่ยืนยันว่ามีหลักกฎหมาย หลักฐานพร้อมจะสู้ เมื่อเข้าสู่กระบวนการจริงๆ แต่ถึงขณะนี้ทาง กกต.ก็ยังไม่ได้ติดต่อมา

แย้งวิษณุปมโหวตนายกฯ

ส่วนข้อสังเกตกรณีนายธนาธร ศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนการแจ้งข้อหาตามมาตรา 151 แต่ของนายพิธาตั้งสอบก่อนส่งศาลวินิจฉัย ทำให้มองว่าศาลอาจสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนการโหวตนายกฯนั้น นายพิธากล่าวว่า ตรงนี้ไม่ได้เป็นประเด็นอะไรในการโหวตนายกฯ

วันนี้เห็นข่าวของนายวิษณุ ข้อเท็จจริงน่าจะคลาดเคลื่อน จำได้ว่าตอนนายธนาธร หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายชัย ชิดชอบ เป็นประธานสภา แต่ตอนโหวตเลือกนายกฯ นายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภา ถึงแม้จะหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่ยังสามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ได้ ไม่ได้เป็นไปตามที่นายวิษณุพูด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับมาตรา 151 ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเข้าสู่กระบวนการโหวตเลือกตนเป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย

ลั่นพร้อมสู้คดีทุกรูปแบบ

เมื่อถามว่าคลิปการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีกับบันทึกการประชุมที่ไม่ตรงกันอาจมี น้ำหนักไม่มากพอลบล้างข้อกล่าวหาถือหุ้นสื่อ นายพิธากล่าวว่า ตนต่อสู้ในทุกรายละเอียด ทุกกระบวนความ เวลามีเรื่องเกี่ยวกับหุ้นสื่อขึ้นมาสื่อมวลชนสามารถเทียบฎีกาได้ศาลตัดสินด้วยบรรทัดฐานแบบไหนคงต้องต่อสู้ในทางแบบนั้น ตนยังมั่นใจในหลักฐานและหลักกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นความไม่ชอบมาพากลที่พยายามสร้างหลักฐานก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้ตนมั่นใจว่าจะต่อสู้คดีนี้ได้ในทุกรูปแบบ

เมื่อถามว่างบการเงินที่มีการยื่นให้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นรายได้ที่มาจากสื่อจะทำให้เพลี่ยงพล้ำหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ไม่ แต่ขอรับไปตรวจสอบดู ตามกฎหมาย ขอให้เป็นเรื่องของคณะทำงานด้านกฎหมาย

เมื่อถามว่าในที่ประชุมกมธ.ของวุฒิสภา มีการพูดถึงมาตรา 82 ส่งศาลรัฐธรรมนูญ นายพิธากล่าวว่า เป็นสิ่งที่เราคิดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้น จะเป็นการสกัดกั้นไม่ให้ตนเข้าสู่ทำเนียบ แต่ไม่ว่าจะสกัดกั้นอย่างไรก็ไม่ทำให้การเป็นแคนดิเดตนายกฯ หมดไป

ยันยื่นทรัพย์สินทัน 18 มิ.ย.

เมื่อถามถึงการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหลังพ้น ส.ส. นายพิธากล่าวว่า อยู่ระหว่างการจัดเตรียมเอกสารและข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อให้รอบคอบที่สุด ก่อนที่จะยื่นให้สำนักงาน ป.ป.ช.ตรวจสอบ ภายในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ตามระเบียบของ ป.ป.ช.

ทั้งนี้ นายพิธาต้องเดินทางออกจากสมาพันธ์ไปยังท่าอากาศยาน เนื่องจากมีกำหนดการลงพื้นที่จ.ลำพูน จ.ลำปาง และจ.เชียงใหม่ วันที่ 14-15 มิ.ย.

นำคณะถกสมาพันธ์เอสเอ็มอี

ทั้งนี้ ก่อนหน้าให้สัมภาษณ์นายพิธาได้นำคณะเข้าร่วมหารือกับนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ SME และคณะ หลังการหารือ 1 ชั่วโมง 30 นาที แถลงว่า ได้พูดคุยถึงทิศทางการบริหารเศรษฐกิจแบบมหภาคและลงลึกถึงสถานการณ์เอสเอ็มอี รวมถึงสอบถามความต้องการของสมาพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมุดปกขาว การชี้แจงนโยบายสำคัญที่จะมีส่วนช่วยเอสเอ็มอี ทั้งหวยใบเสร็จ หรือการผ่านกฎหมายต่างๆ เพื่อที่จะตั้งสภาเอสเอ็มอี แม้ว่าขณะนี้จะเป็นเพียงสมาพันธ์แต่ต่อไปอยากจะทำให้เป็นสภา เพื่อให้เป็นระดับเดียวกับสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า เพื่อสร้างโอกาสและแต้มต่อในการต่อรอง สามารถตัดลดต้นทุนทางพลังงาน ดอกเบี้ยและกฎหมายที่ไม่จำเป็น ที่ส่งผลต่อต้นทุนของเอสเอ็มอี รวมถึงการขอใบอนุญาตต่างๆ จากทางราชการ

เห็นพ้องดัน‘หวยใบเสร็จ’

นายแสงชัยกล่าวว่า ได้ใช้เวลาแลกเปลี่ยนอย่างเข้มข้น มีข้อสรุปที่เห็นตรงกันเรื่องมาตรการปลุกเศรษฐกิจฐานราก และการ กระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นด้วยหวย ใบเสร็จ ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจและเรายินดีสนับสนุน รวมถึงการคุยเรื่องสัดส่วนจีดีพีของเอสเอ็มอี การทำเอสเอ็มอีวอลเล็ต โดยนายพิธามีแนวทางจะแก้ปัญหาการแก่ก่อนรวย เรื่องที่สองการแก้ปัญหาต้นทุนและค่าครองชีพ สมาพันธ์เห็นตรงกันว่าต้องมีกองทุนหรือช่องทางที่ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยได้รับโอกาสและใช้ประโยชน์จากแหล่งทุนต้นทุนต่ำ โดยเฉพาะรายย่อย เรื่องสุดท้ายการแก้ไขปัญหากฎหมายที่เป็นอุปสรรค ทั้งหมดนี้สมาพันธ์และพรรคก้าวไกลจะมีคณะทำงานร่วมกันเพื่อตอบโจทย์

นายพิธาเสริมว่า สาระสำคัญของการช่วยเอสเอ็มอีคือ “เพิ่มรายได้” ด้วยหวย ใบเสร็จช่วยเอสเอ็มอี และให้เอสเอ็มอีมีแต้มต่อจากการเพิ่มรายได้ “ลดรายจ่าย” คือการลดต้นทุนพลังงาน หรือต้นทุนทางการเงินที่เข้าถึงได้ยากที่ทำให้มีการกู้นอกระบบ และ “การขยายโอกาส” คือ การเพิ่มโอกาสในการต่อรอง สิ่งที่ทางสมาพันธ์ขอมาคือการตั้งสภาเอสเอ็มอีให้ได้มีโอกาสพูดคุยกับรัฐบาล 3 สิ่งนี้จะเร่งดำเนินการหลังการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อ “เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย-ขยายโอกาส” ให้เอสเอ็มอี

กกต.ถกรับรองสส.นัดต่อสัปดาห์หน้า

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. กล่าวหลังการประชุมกกต.ว่า ที่ประชุมมีวาระพิจารณาผลการเลือกตั้ง ซึ่งสำนักงานกกต.เสนอรายชื่อผู้ได้รับการเลือกตั้ง ส.ส.เขตมาครบทั้ง 400 คน ให้ที่ประชุมพิจารณารับรอง ซึ่งที่ประชุมพิจารณาแล้วยังไม่สามารถประกาศรับรองได้ เนื่องจากการพิจารณาภาพรวม ผู้ที่มีการร้องเรียน และไม่มีการร้องเรียน แต่ยังต้องดูความเห็น ผู้ตรวจการเลือกตั้งด้วย ซึ่งตรงส่วนนี้ยังไม่มีข้อสรุป จึงยังไม่สามารถรับรองได้ จึงมอบหมายให้สำนักงานไปประมวลความเห็น และส่งเรื่องกลับมายัง กกต.ใหม่ในสัปดาห์หน้า พร้อมยื่นรายชื่อผู้ชนะการเลือกตั้งส.ส.บัญชีรายชื่อเข้ามาให้ที่ประชุม กกต. พิจารณาพร้อมกัน

เมื่อถามว่าสัปดาห์หน้าจะรับรองได้หรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ขอยังไม่ตอบแบบฟันธง เพราะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่สำนักงานกกต.นำเสนอ ถ้าอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ที่ประชุมกกต. ทั้ง 6 คนเห็นว่าครบถ้วน ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมก็สามารถประกาศรับรองได้ แต่ถ้าจะให้ยืนยันยังขอไม่ยืนยันในตอนนี้

ลุ้นประกาศรวดเดียว 500 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีความเป็นไปได้ที่กกต.จะประกาศรับรองส.ส.เขตครบทั้ง 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อครบทั้ง 100 คน เนื่องจากรายงานผลการตรวจสอบของผู้ตรวจการเลือกตั้งที่กฎหมายกำหนดให้กกต.ต้องรับฟัง และความเห็นของ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (ผอ.กต.จว.) ส่วนใหญ่เสนอว่าเรื่องร้องเรียนผู้ได้รับเลือกตั้ง จังหวัดไม่อาจดำเนินการสืบสวนสอบสวนได้เสร็จก่อนกรอบ 60 วันที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งกกต.ต้องการดำเนินการเรื่องการประกาศรับรองผลเลือกตั้งให้แล้วเสร็จก่อนนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี กกต.จะพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอยู่ครบ 70 ปีในวันที่ 28 มิ.ย.นี้

แพร่ข้อมูล-แจ้งโทษฝืนสมัคร

ขณะที่ สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงาน กกต. เผยแพร่ข้อกฎหมาย หากรู้ว่าขาดคุณสมบัติแต่ยังสมัคร ส.ส.จะมีผลอย่างไร โดยผู้รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติ และผู้รู้อยู่แล้วว่าตนมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัคร ส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ ผู้นั้นมีกำหนดถึง 20 ปี ตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส. 2561 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) 2566

การเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวของสำนักงาน กกต. เป็นที่สนใจ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกรณีการถือหุ้นสื่อของนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ว่าจะขาดคุณสมบัติจากกรณี ดังกล่าวหรือไม่

สภาพร้อมรับสส.รายงานตัว

ขณะที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดเตรียมสถานที่เพื่อรับรายงานตัว ส.ส. โดยใช้ห้องสัมมนา ชั้นบี 1 รัฐสภา เจ้าหน้าที่ได้ติดตั้งป้ายข้อความ “ยินดีต้อนรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26” ภายในพื้นที่ห้องรับรายงานตัว คาดติดตั้งป้ายและตกแต่งห้องรับรายงานตัว ส.ส.ใหม่จะแล้วเสร็จในอีก 1-2 วัน ขณะที่ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการรับรายงานตัว ได้ดำเนินการทดสอบระบบและพร้อมให้บริการ และยังจัดโซนรับรอง ส.ส.ที่รอการรายงานตัวในห้องสัมมนา โซนถ่ายภาพเพื่อทำบัตรประจำตัว ส.ส. และพื้นที่สำหรับให้ผู้ติดตามนั่งรอบริเวณโถงด้านหน้าห้องสัมมนา ส่วนทางเดินของโถงชั้นบี 1 มีการจัดนิทรรศการ แสดง ผลงานของกมธ.ชุดที่ 25

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 84 กำหนดว่า การเลือกตั้งทั่วไปหากส.ส.ได้รับเลือกตั้งถึง 95% หรือ 475 คน จาก 500 คน หากจำเป็นต้องเรียกประชุมรัฐสภาให้ดำเนินการเรียกประชุมรัฐสภาได้ มาตรา 121 ระบุว่าภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศผลเลือกตั้ง ส.ส.ให้เรียกประชุมสภาเป็นครั้งแรก ซึ่งหมายถึงงานรัฐพิธี และหลังจากที่แล้วเสร็จงานรัฐพิธีแล้ว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 121 วรรคสี่ ประกอบข้อบังคับการประชุมสภา ข้อ 5 และข้อ 19 กำหนดให้ภายใน 10 วันต้องประชุมสภาครั้งแรก เพื่อเลือกประธานสภา

ไอลอว์จ่อบุกกกต.จี้รับรองผล

เพจเฟซบุ๊ก iLaw โพสต์ ผ่านเลือกตั้งทั่วไปกว่าเดือนประเทศไทยยังไม่มีรัฐบาลใหม่ เพราะกกต.ยังไม่ประกาศผลการ เลือกตั้ง ยิ่งทอดเวลาออกไปนาน สถานะของรัฐบาลใหม่ก็ยิ่งคลุมเครือ ทั้งที่ประชาชนได้แสดงเจตจำนงผ่านการออกไปเลือกตั้งแล้ว ดังนั้น 14 มิ.ย.นี้ iLaw ร่วมกับเครือข่ายประชาชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งจะไปเรียกร้องให้ กกต. เร่งประกาศผลการเลือกตั้งร้อยละ 95 อย่างเป็นทางการ เพื่อให้สามารถเปิดประชุมสภาและเลือก นายกฯ พร้อมรัฐบาลใหม่ ที่สำนักงาน กกต. เวลา 14.00 น.

เรืองไกรยื่นข้อมูลเพิ่ม

ด้าน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อกกต. เพื่อประกอบการพิจารณากรณีกกต.ตั้งคณะกรรมการไต่สวนนายพิธา ฐานรู้อยู่แล้วไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 151 พ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส. เนื่องจากถือหุ้นสื่อ โดยเป็นคำชี้แจงของนายพิธาที่โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว และรายงานการโอนหุ้นไอทีวีของนายพิธาไปยังนายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ น้องชาย เมื่อ 25 พ.ค. 2566 สำเนาหมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัทไอทีวี เมื่อ 31 มี.ค.2566

นายเรืองไกรกล่าวย้ำว่า ที่ถกเถียงกันถึงรายงานการประชุมไม่ตรงกับคลิปวิดีโอ อัดไว้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะกฎหมายกำหนดว่าผู้ลงสมัคร ส.ส.ต้องไม่ถือหุ้นสื่อ มีหลักฐานเป็นใบ บอจ.6 ที่ปรากฏชื่อนายพิธาถือหุ้นและพบมีการเปลี่ยนที่อยู่ถึง 3 ครั้ง

ปัดรับไม้การเมือง

เมื่อถามว่ามีข้อสังเกตเมื่อบริษัทมีแผนทำสื่อมาตั้งแต่ปี 2559 ทำไมเพิ่งมาทำธุรกิจสื่อใน 24 ก.พ. 2566 ซึ่งกำลังจะมีเลือกตั้ง นายเรืองไกรกล่าวว่า ตนไม่สงสัยเพราะเขามีแผนมาตั้งแต่ปี 2560 แล้วและต้องไปถามไอทีวี ส่วนที่มองว่ามีขบวนการให้ลงสื่อ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ ไอทีวีถูกฟื้นเป็นสื่อหวังเล่นงานนายพิธากับพรรคก้าวไกล ก็ขอให้เอาข้อมูลตรงนี้ไปชี้แจงต่อกกต.

เมื่อถามว่ามีคนมองมีขบวนการปลุกผีไอทีวีมาเล่นงานนายพิธา นายเรืองไกรกล่าวว่า ยืนยันทำคนเดียว และทำในห้องนอนด้วย และที่กล่าวหาว่าตนรับไม้ต่อมาจากนักการเมืองก็ให้ไปหาไม้ท่อนนั้นให้เจอกันแล้วค่อยมากล่าวหา

ทนายแจ้งเอาผิดคิมห์-เรืองไกร

เวลา 10.00 น. ที่สน.ทุ่งสองห้อง นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ต.อนุชิต ชาติชูเหลี่ยม สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับ นายคิมห์ สิริทวีชัย และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรณีบันทึกการประชุมไอทีวีขัดแย้งกับคลิปวีดีโอบันทึกการประชุม เข้าข่ายเรื่องแจ้งความเท็จ ปลอมเอกสาร

นายรัชพลกล่าวว่า พบพิรุธความผิดปกติอยู่ 3 ประการ ประการแรก คลิปภาพกับเอกสารมีข้อความบางส่วนไม่ตรงกัน 2.ตามที่เพจนายจตุรงค์ สุขเอียด ระบุว่าคลิป ดังกล่าวมีการลบไฟล์ทิ้ง แต่ต้องตรวจสอบอีกครั้ง และ 3 นายคิมห์ได้ออกหนังสือให้ทำการตรวจสอบ แต่นายคิมห์ เป็นประธานในที่ประชุมและเอกสารก็เป็นคนเซ็นเอง น่าจะเป็นการถ่วงเวลาออกเอกสารเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และไม่ได้ระบุจะตรวจสอบเสร็จเมื่อไร

ยื่นสอบ – ทนายรัชพล ศิริสาคร เข้ายื่นตำรวจสน. ทุ่งสองห้อง สอบนายคิมห์ สิริทวีชัย และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เข้าข่ายแจ้งความเท็จกรณีเอกสารประชุม ผู้ถือหุ้นไอทีวี วันเดียวกันนายเรืองไกรยื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อกกต. เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.

แจ้งเท็จ-ปลอมแปลงเอกสาร

ส่วนนายเรืองไกรแม้บอกไม่ได้เป็นคนยื่นเอกสารการประชุมให้ กกต. ในความเป็นจริงไม่มีใครรู้เพราะเอกสารอยู่ที่ กกต. ตำรวจสามารถเรียกเอกสารมาตรวจสอบได้ หากมีการยื่นจริงและพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ยื่นเอกสารอันเป็นเท็จก็ดำเนินคดีได้

ส่วนความผิดที่ตนมาแจ้งความวันนี้ว่าเป็นการแจ้งความเท็จ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” หรือไม่ และอยากให้ตำรวจตรวจสอบว่าเอกสารบันทึกการประชุมเป็นเท็จหรือไม่และเข้าข่ายความผิด ผู้ทำเอกสารปลอมจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ชี้ถาม-ตอบในที่ประชุมไม่มีน้ำหนัก

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก “อย่าเพิ่งรีบเฮ ปมคลิปรายงานประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี” ระบุพยานหลักฐานไม่ว่าจะเป็นรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น หรือคลิปการประชุมไม่ได้เป็นพยานหลักฐานสำคัญว่าไอทีวียังประกอบกิจการสื่ออยู่หรือไม่

หลักฐานสำคัญที่ศาลให้น้ำหนักคืองบการเงิน รายได้ที่ได้มาจากการประกอบกิจการสื่อหรือไม่ เป็นตัวชี้วัดว่าหุ้นของบริษัทที่ถืออยู่เป็นหุ้นสื่อหรือไม่ แม้จะมีวัตถุประสงค์ทำสื่อระบุอยู่แต่รายได้ที่ได้ไม่ได้มาจากการทำสื่อก็รอด ดังที่เห็นในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กรณีส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจำนวน 64 คนก่อนหน้านี้ มีเพียงคนเดียวที่ถูกชี้ขาดให้พ้นส.ส.คือ นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีตส.ส.พรรคอนาคตใหม่

ป้อมยันพปชร.ไม่เกี่ยวบี้หุ้นสื่อ

ที่ทำเนียบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยังเดินหน้าตรวจสอบกรณีถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะทำให้พรรคถูกเชื่อมโยงมีส่วนเกี่ยวข้อง ว่า เป็นเรื่องส่วนตัวของนายเรืองไกร ไม่ใช่มติพรรค และพรรคไม่มีมติอะไรจึงไม่เกี่ยวกับพรรค

เมื่อถามว่าไม่เกี่ยวกับการตั้งจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่เกี่ยวๆ เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร มีชื่อเป็นนายกฯ คนที่ 30 มีโอกาสหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ส่ายหัวปฏิเสธว่าไม่มี ตอนนี้เป็นเรื่องของก้าวไกล ตั้งรัฐบาล เมื่อถามว่าถ้าพรรค ก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เหตุยังไม่ถึง ถ้าไม่ได้ เป็นหน้าที่ของเขาเพราะเป็นพรรคที่ได้ส.ส.เป็นอันดับหนึ่ง

อนุทินก็ปัด-ไม่เกี่ยวข้อง

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรค ภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายนิกม์ แสงศิรินาวิน อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม พรรคภูมิใจไทย เปิดหลักฐานการถือครองหุ้นของนายพิธา และล่าสุดขอโทษที่ทำให้พรรคได้รับผลกระทบ ว่า ตนยังไม่ได้เจอนายนิกม์และยังไม่ได้คุยกัน แต่ยืนยันการ กระทำของนายนิกม์เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะพรรคภูมิใจไทย พรรคไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่นอน พรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เราไม่ชกใต้เข็มขัดอยู่แล้ว และไม่มีตีกอล์ฟ ไม่มีดีลลับ ส่วนตนยิ่งไม่เกี่ยวข้อง แต่ไปเขียนข่าวโยงกันเอง ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับพรรค เพราะเป็นเรื่องของอดีตผู้สมัครส.ส.ไม่ได้ทำในนามพรรค

เมื่อถามว่าหนึ่งในรายชื่อผู้ถือหุ้นไอทีวีมีบริษัท ซิโนไทย ด้วย นายอนุทินกล่าวว่า ไปโยงกันเอง อย่าเอาอะไรไปโยงกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้อง ตนไม่เกี่ยวและที่เอารูปตนไปโยงว่าเกี่ยวข้องกับนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนต์ฯ ตนเป็นเพื่อนกันมา 40 ปี ความเป็นเพื่อนไม่มีวันหมดอายุ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลหรืองานการเมือง ถ้าคนจะหาเรื่องก็คงเอาไปโยงได้หมด

สอบรถเบนซ์เรืองไกรใกล้เสร็จ

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น โพสต์เฟซบุ๊กทวงถามความคืบหน้าคำร้องให้สอบนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ รับแคชเชียร์ 25 ล้านบาท และรถเมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น S 560 จากผู้ใหญ่ใจดี ว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เรื่องที่มาของเงินเบื้องต้นตรวจสอบแล้วเสร็จเรียบร้อยและนำเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแต่ยังมีข้อสงสัยทางอนุกรรมการกลั่นกรองจึงตรวจสอบเพิ่มเติม จึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในส่วนของที่มาของเงิน

เมื่อถามว่าถูกตั้งข้อสังเกต 2 ปีแล้วไม่คืบหน้า นายนิวัติไชยกล่าวว่า ป.ป.ช.ต้องขอข้อมูลจากหน่วยงานอื่นๆ เข้ามาประกอบการพิจารณา โดยเฉพาะเรื่องที่มาของเงิน รถเบนซ์ซื้อจากไหนอย่างไร นำเข้าอย่างไร เพราะข้อมูลเบื้องต้นเป็นรถเบนซ์แบบเดโมที่ใช้แล้วแต่สภาพยังมือหนึ่ง ใหม่หน่อย มาจากศูนย์แต่ไม่ใช่รถใหม่เอี่ยม

“การทำงานของป.ป.ช.ตรวจสอบตามขั้นตอน แสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน ไม่ได้เพิกเฉย แต่บางเรื่องอาจต้องรอพยานหลักฐาน บางหน่วยงานที่ขอพยานหลักฐานไปจะไปเร่งรัดเขาไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคาร ผู้ยื่นร้องเรียนกับสังคมที่ติดตามอยู่คงต้องใจเย็น รอหน่อย แต่เรื่องนี้ใกล้เสร็จแล้ว หากผลการตรวจสอบออกมาอย่างไรจะรีบแถลงให้ทราบอีกครั้ง” นายนิวัติไชยกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน