ชี้ป้อมเหมาะหน.พปชร.
‘สนธิรัตน์’โต้ซบ‘กรณ์’
อู๊ดด้าเคลียร์ลูกพรรค
ทำโพลวัดผลงานรมต.

‘บิ๊กจิ๋ว’ โผล่ให้กำลังใจ ‘บิ๊กตู่’ นั่งนายกฯ ยาว 10 ปี แนะปรับตัวแก้วิกฤตประเทศ ปัดตอบโอกาส ‘ป้อม’ ขึ้นเป็นผู้นำรัฐบาล แต่เชื่อนั่งหัวหน้าพลังประชารัฐไร้ปัญหา ‘สนธิรัตน์’โต้ข่าวร่วมงานพรรคกล้า ‘อู๊ดด้า’ ปิดเกาะเสม็ด เคลียร์ใจส.ส.-รัฐมนตรีพรรค เตรียมทำโพลสำรวจผลงานรัฐมนตรี ลั่นหากนายกฯ ลดโควตารมต.-ทวงเก้าอี้กระทรวงเศรษฐกิจต้องแจ้งล่วงหน้า ‘ธนาธร’ร่วมเวทีผลักดันรัฐสวัสดิการ ซัดรัฐบาลจัดงบ 63-64 ยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำ จับตาเงินนอกงบฯ ปีละ 4 ล้านล้าน ไร้การตรวจสอบ

 

หนุนบิ๊กตู่ – พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการเมือง โดยเชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อาจอยู่ยาว 10 ปี ในระหว่างพาภรรยาไปเปิดตัวธุรกิจใหม่ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ กทม. เมื่อวันที่ 11 ก.ค.

 

บิ๊กจิ๋วชี้การเมือง 88 ปีไม่เปลี่ยน

เวลา 11.30 น. วันที่ 11 ก.ค. ที่โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับครม.จะกระทบการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจหรือไม่ ว่า การปรับครม.มาจากการเมือง เป็นอย่างนี้มานานแล้ว ไทยเป็นประเทศเดียวที่มีเป็นร้อยพรรคการเมือง นักการเมืองก็ทะเลาะกัน จึงเป็นปัญหาเพราะมีพรรคมาก แต่ประเทศอื่นมีเพียงสองพรรค

เมื่อถามว่าการปรับครม.ไม่สำคัญเท่าการบริหารประเทศใช่หรือไม่ อดีตนายกฯ กล่าวว่า ไม่ใช่ปรับเวลานี้ ทุกอย่างมีการปรับเปลี่ยนแปลงมาตลอด ปรับทีก็ทะเลาะกัน ทหารก็เข้ามา ตอนแรกทหารได้เครดิตดีอยู่ไปเครดิตตกลงก็เกิดเรื่อง นักการเมืองเอาประชาชนเดินขบวนก็มีเรื่องอีก เป็นแบบนี้เรื่อยมา ถ้าจะถามว่าสถานการณ์การเมืองเป็นอย่างไรคงตอบว่าเหมือนเดิมเมื่อ 88 ปีที่แล้ว ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง








Advertisement

เมื่อถามว่ารัฐบาลควรทำอย่างไรต่อจากนี้ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า วันนี้พูดแต่เรื่องการเมือง ใครจะเป็นหัวหน้าพรรค ห่วงการเลือกตั้งรัฐธรรมนูญจะแก้อย่างไร ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องห่วง การปกครองทุกรูปแบบไม่มีใครพูดเรื่องแบบนี้ สิ่งเดียวที่พูดคือจะทำอะไรเพื่อประชาชนได้บ้าง สำคัญที่สุด

เมื่อถามถึงการบริหารงานรัฐบาลช่วงเวลานี้ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่าทุกรัฐบาลมีนายกฯ ที่ดี ทุกคนมีความตั้งใจ ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้เป็นนายกฯ ซึ่งนายกฯต้องรู้จักปรับตัว รู้ว่าประชาชนต้องการอะไร และจะเอาเงินจากไหนมาใช้ ทุกวันนี้มีหนี้สิน 8 ล้านล้านบาท จีดีพีลบ 8-10% จะเป็นปัญหาทั้งสิ้น มาจากการแพร่ระบาดของโควิด19 จะแก้อย่างไรต้องช่วยกันคิด

ให้กำลังใจตู่-อยู่ยาว 10 ปี

เมื่อถามว่ามองว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จะบริหารไปรอดหรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ขอให้ปรับตัว รู้ว่าจะหาเงินมาจากที่ไหนเพื่อทำประโยชน์ให้ประชาชน และต้องถามตัวเองว่าทำไมกองทุนต่างชาติหลายแห่งให้ลาว เมียนมา เวียดนาม กัมพูชา กู้เงิน แต่ไม่ให้ไทยเพราะเหตุใด

เมื่อถามว่าจะให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไร พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า จำเป็นต้องให้ ไม่ให้เขาแล้วจะให้ใคร และรัฐบาลชุดนี้อาจจะอยู่ 10 ปีก็ได้ หรือต้องไปถามนายโสรัจจะ นวลอยู่ โหรดังก็บอกไว้แล้ว

เมื่อถามถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ตัดสินใจมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า “ก็ดีนะ แต่ตัวเตี้ยไปนิด” และในฐานะที่ตนเคยเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนกันคิดว่าไม่มีอะไร พล.อ.ประวิตร มีประสบการณ์สูง และการเป็นหัวหน้าพรรคต้องเสียสละ รู้ว่าจะบริหารประเทศอย่างไร รู้ปัญหาของชาติอยู่ตรงไหน มีอะไรบ้าง

ปัดตอบ‘ป้อม’นั่งนายกฯ

ส่วนการต่อรองของนักการเมืองที่จะเข้ามาหาผลประโยชน์ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ต้องถามทำไมถึงเป็นเช่นนั้นและจะแก้กันอย่างไร ประเทศไทยมีสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และมี 5 เสาหลักสำคัญคือ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง การต่างประเทศ ต้องปกป้องให้ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้อยู่ได้

แต่ถ้าเสาการเมืองไปไม่รอด เสาอื่นก็อยู่ไม่ได้ ตอนนี้การเมืองการปกครองทำไม่ถูกต้อง มีปัญหาจากที่มีพรรคจำนวนมาก นักการเมืองทะเลาะเบาะแว้งกัน ขณะที่ต่างประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตย แม้ประเทศใหญ่มีแค่สองพรรคเท่านั้น ที่สำคัญเขาไม่พูดเรื่องตำแหน่งทางการเมือง

เมื่อถามว่าพล.อ.ประวิตร มีโอกาสเป็น นายกฯได้หรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า อยู่ที่พล.อ.ประวิตร แต่ตนเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ ยังทำหน้าที่ไปได้ดีแล้วจะวางมือทำไม ส่วนพล.อ.ประวิตร เป็นรุ่นพี่ที่พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความเกรงใจ แต่ก็อย่าเอาความเกรงใจมาอยู่เหนือความเจริญของประเทศชาติส่วนร่วม ไม่ถูกต้อง

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าปิดประตูที่พล.อ.ประวิตร จะมานั่งนายกฯ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ไม่ตอบคำถามนี้และไม่ใช่คำตอบที่จะแก้ปัญหา แต่การจะแก้ปัญหาอย่างไรต้องทำให้เกิดการปกครองเพื่อประชาชนโดยประชาชน หรือการปกครองระบอบประชาธิปไตย

เรื่องนายกฯใครจะเป็นก็ได้ถ้ามีความรู้ความสามารถที่แท้จริง เมื่อถามว่าสถานการณ์ขณะนี้ไม่มีใครเหมาะสมเท่าพล.อ.ประยุทธ์ ใช่หรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ไม่รู้ จะไปพูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะคนดีก็มีอยู่แต่ยังไม่แสดงฝีมือ

ป้อมสั่งส.ส.ลงพื้นที่-แก้ปัญหา

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร มอบนโยบายการบริหารงานพรรคโดยย้ำให้ ส.ส.และสมาชิกพรรค มีความรักและสามัคคี ตั้งใจทำงานดูแลประชาชนให้ได้รับประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะเรื่องการจัดการบริหารน้ำ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องการแก้ไขความเดือดร้อนให้เกษตรกรและประชาชน

ที่ผ่านมาพล.อ.ประวิตร ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ติดตามสถานการณ์การบริหารจัดการน้ำ การแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 2562/63 ใน 44 จังหวัด จำนวน 2,041 โครงการ ใช้งบประมาณ 1,626 โครงการ ดำเนินการแล้ว 715 โครงการ

นอกจากนี้ ได้ติดตามความคืบหน้าการจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย ใน 76 จังหวัด 309 อำเภอ 715 ชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 10.5 ล้านไร่ มีผู้ได้รับประโยชน์ 7.82 ล้านครัวเรือน ซึ่งดำเนินการแล้ว 166 ชุมชน พื้นที่ได้รับประโยชน์ 750,000 ไร่ มีผู้ได้รับประโยชน์ 1.3 ล้านครัวเรือน คงเหลือพื้นที่ชุมชนที่ต้องดำเนินการอีก 549 ชุมชน

ทั้งนี้ หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำ เรื่องน้ำอุปโภค-บริโภค ภัยแล้ง การขาดแคลนน้ำ น้ำท่วมและอุทกภัยสามารถประสานงานกับส.ส. พปชร.ในพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีต่อไป

กลุ่มมาดามเดียร์ยันไม่หวังตำแหน่ง

น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. ให้สัมภาษณ์ถึงการแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ในพรรคว่า การตั้งหัวหน้าพรรค และรองหัวหน้าพรรค เป็นความตั้งใจดีของ ผู้บริหารพรรคที่มุ่งหวังให้พปชร.แข็งแกร่ง เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี

อนาคตต้องติดตามต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใด แต่แม้คณะบริหารพรรคจะมีการเปลี่ยนแปลง หน้าที่ ส.ส.ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการทำหน้าที่เพื่อประชาชน เชื่อมโยงประชาชน แก้ไขปัญหาให้ประชาชน

เมื่อถามถึงการแต่งตั้งทีมโฆษกพรรค ซึ่งเป็นส.ส.หน้าใหม่ จะรับมือทางการเมืองได้หรือไม่ น.ส.วทันยา กล่าวว่า ส.ส.ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกถือเป็นคนรุ่นใหม่ มีความรู้ความสามารถ การทำหน้าที่โฆษกพรรคถือเป็นความท้าทายใหม่ที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้พรรคได้

ด้านน.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ กล่าวว่า พวกเราทั้ง 6 คนไม่ได้ปรารถนาตำแหน่งใดๆ ในพรรคเลย เพราะตำแหน่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราได้เป็นส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่การลงพื้นที่แก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ที่จะเป็นที่มาที่เราจะได้รับความไว้วางใจเป็นส.ส.สมัยต่อไป

สนธิรัตน์ปัดร่วมพรรคกล้า

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน อดีตเลขาฯ พปชร. ลงพื้นที่ชมเกษตรแปลงใหญ่ ที่ศูนย์การเรียนรู้ตำบลวิถีพอเพียงและพลังงานท่ามะนาว อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี โดยกล่าวถึงกระแสข่าวเข้าร่วมงานกับนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ว่า ไม่เป็นความจริง เป็นแค่ข่าวลือ แม้ตนจะลาออกจาก พปชร.แต่ยังไม่คิดถึงเรื่องการเมืองในมิติอื่น

ตอนนี้ขอตั้งใจทำหน้าที่ในฐานะรมว.พลังงานให้ดีที่สุด เพราะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจปากท้องประชาชนถือเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก ตอนนี้อยากให้หยุดเรื่องการเมืองกันไว้ก่อน ขอให้หันมาช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุดก่อน

บุกเชียงใหม่ – นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า พร้อมว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. เดินพบปะชาวบ้านที่ตลาดวัวทุ่งฟ้าบด อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ปูทางสำหรับศึกเลือกตั้งท้องถิ่น เมื่อวันที่ 11 ก.ค.

 

ก้าวหน้าขอโทษชาวเชียงใหม่

ที่กาดงัว หรือตลาดวัวทุ้งฟ่าบอด อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ นายปิยบุตร แสนกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และน.ส.เยาวลักษณ์ วงษ์ประภารัตน์ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า พร้อมแกนนำคณะก้าวหน้า และว่าที่ผู้สมัครส.จ.ในพื้นที่เชียงใหม่ทั้งหมด ลงพื้นที่ขอโทษชาวบ้าน อ.สันป่าตอง และชาวบ้านในพื้นที่อำเภอใกล้เคียงที่เดินทางมาซื้อของในตลาดวัว

นายปิยบุตรกล่าวทักท้ายพร้อมขอโทษชาวบ้านว่า ขอโทษที่ประชาชนเลือกนางศรีนวล บุญลือ อดีตผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ พอชาวบ้านเลือกแล้วก็ย้ายพรรคไปอยู่พรรคอื่น จึงขอโทษชาวบ้านและครั้งต่อไปหากเลือกตั้งใหม่ขอให้เลือกคนของคณะก้าวไกล หรือสมาชิกของพรรคก้าวไกล ที่สมาชิกพรรคอนาคตใหม่ย้ายมาอยู่ โดยใช้เวลาทักทายและพบปะชาวบ้านพ่อค้าแม่ค้านานกว่า 30 นาที

ปลุกเลือกตั้งท้องถิ่น-คืนปชต.

จากนั้นคณะก้าวหน้าเดินทางต่อไปที่ศูนย์ประสานงานประชาธิปไตยคณะก้าวหน้า ใกล้ๆ กับตลาดวัว โดยมีนายบัณฑิต ปอย เดชฤาษี ผู้ดูแลศูนย์ประสานของคณะก้าวหน้า อ.สันป่าตอง ต้อนรับ พร้อมว่าที่ผู้สมัคร ส.จ.ทุกเขตในพื้นที่จังหวัด มีทั้งอดีตข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ อาจารย์ หมอ รวมถึงเยาวชนและชนเผ่าต่างๆ มาร่วมต้อนรับและจัดเวทีเสวนาเรื่อง “ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ ทวงคืนอำนาจ สู่ท้องถิ่น”

นายปิยบุตรกล่าวในการเสวนาว่า การทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันใช้อำนาจจากรัฐบาลสั่งการลงมายังท้องถิ่น สั่งการไปที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) รวมทั้งข้าราชการต่างๆ

โดยใช้อำนาจตรวจสอบจาก ป.ป.ช. และ สตง.เข้ามาทำหน้าที่เอาผิดผู้มีอำนาจในท้องถิ่นทั่วประเทศ เหมือนรัฐบาลเอาก้อนหินกดทับไว้ ทำอะไรก็กลัวไปหมด เอาเงินมาใช้ก็ไม่กล้า เงินก็ไม่มี ต้องเอาก้อนหินออกให้ได้ ต้องปลอดปล่อยอำนาจให้ท้องถิ่น

ทางคณะก้าวหน้า จึงเห็นความสำคัญของการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยเฉพาะการเลือกตั้ง ส.จ. ที่อาจมีการเลือกตั้งในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า เห็นว่าพรรคก้าวไกลก็มีนโยบายคล้ายกัน และจะส่งผู้สมัครลงสนามเลือกตั้งให้ได้มากถึง 70% ทั่วประเทศ เพื่อให้ได้อำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมาให้ท้องถิ่นทั่วประเทศ

เพราะเราต้องการเห็นการเลือกตั้งจากเสียงข้างมากมาบริหารจัดการในท้องถิ่นที่เป็นบ้านของทุกๆ คน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ กลับมาบ้านเพื่อลงคะแนนให้มากๆ ขอให้ทุกคนอย่าท้อแท้ อย่าสิ้นหวัง ขอให้ทุกคนมาร่วมมือกันแล้วทำไปด้วยกัน

มาร์คซัดรัฐบาลสงเคราะห์

เวลา 13.30 น. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวในเสวนา “365 วัน รัฐสวัสดิการไทยถดถอยหรือก้าวหน้า” ตอนหนึ่งว่า ปัญหาขณะนี้ คือผู้นำทางการเมืองไม่มีแนวคิดเรื่องสวัสดิการสังคมถ้วนหน้าแต่เป็นการสงเคราะห์อย่างเดียว

พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ เพราะทุกครั้งที่ถามจะพูดว่าเอาเงินมาจากไหน ฝ่ายค้านถามในสภาก็พูดแบบนี้ แต่นายกฯยืนยันเรื่องกระบวนการบริการเศรษฐกิจแบบเดิมว่าสร้างรายได้จากการลงทุนของคนมีกำลัง จะไหลลงมาที่คนรายได้น้อย

มาตรการเยียวยาโควิด-19 ที่บอกว่าตั้งเป้าช่วยคน 3 ล้านคน ขยายไปเรื่อยเกือบ 20 ล้านคน ทำไมไม่ตั้งต้นเอาระบบถ้วนหน้ามาใช้แต่ต้น ปัญหาคือจะขับเคลื่อนถ้วนหน้าอย่างไรหรือต้องปรับทัศนคติผู้นำ

นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดสรรงบประมาณปี 64 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ว่า ค่อนข้างแปลกใจที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ทั้งที่ขณะนี้ถือเป็นสถานการณ์พิเศษ และจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ

องค์ประกอบแรกที่สำคัญมากอยู่ที่ผู้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ ต้องขจัดปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองให้หมดว่าใครจะรับผิดชอบอะไร เพื่อรู้ทิศทางที่ชัดเจน โควิด-19 ยังไม่แน่นอนสูงว่าจะกลับเป็นปกติเมื่อไร ไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวต่างประเทศเยอะ

รัฐบาลต้องมีแผนที่ชัดเจนว่าระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือนและ 1 ปีจะดำเนินการอย่างไร รวมถึงเงินที่รัฐบาลกู้มาต้องใช้อย่างคุ้มค่า ตอบโจทย์จริงๆ เพราะการใช้จ่ายยังไม่จบอยู่เท่านี้แน่นอน หากมีการใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายไม่มีประสิทธิภาพหรือเกิดการทุจริตคอรัปชั่นจะเกิดปัญหามาก

ธนาธรฉะงบ 63-64 อุ้มคนรวย

เวลา 15.40 น. กลุ่ม We Fair จัดเสวนา “ผลงานรัฐบาลด้านสวัสดิการสังคมในรอบปี และข้อสังเกตต่อพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย 2564” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะกมธ.วิสามัญงบประมาณ 64 กล่าวว่า งบปี 63 และแผนจากงบ 64 ที่กำลังจะเกิด เป็นรูปธรรมยืนยันคำพูดที่ว่ารัฐบาลนี้อุ้มแต่คนรวยไม่เห็นหัวคนจนนั้นเป็นเรื่องจริง

ถ้ารัฐบาลมีเจตจำนงที่ชัดเจนตนยืนยันว่าเรามีทรัพยากรเพียงพอในการทำสวัสดิการถ้วนหน้า แต่การจัดการงบประมาณของรัฐกลับยิ่งทำให้เกิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เอาภาษีที่ควรมาดูแลประชาชนไปเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน และอุ้มรัฐราชการที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ตั้งงบฯสอดคล้องความเป็นจริง

ทั้งๆที่วันนี้ต้องการพยาบาลมากกว่าทหาร แต่งบฯรอบ 4 ปีบรรจุทหารมากถึง 80,000 ตำแหน่ง พยาบาล 10,000 ตำแหน่ง งบรักษาข้าราชการกับงบบัตรทองช่วง 7 ปีแม้เพิ่มขึ้นเท่าๆกัน 23-24% แต่ฐานต่อหัวต่างกันมาก งบรักษาข้าราชการ 2,200 บาทต่อหัว งบบัตรทองเพิ่มขึ้นเพียง 600 บาทต่อหัว

จับตาเงินนอกงบปีละ 4 ล้านล.

โครงสร้างงบ 64 วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลจะเหลือเงินอยู่เพียง 1 ล้านล้านบาทที่โยกย้ายได้ ที่เหลือล้วนเป็นรายจ่ายประจำ และ 1 ล้านล้านบาทที่โยกได้กลับเป็นงบฝึกอบรบ สัมมนา ประชาสัมพันธ์ ค่าจ้างเหมาบริการ ค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าเดินทางต่างประเทศ งบดำเนินการงบอุดหนุนถึง 7 แสนล้านแล้ว ถ้าตัดซักครึ่งหนึ่ง 3.5 ล้าน จะจัดสรรงบเพื่อจัดทำสวัสดิการของรัฐได้อีกมาก

“เรายังมีเงินพอจะมาจัดสวัสดิการถ้วนหน้าได้ เพราะยังมีเงินนอกงบประมาณอีกปีละ 4 ล้านล้านบาท เงินก้อนใหญ่มากกว่างบฯแผ่นดินในแต่ละปี เราปล่อยให้หน่วยงานรัฐจัดเก็บเองโดยไม่ต้องรายงานต่อผู้แทนราษฎร แม้แต่ตนที่เป็นกมธ.งบฯก็มองเงินเหล่านี้ไม่เห็น ตรวจสอบไม่ได้ จากนี้เราต้องสู้เพื่อไม่ให้หน่วยงานรัฐเก็บเงินก้อนไว้เองอย่างตรวจสอบไม่ได้” นายธนาธร กล่าว

รัฐสวัสดิการไม่เกิดเพราะไร้ปชต.

นายจอน อึ๊งภากรณ์ นักกิจกรรมทางสังคม กล่าวว่า เมื่อไม่มีการปฏิรูปภาษีระบบรัฐสวัสดิการก็ไม่ก้าวหน้า เพราะต้องลดช่องว่างคนรวยกับคนจนโดยใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ

ขณะที่โครงการสวัสดิการของรัฐบาลเป็นลักษณะคนเดือดร้อนต้องมาร้องขอเหมือนขอทาน รัฐไม่ได้จ่ายถ้วนหน้า หรือบัตรสวัสดิการคนจนไม่ได้เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รัฐบาลนี้เป็นของทหาร เป็นรัฐบาลของรัฐราชการที่ประชาชนมีส่วนร่วมน้อยมาก กล่าวคือไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการทำรัฐสวัสดิการ

นางนุชนารถ แท่นทอง ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวว่า หลังโควิดกลุ่มคนจนได้รับผลกระทบมากที่สุดแต่รัฐบาลพูดแต่โปรเจ็กต์ใหญ่ เช่น การพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ แผนพัฒนาที่ดิน เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ไม่รู้ว่าพิเศษสำหรับใคร ยืนยันจะเดินหน้าผลักดันรัฐสวัสดิการและผลักดันให้มีภาษีอัตราก้าวหน้า

นางสุนี ไชยรส อาจารย์คณะนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต กล่าวว่า การตีโจทย์ความหมายสวัสดิการสังคมของรัฐบาลแคบเกินไป ดูจากการตีโจทย์ผลกระทบจากโควิดที่ไม่ถูกต้อง ทำคนตกหล่นจำนวนมาก ทั้งหมดมาจากปัญหาประชาธิปไตยที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม สวัสดิการสังคมเป็นเรื่องใหญ่บนพื้นฐานของประชาธิปไตย

อู๊ดด้าย้ำในพรรคไม่มีปัญหา

เวลา 09.40 น. ที่โรงแรมแกรนด์วิวรีสอร์ท เกาะเสม็ด จ.ระยอง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมสัมมนา ส.ส.และรัฐมนตรีพรรค ว่า งานสัมมนาวันนี้เตรียมการมานานแต่ติดโควิด-19

ส.ส.ต้องทำงานหนักและลงพื้นที่ จึงถือโอกาสนี้เป็นการพูดคุยกันแบบสบายๆ มาชาร์จแบตร่วมกัน จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิกเรื่องทิศทางการนำพาพรรคไปข้างหน้าว่าจะทำอย่างไรให้ปชป.เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชนได้อีกครั้งหนึ่ง ส่วนความขัดแย้งภายในพรรคเป็นเพียงกระแสข่าว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังทำงานร่วมกันได้

เมื่อถามถึงการประชุมใหญ่สามัญประจำปี วันที่ 19 ก.ค. จะประเมินผลงานรัฐมนตรีของพรรคหรือไม่ หัวหน้าปชป. กล่าวว่า การประชุมใหญ่เป็นไปตามระเบียบวาระที่กำหนดไว้ ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีพรรคมีการติดตาม รวมทั้งส.ส.และสมาชิกด้วย ตัวรัฐมนตรีก็ต้องประเมินผลงานตัวเองว่าที่ผ่านมาปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จลุล่วงอย่างไร

เพราะการทำหน้าที่ของรัฐมนตรีมีผลต่อภาพรวมของพรรค ส่วนพรรคจะเปลี่ยนแปลงตัวรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ขอไม่ตอบ เพราะไม่อยู่ในฐานะที่ตอบได้ เนื่องจากปชป.มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ต้องเป็นความเห็นจากที่ประชุมส.ส.และกก.บห.พรรคร่วมกัน

ลดโควตารมต.-รบ.ต้องแจ้งก่อน

เมื่อถามว่าเชื่อมั่นหรือไม่ปชป.ยังได้เก้าอี้รัฐมนตรีเท่าเดิม นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขอไม่ตอบเพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่นายกฯ ถ้านายกฯจะมีความคิดเห็นที่นอกเหนือไปจากที่เคยพูดคุยกันไว้ตอนร่วมรัฐบาลท่านก็จะแจ้งให้ทราบ พรรคจะได้ประชุมและแจ้งกลับไปยังนายกฯว่าเห็นเป็นอย่างไร การปรับครม.ขึ้นอยู่กับ นายกฯ แต่จนถึงขณะนี้นายกฯยังไม่ส่งสัญญาณใดๆ มาหาตน

เมื่อถามถึงกระแสข่าว พปชร.จะขอคืนกระทรวงเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรฯ จะทำให้ไม่มีปชป.อยู่ร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ทุกอย่างต้องผ่านนายกฯ พปชร.ก็เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลและมาเชิญปชป.เข้าร่วม มีการเจรจาเงื่อนไขข้อตกลงที่ชัดเจนจนยอมรับเงื่อนไขและแถลงนโยบายต่อรัฐสภาซึ่งเป็นข้อผูกพันกับคนทั้งประเทศแล้ว ฉะนั้นถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องแจ้งให้ปชป.ทราบและเราจะกลับไปพิจารณา

ปิดห้องเคลียร์ใจลูกพรรค

จากนั้นเวลา 10.00 น. เป็นงานสัมมนา ระหว่างส.ส.และรัฐมนตรีของพรรคทั้ง 7 คน โดยมีนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธานส.ส. ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าสังเกตการณ์ เจ้าหน้าที่พรรคและผู้ไม่เกี่ยวข้องถูกกันออกนอกพื้นที่ด้วย

ช่วงแรกมีการสรุปภาพรวมการทำงานในสภา การอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบ 64 วิเคราะห์การเมืองภาพใหญ่หลังวิกฤตโควิด-19 และวิเคราะห์ทีมเศรษฐกิจ พปชร. และการแสดงความคิดเห็นความเป็นสถาบันพรรคการเมือง จุดยืนและยุทธศาสตร์ปชป.

ที่ต้องขับเคลื่อนต่อจะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จเหมือนพรรคน้องใหม่ที่ทำสื่อโซเชี่ยลและประสบความสำเร็จ รวมถึงการมุ่งเน้นสร้างผลงานแก้ปัญหาปากท้อง และการลงพื้นที่ของส.ส. การประชุมเสร็จสิ้นในเวลา 17.00 น.

ทำโพลประเมินผลงานรมต.

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง กล่าวว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา มีการแสดงความคิดเห็นว่าเราต้องยอมรับความจริงว่าปชป. ไม่ได้อยู่ในสถานะที่มีความนิยมอย่างมากเหมือนอดีต ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มากขึ้น

ซึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องอื่นๆ ทั้งการทำตาม นโยบายพรรคที่ประกาศ การบริหารจัดการภายในพรรค สิ่งที่ดีมากในการพูดคุยวันนี้คือทุกคนยอมรับว่าต้องประเมินการทำงานของรัฐมนตรีทุกคน ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาฯพรรค รับเรื่องและจะไปกำหนดหาวิธีทำโพล ส.ส.เป็นคนเลือกรัฐมนตรี แต่ส.ส.ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ดังนั้นการให้ส.ส.เป็นผู้ประเมินผลงานรัฐมนตรีก็เป็นเรื่องที่ส.ส.ทำในนามตัวแทนของประชาชน

การประเมินผลงานรัฐมนตรีจะมี 2 ส่วน 1. ประเมินแง่ความรับผิดชอบต่อนโยบายพรรคว่ารัฐมนตรีแต่ละคนได้ทำมากน้อยแค่ไหน และ 2. การประเมินความพึงพอใจที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีของพรรคทุกคนไม่มีใครขัดข้อง เลขาฯพรรคฯ ก็รับไปพิจารณาด้วย แต่ยังไม่ได้พูดคุยถึงขั้นที่ว่าหลังจากการประเมินผลงานรัฐมนตรีแล้วจะทำอย่างไรและยังไม่ได้พูดคุยถึงการปรับครม.ของพรรค

1 เดือนต้องมีการเปลี่ยนแปลง

ปชป.อยู่มา 70 กว่าปี ก็ถึงจุดที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ที่สุดแล้วเรายังอยากเป็นพรรคใหญ่ กลาง หรือเล็ก จึงต้องพูดกันตั้งแต่เรื่องความคิด การขับเคลื่อนพรรค การตอบรับต่อกระแสการเรียกร้องของประชาชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ฝ่ายบริหารก็รับแล้วจะไปกำหนดวิธีการต่อไป

ขณะเดียวกันมีการกำหนดไว้ว่าเรื่องที่พูดคุยกันต้องเห็นผลการเปลี่ยนแปลงภายใน 1 เดือน นับจากนี้ ซึ่งผลการประชุมวันนี้อาจทำให้หลายคนรู้สึกว่าตรงกับสิ่งที่พวกเขาเรียกร้องแม้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม ในส่วนของตนพอใจการตอบรับของ ผู้บริหาร 70% มากกว่าที่คาดหวังไว้

เชื่อว่าหลังจากนี้จะเกิดการลงมือทำเพื่อให้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหลายๆ เรื่อง การสัมมนาครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ดี ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าการพูดคุยแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีและต้องจัดขึ้นอีก โดยต้องให้ส.ส.และฝ่ายบริหารของพรรคมาพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ถ้ายังอยากให้ปชป.กลับมาเป็นพรรคชั้นนำอีก ตนเชื่อว่า 1 เดือนหลังจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาฯ ปชป. ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นการให้ส.ส.เปิดใจถึงวิธีการที่จะทำให้ปชป.เดินไปข้างหน้า และเป็นการยุติสิ่งต่างๆ ที่เคยปรากฏในหน้าสื่อ ส่วน กระแสส.ส.เรียกร้องอยากให้พรรคสำรวจคะแนนนิยมของพรรคนั้น เราจะตั้งคณะทำงานและให้ส.ส.มีส่วนร่วมครั้งนี้ด้วยโดยอีก 1-2 เดือนจะเห็นผล ประเด็นที่ส.ส.หยิบยกขึ้นมาแสดงความคิดเห็นมากที่สุดคือการอยากเห็นรัฐมนตรีของพรรคทำงานร่วมกับส.ส.ให้มากขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน