พฐ.ให้การ
ยันข้อมูล
ซิ่ง177กม.

ส่ง ‘บิ๊กแป๊ะ’ ฟันเพิ่ม ‘บอส’คดีเสพโคเคน พ.ต.อ.ที่คำนวณ 79 ก.ม./ช.ม. เมื่อปี 59 ให้การอีกรอบ แจ้งกก.ตำรวจ ขอยืนยันตัวเลขความเร็วที่ 177 ก.ม. ตามสำนวนแรก ส่วนที่ความเร็วลดวูบ อ้างเหตุสับสนข้อมูล ‘วิชา มหาคุณ’ ตั้ง 4 ทีมช่วยเก็บข้อมูล เผยต้องรายงานผลส่งตรง ‘บิ๊กตู่’ ทุก 10 วัน

เมื่อวันที่ 7 ส.ค. นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญานายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่งตั้งขึ้นกล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมา 4 ชุด ตรวจสอบการทำงานของอัยการ ตำรวจและคนทั่วไป โดยเรียกว่าคณะรวบรวมข้อมูล ซึ่งจะติดตามความคืบหน้าเพื่อออกสื่อชี้แจงให้ประชาชนรับทราบเป็นระยะ และคณะทำงานจะเปิดช่องทางให้ประชาชนส่งข้อมูลที่มีเข้ามาที่คณะกรรมการชุดนี้ได้โดยตรงเพื่อช่วยกันค้นหาข้อเท็จจริงในคดีนี้

นายวิชากล่าวต่อว่า ขณะนี้คณะกรรมการกำลังทำหน้าที่กันอยู่ โดยในวันอาทิตย์นี้จะเรียกสอบชุดอัยการในคดีดังกล่าว ส่วนวันจันทร์ถัดไปก็จะเข้าพบกับ ผบ.ตร.เพื่อให้ชี้แจงรายละเอียดของคดี

ทั้งหมด ตนมารับหน้าที่ตรงนี้ไม่ได้หนักใจอะไร มาทำหน้าที่เป็นกลางจึงไม่ความกดดันใดๆ เมื่อนายกฯมอบหมายมาให้ทำเต็มที่ ก็ไม่ต้องไปกลัวหรือวิตกอะไรทำหน้าที่ไปตามคำสั่งตรวจสอบตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย แม้ว่าเสียงสะท้อนจากสังคมต่างๆ จะรู้สึกสิ้นหวังกับกระบวนการยุติธรรมว่าพึ่งได้จริงไหม คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้นไหม เราก็ต้องทำความจริงออกมาให้มันชัดเจน ถ้ามีข้อบกพร่องหรือที่ต้องแก้ไขอะไรที่เราพบ ก็ต้องทำเรื่องเสนอแนะไปทางนายกฯโดยตรง

นายวิชากล่าวด้วยว่า ต้องพยายามค้นหาความจริงในทุกเรื่องของคดีนี้ รวมถึงการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง พยานปากสำคัญในคดีนี้ด้วยว่าเสียชีวิตเพราะอะไรกันแน่ เพราะทางคณะกรรมจะต้องรายงานตรงถึงนายกฯโดยตรงทุก 10 วัน ว่าการตรวจสอบคืบหน้าไปมากน้อยเท่าไรตามหน้าที่ของเรา ซึ่งทุกวันนี้มีข้อมูลหลั่งไหลเข้ามาจนล้น ทางคณะทำงานต้องมากลั่นกรองไม่ให้เกิดข้อมูลซ้ำซ้อนและต้องเป็นข้อมูลจริงที่ใช้ได้ ไม่ต้องกังวลอะไรเพราะตนเคยผ่านงานทำหน้าที่ตรวจสอบมาเยอะแล้ว

วันเดียวกัน พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ส.ว.ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์กรณีการทวงถามถึงเอกสารบันทึกการประชุมกมธ.ฯ ซึ่งพิจารณาคำร้องขอจากทนายนายวรยุทธ กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีขับรถหรูชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ว่า ตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารสามารถร้องขอผ่านหน่วยงานของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เบื้องต้นทราบว่ามีหลายหน่วยงานร้องขอ รวมถึงคณะทำงานของ นายวิชา เป็นสิทธิที่ประชาชนจะร้องขอได้ อย่างไรก็ตามในการส่งเอกสารตามขั้นตอนของทางราชการนั้น ตนไม่สามารถตอบได้ว่า อยู่ในขั้นตอนใด

เมื่อถามว่าหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นายวรยุทธได้รับประโยชน์และการช่วยเหลือจากการทำหน้าที่ของกมธ.ฯ พล.ร.อ.ศิษฐวัชรกล่าวว่า ตอนรับเรื่องร้องทุกข์ กมธ.ฯ ทำหน้าที่ตามกรอบของกฎหมายที่ให้อำนาจหน้าที่ ไม่เคยทำงานเพื่อช่วยเหลือบุคคลให้รอดจากคดีความ และขณะนั้นแม้จะเป็น สนช. ก็ต้องทำงานภายใต้กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทำงานภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ และ

ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย ยืนยันว่ากรณีที่เกิดขึ้นนั้นกมธ.ฯ ไม่เคยช่วยคดีบุคคลใด
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้มีการสั่งประธานและคณะกรรมการตรวจสอบไปแล้ว ว่าต้องทำความจริงให้สังคมเขารับรู้ ถ้าพบส่วนไหนที่บกพร่องก็ให้ดำเนินการ ส่วนผู้ที่ถูกลงโทษไปแล้วนั่นอีกส่วนหนึ่ง แต่ถ้าขอใหม่เจอช่วงไหนก็ดำเนินการตามมติ

ของคณะกรรมการได้เลย ตนไม่ได้เข้าไปแทรกแซงอยู่แล้ว ส่วนพล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้พูดคุยกันในเรื่องอื่นแต่ยังไม่ได้คุยเรื่องที่ไม่เห็นแย้งอัยการ เชื่อว่าหลังจากนี้ทางคณะกรรมการจะเรียกพล.ต.ท.เพิ่มพูนไปชี้แจงข้อเท็จจริงอีกครั้ง

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรองประธานกรรมการสอบสวนชุดตำรวจในคดีของนายวรยุทธ ว่า วันอังคารที่ 11 ส.ค.นี้ คณะกรรมการจะประมวลสรุปผลการตรวจสอบเสนอต่อพล.ต.อ.จักรทิพย์ เพื่อพิจารณาสั่งการ รวมทั้งกำหนดวันแถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชน ถึงข้อเคลือบแคลงสงสัยตามกรอบที่ ผบ.ตร. ได้วางแนวทางในการสอบสวนไว้ โดยเฉพาะประเด็นสาเหตุการสั่งไม่แย้งคำสั่งอัยการในคดีนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมกรรมการสอบสวนชุดตำรวจวันนี้ เป็นการประชุมของคณะกรรมการชุดย่อย โดยเชิญพล.ต.ท.วิเชียร ตันตะวิริยะ ผบช.สพฐ พล.ต.ท.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทีมงานกองพิสูจน์หลักฐาน เข้าให้ข้อมูลในประเด็นเกี่ยวกับความเร็ว ประเด็นที่คณะกรรมการสอบถาม คือ วิธีการตรวจวัดความเร็วของรถยนต์เพื่อนำข้อมูล

มาวินิจฉัยว่าความน่าเชื่อถือระหว่าง นาย สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม หัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ สถาบันฯพระจอมเกล้านครเหนือ เพื่อพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูล หากน่าเชื่อถือทั้ง 2 สถาบัน คณะกรรมการสอบสวนอาจทำความเห็นเสนอ ผบ.ตร.

ให้หาหน่วยงานกลางมาตรวจพิสูจน์เพิ่ม ซึ่งประเด็นความเร็วรถของนายวรยุทธ ขณะนี้ยังไม่เป็นที่ยุติ
ขณะที่พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สบ 4 กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนเป็นวันที่ 2 หลังจากเมื่อวันที่ 6 ส.ค. ได้เข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องความเร็วแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าทาง พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ได้กลับข้อมูลใหม่

ระบุว่าความเร็วรถนายวรยุทธขณะเกิดเหตุอยู่ที่ 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหมือนกับในสำนวนครั้งแรก ส่วนที่มาให้การภายหลังเมื่อปี 2559 ระบุ ความเร็วลดลงเหลือ 79.23 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งอ้างกับคณะกรรมการสอบสวนว่าสับสนในการคำนวณข้อมูล

รายงานข่าวแจ้งว่าจากการสอบปากคำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้รับการยืนยันตรงกันว่าสารโคเคนที่พบในเลือดของนายวรยุทธ เกิดจากการเสพโคเคนและแอลกอฮอล์ คณะกรรมการจึงจะเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาตั้งข้อหาเสพโคเคนเพิ่มเป็นข้อหาใหม่

วันเดียวกัน พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1/รองโฆษก สตม. ออกเอกสารชี้แจงกรณีมีสื่อระบุ สตม. ถอนหมายจับ นาย วรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ว่า กรณีนี้คลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง ทั้งนี้สตม.ไม่มีอำนาจถอนหมายจับและหมายอินเตอร์โพล ต่อมาสน.ทองหล่อ ได้มีหนังสือแจ้งว่าอัยการได้สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธทุกข้อกล่าวหา และไม่ต้องการตัวนายวรยุทธไปดำเนินคดี สตม.จึงได้นำชื่อออก

จากบัญชีเฝ้าดู แต่เนื่องจากศาลยังไม่ได้ถอนหมายจับนายวรยุทธ ผบช.สตม. ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกนายเมื่อพบตัวนายวรยุทธให้จับกุมตัวและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเข้ากักตัว 14 วัน ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาคโรคโควิด State Quarantine 14 วัน และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอด 24 ช.ม. ทั้งนี้สตม.จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาและเสมอภาคไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวย สตม.ยุคนี้ขอยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างประชาชน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน