เซ็นทรัลปิ่นเกล้าทะลักถนน
เฉลยอย่างฮา-บิ๊กเซอร์ไพรส์
อจ.นับพันลงชื่อ-ฮึ่มรัฐบาล
หยุดสอนถ้าเมินข้อเสนอเด็ก
สั่งปิด‘วอยซ์’-โวยเสรีภาพสื่อ

เฉลยเซอร์ไพรส์คือไม่มีเซอร์ไพรส์ ม็อบนักเรียน นักศึกษาและประชาชนแกงอีกแล้ว นัดพร้อม ทุกสถานีรถไฟฟ้าก่อนจะร่วมชู 3 นิ้วร้องเพลงชาติ จากนั้นตะโกนไล่เผด็จการ เชียร์ประชาธิปไตย แต่ยังชุมนุมแน่นเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ส่วนกอร.ฉ.เผยศาลมีคำสั่งปิด สื่อวอยซ์ ทีวีทุกแพลตฟอร์ม ชี้ผิดประกาศฉุกเฉิน-พ.ร.บ.คอมพ์ ด้านคนส.เดินเท้าจาก มธ.ท่าพระจันทร์ไปทำเนียบรัฐบาล ยื่นรายชื่ออาจารย์-นักวิชาการกว่า 1 พันชื่อจี้รัฐบาล ‘อนุสรณ์ อุณโณ’ ขีดเส้น 7 วัน ให้ฟังข้อเรียกร้องม็อบหยุดคิดสลายชุมนุม-เลิกพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ฮึ่มหยุดสอนทั่วประเทศ หากเมินแก้ปัญหา ดักคอเปิดสภาวิสามัญ อย่าแค่ซื้อเวลาอุ้ม ‘ตู่’

ปิดทุกแพลตฟอร์มวอยซ์ทีวี

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส แถลงข่าวร่วมกับ กอร.ฉ. เปิดเผยว่า ตามที่พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง มีคำสั่งตามพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ให้ดีอีเอสดำเนินการตรวจสอบและระงับการเผยแพร่ของสื่อที่เข้าข่ายฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้น

ดีอีเอสตรวจสอบประมวลโดยฝ่ายกฎหมาย เสนอศาลปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกช่องทางของสื่อ 4 องค์กรคือ วอยซ์ทีวี ประชาไท The Reporters และ The Standard ล่าสุดมีคำสั่งจากศาลสั่งปิดทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ของวอยซ์ทีวีแล้ว ส่วนอีก 3 สื่อยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา สำหรับกรณีของวอยซ์ทีวีนั้น เนื่องจากเข้าข่ายหลายองค์ประกอบความผิด ทั้งขัดพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมถึงพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ด้วย

กอร.ฉ.แถลงจับเพิ่มอีก 3 คน

ด้านพล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผบช.น. กล่าวถึงการดูแลการชุมนุมในภาพรวมการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ว่าผลการปฏิบัติไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด การควบคุมสถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีการชุมนุม 5 จุดใหญ่ ได้แก่ แยก ม.เกษตรฯ (บางเขน), บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร, บริเวณมหาวิทยาลัยศิลปากร (วังท่าพระ), บริเวณ ถ.ตัดใหม่สาธุประดิษฐ์ และบริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2

ส่วนการดำเนินการทางกฎหมาย มีการจับกุมผู้กระทำความผิดจำนวน 2 ราย ได้แก่ นายปฏิวัติ สาหร่ายแย้ม (หมอลำแบงก์) ถูกเจ้าหน้าที่ สภ.เมืองขอนแก่น จับกุมได้ที่บ้านพัก ในอ.เมือง จ.ขอนแก่น ตามหมายจับศาลอาญาที่ 1589/ ลงวันที่ 15 ต.ค.2563 ของ สน.ชนะสงคราม ในความผิดตาม ม.116

นายขวัญ จีนา จากกรณีที่มีเหตุชุลมุนป้อมตำรวจ สน.บางนา จับกุมได้ตามหมายจับศาลอาญา พระโขนงที่ จ.628/ 2563 ลงวันที่ 19 ต.ค 63 ของ สน.บางนา ข้อหาฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้ กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคแรก

นายประวิทย์ สมรัตน์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ปรากฏตามสื่อโซเชี่ยลต่างๆ ว่า เป็นตำรวจปลอมตัวเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม ขอเรียนว่า เจ้าหน้าที่ตรวจได้พิสูจน์ทราบแล้ว ว่าไม่ใช่ตำรวจ จึงได้ติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย 1. ข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2. ทำให้เสียทรัพย์ ม.358 3.ชุมนุมเกิน 10 คนขึ้นไป ม.215 วรรคแรก

แจงเหตุขอปิดแอพ‘เทเลแกรม’

สำหรับการเตรียมกำลังในวันเดียวกันนี้ จะดูตามสถานการณ์ โดย บช.น.เตรียมกำลังไว้ 12 กองร้อย จำนวน 1,860 นาย ภายใต้การบังคับบัญชา พล.ต.ต.สหรัฐ ศักดิ์ศิลปชัย รอง ผบช.น. โดยเน้นการปฏิบัติเป็นชุดเคลื่อนที่เร็วในการเข้ารักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณที่มีการชุมนุมและป้องกันมือที่ 3 ก่อความไม่สงบเรียบร้อย

ด้านนายภุชพงค์กล่าวว่ากระทรวงดีอีเอส ได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์การชุมนุมในการประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคง พิจารณาการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และประสานงานการตรวจพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับความผิดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และดำเนินการร้องขอคำสั่งศาลในการระงับหรือลบข้อมูลที่ผิดกฎหมาย

ส่วนกรณีแอพพลิเคชั่นเทเลแกรม (Telegram) นั้น ตรวจพบการใช้แอพพลิเคชั่นดังกล่าว ในการนัดหมาย เชิญชวนชุมนุม ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จึงแจ้งเรื่องต่อไปยัง ผบ.ตร ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงทราบ และพิจารณาข้อมูลดังกล่าว

ระบุม็อบชุมนุมยกระดับได้แค่นี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า เจ้าหน้าที่คิดว่าผู้ชุมนุมจะยกระดับการชุมนุมหรือไม่ พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า จากการประเมินเชื่อว่าผู้ชุมนุมขณะนี้สามารถยกระดับได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ส่วนการดาวกระจายจะเป็นการเคลื่อนตัวไปตามสถานีรถไฟฟ้าต่างๆ เท่านั้น เชื่อว่าชุดเคลื่อนที่เร็วจะสามารถเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยในส่วนนี้ได้ ส่วนกรณีที่แกนนำหลายคนได้รับการปล่อยตัวแล้วนั้น มีเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวโดยเฉพาะบางคน มีเงื่อนไขห้ามเข้าพื้นที่การชุมนุม ซึ่งขณะนี้ส่วนใหญ่มีหมายจับที่กำลังดำเนินการอยู่หลาย 10 หมาย โดยทางเจ้าหน้าที่ขอย้ำเตือนไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมว่าการกระทำในทุกกรณีที่เข้าข่ายผิดมีเจ้าหน้าที่คอยรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายทุกราย

ขณะที่ทางด้าน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส ได้ตรวจสอบพบบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการยุยงทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ได้ส่งเรื่องมาให้กอร.ฉ. ดำเนินรวมแล้ว 58 เรื่อง

จี้‘บิ๊กตู่’ – เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง นำโดยนายอนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ม.ธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยนักวิชาการทั่วประเทศ 1,118 รายชื่อ ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม เรียกร้อง 3 ข้อกรณีการสลายการชุมนุม และขีดเส้นรัฐบาล 1 สัปดาห์ขู่หยุดสอนทั้งประเทศ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 20 ต.ค.

คนส.รวมตัวเดินไปทำเนียบ

เมื่อเวลา 08.00 น. วันเดียวกัน ที่ลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) นำโดย นายอนุสรณ์ อุณโณ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. และนายธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ พร้อมอาจารย์และนักศึกษาประมาณ 50 คน เดินเท้ามายังทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เส้นทางถนนราชดำเนิน ผ่านหน้าอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ข้ามถนนบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สู่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา แล้วเดินต่อไปกระทั่งถึงหน้าทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.30 น.เพื่อยื่นแถลงการณ์เรื่อง หยุดสลายการชุมนุมและขจัดผู้เห็นต่าง สร้างทางออกให้ประเทศไทย

นายอนุสรณ์อ่านแถลงการณ์ว่า การชุมนุมของนักเรียนนิสิตนักศึกษา รวมถึงประชาชนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาบนฐานของข้อเท็จจริง หลักการ และเหตุผล โดยมีผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นตัวตั้ง อีกทั้งยังเป็นไปอย่างสงบและปราศจากอาวุธ แต่รัฐบาลไม่รับข้อเสนอ และยังขัดขวาง ทั้งการตั้งข้อหาและจับกุมคุมขังแกนนำและผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงและการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมคืนวันที่ 16 ต.ค. ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บและสถานการณ์บานปลาย ไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลายลงแต่อย่างใด

จี้รัฐบาลรับข้อเสนอผู้ชุมนุม

คนส. พร้อมกับนักวิชาการ รวมถึงประชาชนที่มีรายชื่อแนบท้ายจำนวน 1,118 รายชื่อ จึงขอแสดงจุดยืนและข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลดังนี้

1.ขอประณามการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม บริเวณแยกปทุมวันคืนวันที่ 16 ต.ค. เพราะเป็นการจัดการกับการชุมนุมที่ไม่เป็นไปตามหลักการและขั้นตอนที่เป็นสากล และใช้กำลังที่ไม่ได้สัดส่วนหรือเกินกว่าเหตุ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้มีอาวุธ ไม่ได้มีพฤติการณ์รุนแรง และจำนวนมากเป็นเยาวชน รัฐบาลจะต้องยุติการสลายการชุมนุมและรับผิดชอบต่อความผิดพลาดนี้

2.รัฐบาลต้องยุติการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือขจัดผู้เห็นต่าง ต้องยกเลิกการตั้งข้อหาและต้องปล่อยตัวผู้ชุมนุมทุกคนอย่างไม่เงื่อนไข ต้องยกเลิกการใช้กฎหมาย เช่น พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เอาผิดผู้แสดงความเห็นต่างหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล รวมถึงต้องยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงและการบังคับใช้กฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างไม่สมควรแก่เหตุ

3.รัฐบาลต้องรับข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมไปพิจารณาอย่างจริงจัง ทั้งการให้ นายกฯ ลาออก การแก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการปฏิรูปสถาบัน ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย โดยตั้งคณะกรรมการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะที่มาจากตัวแทนฝ่ายต่างๆ ในภาควิชาการ ประชาชน และนักเรียนนิสิตนักศึกษา เพราะปราศจากการเขียนกติกาสูงสุดที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น

เตรียมหยุดการสอนทั่วประเทศ

จากนั้น นายอนุสรณ์ ให้สัมภาษณ์ว่า การยื่นแถลงการณ์วันนี้เป็นเพียงมาตรการ เบื้องต้น เราไม่ใช่กลุ่มที่นิยมใช้ความรุนแรง คงไม่ไปปิดกั้นไม่ให้ดำเนินการอะไร แต่จะใช้การเคลื่อนไหวด้วยการไม่กระทำ เช่น นัดหยุดสอน ซึ่งคนส. มีอยู่ทุกมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ถ้าเห็นว่าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย นายกฯ ยังไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องแต่โดยดี เราจะประสานความร่วมมือในกลุ่มนักวิชาการ งดเว้นการเรียนการสอนหรือหยุดชั้นเรียน ขณะนี้ยังไม่เริ่ม แต่รอดูสถานการณ์ว่ารัฐบาลจะตอบสนองข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมและข้อเรียกร้องของนักวิชาการอย่างไร ถ้าคำตอบไม่น่าพึงพอใจ เราจะคิดถึงมาตรการต่อๆ ไป

นายอนุสรณ์กล่าวว่า ปกติเราจะตั้งโต๊ะออกแถลงการณ์ แต่เกรงว่าอาจจะไปไม่ถึงคนที่อยู่ในอำนาจ และเวลานี้นักศึกษามาเรียนรู้โลกข้างนอกมากกว่าในชั้นเรียนที่ไม่ได้ตอบโจทย์หรือบิดเบือนไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและไม่ได้ช่วยให้ทางออกกับสังคม ดังนั้น เราจะอำนวยความสะดวกให้นักศึกษาได้เรียนรู้มากขึ้น ทั้งนี้ เราจะรอดูท่าทีของรัฐบาล 1 สัปดาห์ อย่างน้อยต้องให้รัฐบาลยุติสลายการชุมนุม และแกนนำต้องได้รับการประกันตัว ยุติการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือขจัดผู้เห็นต่างและยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในกทม.

ปิดสื่อ-ประชาชนจะปกป้องเอง

นายอนุสรณ์กล่าวว่า วันนี้แม้รัฐบาลจะมีท่าทีผ่อนปรน เปิดประชุมรัฐสภาวิสามัญ พูดคุยในภาพกว้าง แต่ยังไม่แตะถึงข้อเรียกร้อง ต้องคอยดูกันต่อว่าการเปิดประชุม จะไม่ใช่การหันเหกระแส ความไม่พอใจจากตัวนายกฯ และถ้าไม่ได้พูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญหรือการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ก็เป็นแค่การซื้อเวลาให้นายกฯ อยู่ในอำนาจต่อ การเปิดสภาวันนี้ช้าไป ควรทำตั้งแต่มีการเรียกร้อง แต่ด้วยความดื้อและคิดว่าอำนาจจะช่วยได้ พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องรับฟังข้อเสนออย่างจริงจัง

เมื่อถามว่ากลุ่มผู้ชุมนุมประกาศยกระดับ หากข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบรับใน 24 ชั่วโมง จะเกิดอะไรขึ้นจากนี้ นายอนุสรณ์กล่าวว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่าประกาศสถานการณ์ร้ายแรงไม่มีผลและทำให้เกิดความขุ่นเคือง ซึ่งผู้ชุมนุมอาจเห็นพลังที่จะเกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ที่การชุมนุมใหญ่จะเกิดขึ้นอีก ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ตรงของเด็ก ไม่ได้มาจากการหว่านล้อม หรือจัดตั้งของใคร โอกาสที่จะให้สลายการชุมนุมโดยขจัดแกนนำออกไป ไม่มีผล และจะก่อให้เกิดวิธีต่อต้านขัดขืนในรูปแบบต่างๆ วันนี้ยังพอคุยกันได้ แต่ถ้านายกฯหรือผู้มีอำนาจไม่ฟัง อารมณ์และความคิดจะพัฒนาไปอีก เมื่อถึงจุดนั้น อาจจะไม่เหลือโอกาสประนีประนอมกันอีก

เมื่อถามถึงคำสั่งที่มีการระงับการเผยแพร่ของสื่อหลายสำนัก นายอนุสรณ์กล่าวว่า ขอให้สื่อมีความกล้าหาญ และเวลานี้สื่อใหญ่หลายสำนักมาทำข่าวการชุมนุมของนักเรียนนักศึกษา จากเดิมที่แทบไม่ได้รับการเผยแพร่ เมื่อสื่อเริ่มขยับรัฐจึงเข้าไปกำกับมากขึ้น ถ้าสื่อยืนยันความถูกต้อง ไม่ต้องกังวลว่ารัฐบาลจะใช้อำนาจ ไปปิดสถานี และเชื่อว่าถ้าเกิดขึ้น จะถูกนำไปเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของการชุมนุมที่ให้ยกเลิกการคุกคามสื่อ หรือปิดกั้นการเสนอข่าวของสื่อด้วย

ป้องสถาบัน – ชาวชลบุรีประมาณ 1 พันคน นำโดยนายวิชิต ชิตวิเศษ อดีต รองนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองบ้านสวน สวมเสื้อเหลืองมาร่วมชุมนุมปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่หน้าลานพระบรมรูปเสด็จพ่อ ร.5 ศาลากลางจังหวัดชลบุรี จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 20 ต.ค.

รมต.ปลุกม็อบต้านเยาวชน

วันเดียวกัน นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ผมเป็นคนไทย รักชาติ รักสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมจะไม่ยอมให้ใครคนไหนมาทำลาย ก้าวล่วงสถาบัน ผมถือว่าคนเราคิดต่างกันได้ในเรื่องการเมือง แต่เรื่องประเทศชาติบ้านเมืองสถาบันผมรับไม่ได้ ผมขอเชิญประชาชน กัลยาณมิตรที่ดีออกมาช่วยกันแสดงออกสื่อไปถึงกับกลุ่มก้าวล่วงดังกล่าว เพื่อให้รู้ว่าทำอะไรต้องอยู่ในกรอบ อยู่ในสิทธิ์ แต่ถ้าออกมาก้าวล่วงสถาบันแบบนี้ ผมคิดว่าทำร้ายจิตใจของคนไทยทั้งชาติ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเพจดังกล่าวยังเชิญชวนให้มาร่วมแสดงพลังในวันที่ 20 ต.ค. เวลา 16.00 น. บริเวณลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 หน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี

สุชาติรับทำจริง-แสดงจุดยืน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุชาติกล่าวถึงการโพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนชาว จ.ชลบุรี แสดงพลังปกป้องสถาบันในวันที่ 20 ต.ค.ว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ แสดงออกเพื่อจะปกป้องสถาบันได้ ความเห็นต่างทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ แต่การที่มีบางกลุ่มก้าวล่วง ลบหลู่สถาบัน ซึ่งประชาชนที่เขารักสถาบันก็มีมากมายที่รับไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาขวางขบวนเสด็จฯ ตนได้รับโทรศัพท์ทั้งวันทั้งคืนว่าจะปล่อยให้คนเหล่านี้ทำแบบนี้ได้อย่างไร เพราะเหมือนทำร้ายจิตใจเขา ดังนั้น การแสดงพลังในเย็นวันนี้ เพราะหลายฝ่ายอยากแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้อง และตนสนับสนุนสิ่งที่ถูกต้อง

นายสุชาติกล่าวว่า ตนไม่เคยว่าหรือตำหนิใครที่คิดเห็นต่างทางการเมือง แต่คนเราก็ต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของกันและกัน ไม่ไปทำร้ายจิตใจสิ่งที่คนไทยยึดเหนี่ยวมาทั้งชีวิต จึงอยากฝากไปยังกลุ่มที่คิดก้าวล่วงสถาบันหรือที่คิดจะล้มล้างสถาบัน อยากให้คิดและทบทวนชีวิตตัวเองใหม่ว่าที่ผ่านมาชีวิตเกิดมาได้ ประเทศชาติสงบสุขมาได้ถึงทุกวันนี้เพราะเรามีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมในฐานะนักการเมือง และในฐานะผู้นำชุมชน ได้รับการเลือกตั้งมาก็มีกลุ่มพี่กลุ่มน้องกัลยาณมิตร ก็อยากที่จะออกมาปกป้องสถาบันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง

บิ๊กตู่สั่งหันตู้ลำโพงเปิดเพลง

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมครม. ระหว่างพักการประชุม ช่วงหนึ่งมีการเปิดเพลง “อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี” เมื่อได้ยินบทเพลงดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ ให้หันลำโพงเพื่อให้ครม.และผู้เข้าร่วมประชุมที่อยู่ระหว่างพักได้ยินอย่างทั่วถึงกัน

หลังการประชุมครม. ก่อนที่พล.อ. ประยุทธ์ จะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ยังให้เปิดเพลง “อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี”

ก่อนกล่าวว่า “ฟังเพลงแล้วรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้างไหม เราลูกหลานไทยคนไทยอยู่อย่างจงรักตายอย่างภักดี หน้าที่ของคนไทยทุกคน หน้าที่ของรัฐบาล บังคับใครไม่ได้ แต่ต้องเป็นจิตใจของพวกเราทุกคน”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ตนมีประเด็นสำคัญที่ต้องการพูดกับสื่อมวลชนทุกคนโดยตรง พูดผ่านสื่อทุกคนที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาลในวันนี้และส่งผ่านไปยังสื่อออนไลน์ต่างๆ ทุกประเภท เรื่องสำคัญคือกรณีที่มีเอกสารคำสั่งจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเรื่องการตรวจสอบและให้ระงับการออกอากาศรายการของสื่อและสื่อออนไลน์ที่มีเนื้อหาสาระกระทบต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของประเทศ

เตือนสื่ออย่าละเมิดสิทธิคนอื่น

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าตนขอพูดอีกครั้งว่าสื่อมวลชนเป็นภาคส่วนสำคัญของสังคมไทย สื่อคือพลังสำคัญ ที่จะสร้างความชอบธรรมสร้างสรรค์และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับประเทศ อีกทั้งบทบาทของสื่อที่ทำหน้าที่อย่างมีสิทธิเสรีภาพและมีความเป็นกลางในการสร้างคุณประโยชน์มากมายต่อประเทศไทยของเรามาโดยตลอด โดยเฉพาะการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติด้วยการเฝ้าระวังและตรวจสอบสิ่งต่างๆ ในสังคมและการถ่วงดุลอำนาจ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ตนสั่งการมอบแนวทางให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตัดสินใจออกคำสั่ง ระงับการออกอากาศต่างๆ ขอให้พิจารณาโดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นสำคัญ ยกเว้นบางกรณีที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จ บิดเบือน ยุยงปลุกปั่นมาตลอดเวลา และที่มีความชัดเจนว่าเป็นเฟกนิวส์ที่จำเป็นต้องดำเนินการ โดยเฉพาะที่นำเสนอข่าวตั้งใจบิดเบือนล้ำเส้นก้าวล่วง ละเมิดสิทธิตามกฎหมายของผู้อื่น ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดหลักการตามกฎหมายและการดำเนินการเฉพาะเป็นเรื่องๆ ไป โดยครั้งนี้ขอให้เป็นการทำความเข้าใจ ส่วนบางอันที่จำเป็นต้องปิดก็ต้องปิด ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องยืนยัน ตนไม่ได้ละเมิดใครทั้งสิ้น

“หน้าที่ของผมและพวกเราทุกคนคือการช่วยการป้องกันกำจัดการกระทำที่มีเจตนาร้ายต่อประเทศ ความพยายามที่จะยุยงปลุกปั่นสร้างความวุ่นวาย ความแตกแยก สับสนอลหม่านภายในประเทศ นั่นคือสิ่งที่เราต้องไม่ยอมรับให้เกิดขึ้น จึงขอความร่วมมือจากพวกเราทุกคนและประชาชนด้วย ผมไม่ต้องการไปละเมิดสิทธิของใคร แต่ท่านจะต้องระมัดระวังการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ขอบคุณนะครับ สวัสดีครับ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

จากนั้นสื่อมวลชนพยายามสอบถามถึงประเด็นต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเพียงว่า “วันนี้พูดครบไปแล้ว”ก่อนจะเดินออกจากห้องแถลงข่าวทันที

วอยซ์ทีวีแถลงย้ำทำตามวิชาชีพ

ด้านนายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทวอยซ์ ทีวี จำกัด ออกแถลงการณ์ถึงผู้ชม และเพื่อนสื่อมวลชน ตามที่รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ระบุว่า วันนี้ศาลมีคำสั่งให้ปิดทุกแพลตฟอร์มในสื่อออนไลน์ของสำนักข่าว Vioce TV นั้น ขณะนี้บริษัท วอยซ์ทีวี จำกัด ยังไม่ได้รับเอกสารคำสั่งศาล ซึ่งวอยซ์ทีวีขอยืนยันว่าสิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติ เป็นการทำหน้าที่ตามวิชาชีพสื่อ ไม่มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือทำลายความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ตลอดเวลา 11 ปีที่ผ่านมา วอยซ์ทีวีเป็นสื่อที่ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย ให้พื้นที่ทางความคิดของประชาชนอย่างเปิดเผย โปร่งใส และรับผิดชอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายเสมอมา ขอยืนยันว่าได้นำเสนอข้อมูลที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อสังคม และขอเรียกร้องต่อผู้เกี่ยวข้อง ให้มีการใช้อำนาจและรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเที่ยงธรรม

สำหรับกรณีข่าวว่าศาลอาญามีคำสั่งให้ปิดเว็บไซต์ของวอยซ์ ทีวี ตามคำร้องของกระทรวงดีอีเอสนั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงล่าสุดยืนยันว่าศาลอาญาได้มีคำสั่งเกี่ยวกับการขอปิดเว็บไซต์ดังกล่าวจริง แต่ในทางปฏิบัติตามคำสั่งนั้นยังมีขั้นตอนต้องดำเนินการ ดังนั้น ในวันที่ 21 ต.ค. เวลา 09.00 น. ศาลอาญาจึงได้เรียกผู้แทนของกระทรวงดีอีเอสมาไต่สวนถึงขั้นตอนปฏิบัติว่าดำเนินการถูกต้องครบถ้วนหรือไม่อย่างไร ส่วนกรณีของสื่ออีก 3-4 แห่งที่ระบุว่ามีการนำเสนอข่าวด้วยนั้น ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งใดๆ ออกมา

ปล่อยตัว – นายณัฐชนน ไพโรจน์ ผู้ต้องหาคดีชุมนุม 19 ก.ย. ซึ่งขาพิการ ชู 3 นิ้วเดินออกจากเรือนจำธัญบุรี จ.ปทุมธานี หลังถูกปล่อยตัวพร้อม ‘เพนกวิน’ พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ ‘รุ้ง’ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แต่ทั้งคู่ถูกอายัดตัวไปดำเนินคดีอื่น

ตร.อายัดตัวต่อ‘เพนกวิน-รุ้ง’

เมื่อเวลา 14.20 น. วันเดียวกัน ที่เรือนจำธัญบุรี ต.รังสิต อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัว 3 ผู้ต้องหาแกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ประกอบด้วย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน น.ส. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง และนาย ณัฐชนน ไพโรจน์ แต่จ้าหน้าที่ตำรวจสน. ชนะสงคราม ได้อายัดตัว นายพริษฐ์ และน.ส.ปนัสยาไปที่ตชด.ภ.1 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เพื่อดำเนินคดีต่อในข้อหา ม.116 จากการปราศรัยในการชุมนุม ยุยงปลุกปั่น จากการชุมนุม

ขณะที่นายณัฐชนน ซึ่งถูกปล่อยตัวเป็น คนสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากเรือนจำธัญบุรี โดยไม่สวมรองเท้าสวมขาเทียม 1 ข้าง พร้อมชู 3 นิ้วเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ก่อนออกมาให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ โดยมีมารดานำรถยนต์มาคอยรับเพื่อเดินทางออกจากเรือนจำ

นายณัฐชนนเปิดเผยว่าหลังจากนี้ตนเอง จะเคลื่อนไหวต่อ ตราบใดที่เพื่อนยังสู้ตนก็จะยังสู้เช่นเดียวกัน จำนวนหกวันที่ผ่านมาที่อยู่ในเรือนจำ ขอให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงในเรือนจำผู้ต้องขังหลายคนเป็นพี่น้องเรา เป็นผู้ที่ถูกกดขี่แบบเดียวกับพวกเรา บางคนไม่ได้รับความยุติธรรม บางคนถูกใส่ร้าย ความไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่บางคน พอเราเข้าไปด้านในนักโทษที่รู้ว่าเราเป็นนักโทษคดีการเมืองทุกคนดูแลเราอย่างดี ข้างในมีแต่เพื่อนเราที่รักการปฏิวัติ ตนอยู่ในสุดและบนสุดของเรือนจำ ตอนที่ตนเองออกมาทุกคนชูสามนิ้วให้จนตนเองถึงหน้าประตู ทุกคนดูแลเราอย่างดี

“ขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำหรือมวลชนที่ถูกยัดคดีที่ไปชุมนุม การชุมนุมเป็นสิทธิเสรีภาพ ดังนั้นการไปชุมนุมของทุกคนเป็นสิทธิ์ ไม่ควรถูกจับหรือดำเนินคดีใดๆ ก็ตาม หลังจากนี้ตนเองจะไปร่วมชุมนุมอย่างแน่นอน ผมทิ้งเพื่อน และทิ้งมวลชนที่ คาดหวังกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้” นายณัฐชนนกล่าว

ขอออกหมายจับอีก 1-คดี ม.110

รายงานข่าวแจ้งว่า พนักงานสอบสวนสน.ดุสิต นำสำนวนคดีไปขออนุมัติหมาย ศาลอาญาจับกุมนายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หนึ่งในผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 14 ต.ค. บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ฐานกระทำความผิดร่วมกันพยายามกระทำการประทุษร้ายต่อเสรีภาพของ พระราชินี ซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกันกรณี นายเอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทาง การเมือง ที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ โดยทางเจ้าหน้าที่กำลังพิสูจน์ทราบบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน เพื่อนำมาดำเนินคดีต่อไป

สำหรับความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 ที่ระบุว่า ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือ เสรีภาพของพระราชินี รัชทายาทหรือต่อร่างกาย หรือเสรีภาพ ของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวังโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ จำคุกตั้งแต่ 16-20 ปี วรรคสองผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวังโทษเช่นเดียวกัน

ก่อนหน้านี้หน่วยงานความมั่นคง และ เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมหลักฐานที่เป็น ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว และยืนยันว่าจะเอาผิดกับกลุ่มผู้ชุมนุมทุกคน และขออนุมัติศาลออกหมายจับไปแล้ว 5 ราย เป็นศิลปินอิสระ, นักแต่งเพลงอิสระ, กลุ่มผู้เคยเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับ ไผ่ ดาวดิน จ.ร้อยเอ็ด

ล่าสุด ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับนาย สุรนาถแล้ว

เยาวชนปลดแอกนัดอีก 17.50 น.

เมื่อเวลา 16.00 น. เพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์ว่า “CIA พร้อมรึยัง? นาตาชาพร้อมมั้ย?! เวลา 17.50 น. ที่สถานีรถไฟฟ้าทุกสถานี หากรัฐบาลไม่รับข้อเรียกร้อง ยังไม่ปล่อยเพื่อนเราทั้งหมดและยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เตรียมพร้อมรับ BIG SURPRISE!

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 17.00 น. ที่ถนนอังรีดูนังต์ หน้าสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ มีรถตู้ตำรวจกว่า 30 คัน พร้อมด้วยรถบัสควบคุมฝูงชนประมาณ 3 คัน รถของตำรวจตระเวนชายแดนประมาณ 3 คัน และรถควบคุมผู้ต้องหา 1 คัน จอดเทียบไว้บริเวณริมถนน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาสังเกตการณ์สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มราษฎร บริเวณสถานีรถไฟฟ้าสยาม

ล่าสุดมีการนัดหมายชุมนุมที่สถานีรถไฟฟ้า บีทีเอส สยามและปิ่นเกล้า

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า เมื่อเวลา 16.45 น. พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. ได้เดินทางเข้ามาที่ตึกบัญชาการ 1 พบกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพื่อรายงานสถานการณ์การชุมนุมกลุ่มคณะราษฎร ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค.เป็นต้นมา โดยเฉพาะเหตุการณ์สลายชุมนุมบริเวณแยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 16 ต.ค. เตรียมข้อมูลสำหรับรายงานต่อที่ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ที่คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

สถานีสยามไม่เปิดเพลงชาติ

เมื่อเวลา 18.00 น. กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นัดรวมตัวกันตามสถานีรถไฟฟ้าต่างๆ รอบกรุงเทพฯ เพื่อร้องเพลงชาติพร้อมชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว โดยบรรยากาศที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม มีประชาชนทั้งวัยทำงานและวัยเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา เดินทางมาทำกิจกรรมร่วมกันจำนวนมาก ที่ลานน้ำพุหน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน แต่ปรากฏว่าที่สถานีรถไฟฟ้าไม่เปิดเพลงเคารพธงชาติแต่อย่างใด ประชาชนจึงพากันร้องกันเอง ก่อนจะตะโกนว่า “ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” แล้วแยกย้ายกันกลับไปโดยไม่มีเหตุวุ่นวาย ทั้งนี้ ไม่พบว่าวันนี้มี โรมานอฟ หรือ หน่วยสืบราชการลับ โค้ดลับที่ผู้ชุมนุมใช้เรียกรถขายไก่ทอดลูกชิ้นทอดเข้ามาภายในบริเวณแต่อย่างใด

ต่อมานายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือฟอร์ด ที่เข้ามาร่วมกิจกรรมได้กล่าวว่า ตนตั้งใจมาห้างพารากอนเฉยๆ อยู่แล้ว แต่กิจกรรมนี้เป็นสีสันของการเคลื่อนไหว ยืนยันว่าตนไม่ใช่เบื้องหลังของเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และเพจประชาชนปลดแอก เพราะนี่เป็นศตวรรษที่ 21 แล้ว ทุกคนเป็นแกนนำได้ ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าบิ๊กเซอร์ไพรส์คืออะไร ขอให้ประชาชนกลับไปพักผ่อนแล้วเตรียมรอทำกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ ส่วนกรณีที่มีคนบอกว่าหากไม่มีแกนนำแล้วจะเกิดความวุ่นวายนั้น มองว่าเป็นการดูถูกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่าคิดไม่เป็น ตนมองว่าทุกคนคือแกนนำ ทุกคนมีสำนึกว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร

ม็อบยังพรึบ – ผู้ชุมนุมรวมตัวหน้าเดอะมอลล์ บางแค (รูปใหญ่) เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า (บน) และสยามพารากอน (ล่าง) จัดกิจกรรมไล่นายกฯ พร้อมกับหลายจุดทั่วกทม.รวมทั้งสถานีรถไฟฟ้า และอีกหลายจว. เมื่อ 20 ต.ค.

เซ็นทรัลปิ่นเกล้าคนล้นทะลัก

ขณะที่บริเวณลานหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาปิ่นเกล้า ถนนบรมราชชนนี แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กทม. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มคณะราษฎรประมาณ 500 คน ร่วมกันจัดกิจกรรมให้พล.อ.ประยุทธ์ พ้นจากตำแหน่งนายกฯ พร้อมประกาศจุดยืนเรียกร้องรวม 3 ข้อ ประกอบด้วยปล่อยตัวแกนนำที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ทั้งหมด, หยุดคุกคามประชาชน และยกเลิกการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในทันที ต่อมาเวลา 18.00 น. กลุ่มคณะราษฎรร่วมกันร้องเพลงชาติพร้อมชู 3 นิ้ว

จากนั้นในเวลา 18.15 น. ร่วมกันเปิดแฟลชจากโทรศัพท์มือถือและร้องเพลงเพื่อคลายบรรยากาศ ก่อนมีตัวแทนขึ้นมาปราศรัยเป็นระยะๆ

ต่อมาเมื่อเวลา 18.40 น. มีผู้ชุมนุมประมาณ 1,500 คน พร้อมใจพากันวิ่งลงบนพื้นถนนบรมราชชนนี เพื่อปิดเส้นทางการจราจรรวม 3 ช่องทาง โดยเปิดให้รถสามารถใช้งานได้ตามปกติเพียงแค่ 1 เลนเท่านั้น

สาวรีย์-บางนาก็คึกคักไล่บิ๊กตู่

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินมาทางมารอทำกิจกรรมรอบๆ บริเวณสกายวอล์กก่อนเวลานัดหมาย ต่อมาเวลา 18.00 น. ผู้ชุมนุมร่วมร้องเพลงชาติ จากนั้นพร้อมใจกันชูสามนิ้ว พร้อมทั้งเปล่งเสียงตะโกน ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ อยู่หลายครั้ง จากนั้นต่างปรบมือพร้อมโห่ร้องแสดงความดีใจ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ

เมื่อเวลา 17.00 น. ที่สถานีรถไฟฟ้า บีทีเอสบางนา มีกลุ่มเด็กนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ยืนจับกลุ่มกันบางตาไม่เกิน 50 คนโดยไม่มีใครเป็นแกนนำในการรวมกลุ่ม ต่างยืนจับกลุ่มกันกระจัดกระจาย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบประจำการบริเวณดังกล่าว โดยแบ่งกำลังสายสืบออกหาข่าวบริเวณนี้ แต่เนื่องจากกลุ่มมวลชนที่มานั้นมีจำนวนน้อยมากทำให้ทาง บีทีเอสไม่ปิดสถานี จากนั้นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ได้ทำกิจกรรมร้องเพลงชาติชู 3 นิ้ว ร้องตะโกน “ประยุทธ์ออกไปๆ” “ไม่เอาเผด็จการ” “ปล่อยเพื่อนเรา” ทำให้ประชาชนที่กำลังเดินทางกลับบ้านให้ความสนใจเข้ามาถ่ายรูปเด็กๆ และเข้าร่วมชู 3 นิ้ว รวมมีมวลชนมาชุมนุมประมาณ 50 คน ก่อนแยกย้ายกันกลับไป

เมเจอร์ปากเกร็ดจับกลุ่มกัน

เมื่อเวลา 17.00 น. บริเวณหน้าห้างเมเจอร์ ปากเกร็ด ถนนแจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี กลุ่มนักเรียนนักศึกษาประมาณเกือบ 100 คนเริ่มจับกลุ่มชุมนุมกันเอง โดยมีนายหนึ่ง ศิลปินแร็พเปอร์เมืองนนท์ นำชุมนุมในฐานะประชาชนในการชุมนุมครั้งนี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด เสริมกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเฝ้าสังเกตการชุมนุมอย่างใกล้ชิด

ขณะที่เฟซบุ๊กกลุ่มคนรุ่นใหม่นนทบุรี โพสต์แจ้งวันนี้งดการชุมนุมหนึ่งวัน เจอกัน วันที่ 21 ต.ค แต่นักเรียนนักศึกษาก็ยังสมัครใจเดินทางมากันเองที่หน้าห้างเมเจอร์ โดยไม่มีแกนนำ เพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรี จากนั้นเมื่อกลุ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทางหนึ่ง แร็พเปอร์ได้นำน้องๆไปรวมกลุ่มบริเวณลานเกาะกลางถนน เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจร โดยเปิดเผยว่าวันนี้ตั้งใจมาแค่สังเกตการณ์เท่านั้น แต่เมื่อเห็นน้องๆ นักเรียน นักศึกษา มีแนวคิดและอุดมการณ์เดียวกัน ตนจึงช่วยดูแลน้องๆ ให้ประท้วงอยู่ในกรอบของการชุมนุมอย่างสงบ

ต่อมาเมื่อเวลา 20.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากลุ่มมวลชนประกาศยุติการชุมนุมในทันที โดยก่อนการเดินทางกลับที่พักมีการช่วยกันเก็บเศษขยะและเปิดเส้นทางการจราจรตามปกติ โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน