คุมส่งศาลขอฝากขัง
ม็อบลั่นไม่ลดเพดาน
ย้ำ3ข้อเรียกร้องเดิม
ตร.ประชาชื่น-ฮึ่มฟัน
ยันไม่มีซ้อมผู้ต้องหา

ตร.รุดอายัดตัวเพนกวิน-ไมค์-รุ้ง ถึงเตียงโรงพยาบาล โดยของไมค์เป็นคดีที่ระยอง เพนกวิน ที่อุบลฯ ขณะที่รุ้งถูกคดีที่สน.ปทุมวัน เตรียมนำส่งศาลขอฝากขัง ทนายความโต้ลั่น หมายจับสิ้นสุดไปก่อนหน้านี้ ด้านผกก.ประชาชื่น เตรียมเอาผิดม็อบชุมนุมหน้าสน.ผิดพ.ร.บ.ชุมนุม ส่วนใครทุบรถตำรวจโดนข้อหาขัดขวางเจ้าพนักงาน ยันไม่มีใครซ้อมไมค์ ส่วนรถคุมผู้ต้องหาชนจยย.ชาวบ้าน เป็นเหตุสุดวิสัย ม็อบยันไม่ลดเพดาน ยังยืนยัน 3 ข้อเดิม

จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามอายัดตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง หลังศาลไม่อนุญาตให้ฝากขังหนที่ 3 จนเกิดเหตุชุมนุมหน้าสน.ประชาชื่น โดยทั้ง 3 ถูกนำส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาล ตามที่ข่าวสดเสนอไปก่อนหน้านี้

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 1 พ.ย. ที่ร.พ.พระราม 9 นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า ทราบว่ามีตำรวจจาก สภ.เมืองอุบลราชธานี มารอ จะนำตัวนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ไปดำเนินคดี ตามมาตรา 116 กรณีไปปราศรัยที่จ.อุบลราชธานี รวมทั้งมีตำรวจจากสภ.เมืองระยอง มารออายัดตัวนายภาณุพงศ์ กรณีไปชูป้ายประท้วงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่วนกรณีน.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง ถูกอายัดตัว จากสน.ปทุมวัน และคุมขังไว้ที่นี่ขณะรักษาตัว โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเฝ้า ทั้งนี้เนื่องจากเป็นช่วงฝากขัง จะขังไว้ที่ไหนก็ได้

ทั้งนี้กรณีหมายจับของเพนกวิน ที่สภ.อุบลราชธานี ตามหลักไม่มีสิทธิมาจับแล้ว เพราะเพนกวินมอบตัวไปแล้วที่ ตชด.ภาค 1 รวมทั้งพิมพ์ลายนิ้วมือไปแล้ว หมายจับจึงสิ้นผลไปตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ส่วนหมายจับของนายภาณุพงศ์ หรือไมค์ ที่จ.ระยอง เนื่องจากยังไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหา จึงยังไม่สิ้นผล

นายกฤษฎางค์เปิดเผยอีกว่า สำหรับอาการของเด็กทั้ง 3 คน สภาพไม่พร้อมเดินทาง แพทย์บอกว่าให้พักรักรักษาตัวอีก 2-3 วัน ซึ่งอาการป่วยเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งสามคนมีโรคประจำตัว ตัวน.ส.ปนัสยา มีอาการขาดน้ำ เป็นไมเกรน ตัวเพนกวิน เป็นหอบหืด มีรอยบาดเจ็บจากกระจกค่อนข้างเยอะ และมีอาการอักเสบ ส่วนนายภาณุพงศ์ มีอาการต้องตรวจสอบทางสมอง ตอนนี้ยังคงให้น้ำเกลือและพักฟื้นอยู่ อย่างไรก็ตามหลังจากเด็กๆ พักฟื้นหายจากอาการป่วย ก็พร้อมไปต่อสู้ตามกฎหมายอยู่แล้ว

ต่อมาเวลา 14.30 น. นายกฤษฎางค์ เจรจากับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองระยอง และสภ.เมืองอุบลราชธานี หลังเข้ามาอายัดตัวตามหมายจับกับ นายภาณุพงศ์ และนายพริษฐ์ โดยใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง

นายกฤษฎางค์กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้ แยกออกเป็น 2 ส่วน โดยในส่วนของนายภาณุพงศ์ หรือ ไมค์ ทางพนักงานสอบสวน สภ.เมืองระยอง นำหมายจับมาแจ้งอายัดตัว กรณีชูป้ายประท้วงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ก.ค.โดยมีการพิมพ์ลายนิ้วมือ ทำบันทึกการจับกุม และสอบปากคำตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่เนื่องจากอาการของนายภาณุพงศ์ แพทย์ระบุยังต้องรักษาตัวอีก อย่างน้อยถึงวันศุกร์ที่ 6 พ.ย. นี้ จึงให้คุมตัวไว้ที่โรงพยาบาลก่อน และพรุ่งนี้ทางพนักงานสอบสวน จะนำคำร้องไปยื่นศาลจังหวัดระยอง เพื่อฝากขังต่อไป โดยไม่ต้องนำตัวนายภาณุพงศ์ไป

“อีกคดีของนายพริษฐ์ ตำรวจ สภ.เมืองอุบลราชธานี นำหมายจับมาอายัดตัว แต่เนื่องจากคดีนี้นายพริษฐ์ เคยมอบตัว และให้ปากคำเรียบร้อยแล้วที่ ตชด.ภาค 1 และเจ้าตัว เคยยื่นขอให้การภายใน 30 วัน ซึ่งตั้งแต่ตอนมอบตัวที่ ตชด.ภาค 1 จนถึงปัจจุบันนายพริษฐ์ ก็ถือว่าถูกควบคุมตัวมาโดยตลอด จึงเจรจากับพนักงานสอบสวนขอให้นายพริษฐ์ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก่อน ตามคำแนะนำของแพทย์ ที่ต้องพักฟื้นอีกอย่างน้อย 2-3 วัน และเจ้าตัวยังมีอาการโรคหอบหืดอยู่ จึงยังไม่เหมาะสมที่จะเอาตัวไป

ขณะที่รุ้ง นางสาวปนัสยา ทางครอบครัวแจ้งว่า เมื่อคืนมีหมายเรียกจากสน.เตาปูนมาปิดเอาไว้ที่หน้าบ้าน ซึ่งทางทนายขอไปตรวจสอบก่อน อย่างไรก็ตามแพทย์ให้ความเห็นว่า รุ้งยังต้องรักษาตัวต่ออีกสักระยะ ซึ่งตอนนี้ทั้ง 3 ยังมีกำลังใจดี บางคนอยู่ระหว่างอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่

ทั้งนี้ส่วนของนายภาณุพงศ์ อาการค่อนข้างหนักที่สุด ยังอ่อนเพลียอยู่ โดยวันนี้แพทย์พาไปทำกายภาพบำบัด ซึ่งขณะนี้บาดแผลยังไม่หายดี นายภาณุพงศ์มีอาการเจ็บหน้าอก โดยบอกกับแพทย์ว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ ทำร้ายด้วยการศอกเข้าที่หน้าอก และเตะเข้าที่หน้าท้อง ขณะถูกนำตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มายัง สน.ประชาชื่น ในส่วนนี้แพทย์ค่อนข้างกังวลใจเพราะอาการเจ็บดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อไต ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่า ท้อง และอก มีร่องรอยการถูกกระแทก แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากการทำร้ายร่างกายตามคำกล่าาวอ้าง หรือล้มเอง หลังจากนี้ต้องไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด ขณะที่ทางญาติได้มาปรึกษาเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ในส่วนของคดีความ หากทั้ง 3 อาการดีขึ้นจนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ หากศาลมีหมายเรียกให้มารายงานตัว ก็จะปฏิบัติตามนั้น

นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า นายพริษฐ์หรือเพนกวิน ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองอุบลราชธานี นำหมายจับมาอายัดตัวที่โรงพยาบาล ซึ่งก่อนหน้านี้นายพริษฐ์ เคยมอบตัว และให้ปากคำเรียบร้อยแล้วที่ ตชด.ภาค 1 มีการทำบันทึกจับกุมหมดแล้ว ทางด้านนายพริษฐ์ ให้การปฏิเสธ ซึ่งสาเหตุนั้น ได้ทำข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่า จะส่งเอกสารสาเหตุทั้งหมดส่งตามไปภายในเวลา 30 วัน ซึ่งระยะเวลาจะสิ้นสุดในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวเมื่อทำบันทึกการจับกุมแล้ว ก็ถือว่าคดีนี้สิ้นไปแล้ว เนื่องจากรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว หมายจับก็ต้องไปเพิกถอนไป

แต่ในกรณีดังกล่าว ตนไม่แน่ใจว่า ล่าสุดสภ.เมืองอุบลราชธานี ไปยื่นคำร้องเพิกถอนหมายจับหรือยัง แต่โดยตามกฎหมายแล้ว ถ้าหากสภ.อุบลราชธานี ถอนหมายจับแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่สามารถมาดำเนินการแบบนี้ได้ จะทำได้ก็ต่อเมื่อมาควบคุมตัว นายพริษฐ์ ให้อัยการเท่านั้น แต่ในกรณีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าจะมาควบคุม และไม่ได้ให้ความชัดเจนกับทนายความ ว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป บอกเพียงว่า ขอปรึกษาผู้บังคับบัญชาก่อน

ขณะที่ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ตำรวจสน.ปทุมวัน เข้าแจ้งข้อหารุ้ง ที่ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลพระรามเก้า โดยรุ้งเข้าร่วมกระบวนการสอบสวนและพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือทั้งที่ยังใส่สายน้ำเกลือ จากนั้นทนายความส่งสำเนาใบรับรองแพทย์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อขอให้ผู้ต้องหาได้รับการรักษาพยาบาลตามสิทธิที่กฎหมายกำหนด พนักงานสอบสวนจึงไม่ควบคุมตัวไปที่ สน.ปทุมวัน แต่จะไปยื่นคำร้องขอฝากขังที่ศาลแขวงปทุมวันในวันจันทร์ที่ 2 พ.ย.

โดนทุบรถ – พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ วงษ์หอมหวล ผกก.สน.ประชาชื่น ชี้ให้ดูรถตำรวจที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมทุบทำลาย ขณะคุมตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำคณะราษฎร มาที่สน.ประชาชื่น เมื่อค่ำวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา

ที่สน.ประชาชื่น พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ วงษ์หอมหวล ผกก.สน.ประชาชื่น แถลงชี้แจงกรณีการควบคุมตัวแกนนำกลุ่มราษฎร 3 ราย คือ นายพริษฐ์ นายภาณุพงศ์ และน.ส.ปนัสยา เมื่อวันที่ 30 ต.ค.-31 ต.ค. ว่า วันดังกล่าว สน.ประชาชื่น ได้รับการประสานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่ามีหมายปล่อยตัว ผู้ต้องขัง 4 ราย และจากการตรวจสอบมีผู้ต้องขัง 3 ราย คือนายพริษฐ์ นายภาณุพงศ์ และน.ส.ปนัสยา มีหนังสือขออายัดตัวจาก สภ.นนทบุรี สภ.พระนครศรีอยุธยา และสภ.เมืองอุบลราชธานี ทำให้สน.ประชาชื่น ซึ่งมีเขตอำนาจการสอบสวน ได้รับหนังสือแจ้งการขออายัดตัวมาตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. และ วันที่ 22 ต.ค. รวมทั้งยังมีหมายจับของสภ.เมืองนนทบุรี สภ.พระนครศรีอยุธยา และศาลจังหวัดอุบลราชธานี แนบมาด้วย จึงเป็นหน้าที่ของตนต้องเข้าไปรับตัวผู้ต้องขังทั้งสาม ซึ่งมีการอายัดตัว มาลงบันทึกประจำวันไว้ และรอให้ทางพนักงานสอบสวนซึ่งทำหนังสือขออายัดตัวมารับตัวไปดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย

พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์กล่าวอีกว่า ระหว่างการรับตัวนายพริษฐ์ กับนายภาณุพงศ์ มาที่สน.ประชาชื่น อาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเรื่องหมายจับ หรือขั้นตอนการปฏิบัติของตำรวจ เมื่อได้รับหนังสืออายัดตัว พร้อมหมายจับก็ต้องทำหน้าที่ตรงนั้น ตนไม่ทราบว่าหมายดังกล่าวถูกดำเนินการไปขั้นตอนไหน โดยวันดังกล่าวทางทนายความได้โต้แย้งว่า หมายจับสิ้นผลไปแล้ว ซึ่งตนจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลัก ป.วิอาญามาตรา 68 คือถูกจับได้ตามหมายเรียบร้อยแล้ว และเพิกถอนหมายนั้นไป หรือหมายนั้นหมดอายุความ และศาลเพิกถอนหมายนั้น แต่ขณะนั้นตนไม่มีเอกสารยืนยัน จึงต้องรอให้พนักงานสอบสวนพื้นที่ที่ขออายัดตัว เป็นผู้มาชี้แจง อย่างไรก็ตามตนได้รับเอกสารแจ้งถอนอายัดตัวจาก สภ.นนทบุรี และสภ.เมืองอุบลราชธานี ภายหลังคุมตัวทั้ง 3 รายมาที่ สน.ประชาชื่น ซึ่งระหว่างการควบคุมตัวทั้ง 3 คนมาที่ สน.ประชาชื่น ยืนยันว่าได้ทำตามหลักยุทธวิธี ไม่มีการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ได้พันธนาการน้องทั้ง 3 คน เพราะเราไม่ได้ควบคุมเขาในฐานะผู้ต้องหา เพียงแต่รับตัวมาตามที่มีการแจ้งอายัดตัวไว้ ขณะที่ น.ส.ปนัสยา ก็ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน ยอมขึ้นรถมาแต่โดยดี

พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์กล่าวอีกว่า กรณีแกนนำได้ปราศรัยในพื้นที่ สน.ประชาชื่น นั้นเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ โดยอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดกับแกนนำที่ปราศรัยต่อไป ส่วนกรณีผู้ชุมนุมทุบทำลายรถคุมขัง ว่า กระจกของรถถูกทุบทำลายรอบคัน ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานได้มาเก็บหลักฐานเพื่อนำไปประกอบสำนวนแล้ว การกระทำดังกล่าวเบื้องต้นมีความผิดชัดเจน คือต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตาม ป.วิอาญา มาตรา 138,140 ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ มาตรา 358 และ ข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน มาตรา 295,296

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าตำรวจชนรถ จยย. ของประชาชน พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์ ชี้แจงพร้อมนำคลิปวิดีโอเหตุการณ์มาอธิบาย ว่า รถคันดังกล่าวถูกนำมากีดขวางรถตำรวจไม่ให้สัญจรไปต่อได้ หลังจากนั้นมีรถ จยย.อีกหนึ่งคันมาจอดด้านข้าง ทำให้ตำรวจต้องเบี่ยงรถออกทางด้านขวา ทำให้ จยย.ที่จอดขวางไว้ล้มลง ซึ่งผู้ที่ขับรถตำรวจไม่ทราบว่ามีรถขวางอยู่และถูกลากติดมาด้วย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ อยู่ในสำนวนยังไม่สามารถเปิดเผยได้

พ.ต.อ.อิทธิเชษฐ์กล่าวถึงอาการบาดเจ็บของนายภาณุพงศ์ ว่า ตำรวจให้สิทธิในการรับการรักษาอย่างทันท่วงที ได้ประสานรถ กู้ชีพส่งไป ร.พ.เกษมราษฎร์ หลังจากนั้นทางผู้ป่วยต้องการไปรักษาตัวต่อที่ ร.พ.พระราม เก้า และตำรวจได้ทำหนังสือขอผลการตรวจร่างกายเบื้องต้นไว้เป็นพยานหลักฐานต่างๆ สิ่งที่ทำให้นายภาณุพงศ์ อยู่ในลักษณะแบบนี้ อาจเพราะมวลชนได้ล้อมรถคุมขังไว้ อากาศหายใจเลยน้อย ทำให้เกิดอาการเหน็ดเหนื่อย ส่วนบาดแผลที่มีการกล่าวอ้างว่าถูกทำร้ายร่างกาย มันไม่มี และยืนยันว่าไม่มีการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด

รับเสด็จ – บิณฑ์-เอกพัน บรรลือฤทธิ์ เดินทางมาร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ภายในพระบรมมหา ราชวัง เมื่อวันที่ 1 พ.ย.

เมื่อเวลา 15.00 น. ที่หน้าพระบรมมหาราชวัง นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ พร้อมด้วยนายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ อดีตดารานักแสดงชื่อดัง เดินทางถึงพื้นที่ถนนราชดำเนินใน ด้านข้างสนามหลวง ซึ่งเป็นจุดที่นัดแสดงพลังปกป้องสถาบัน และเฝ้าฯ รับเสด็จ โดยทั้งคู่สวมเสื้อสีชมพูผ้าพันคอสีเหลือง

โดยนายบิณฑ์ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า ตนไหว้ขอพรจากศาลหลักเมือง ขอให้คนที่มารับเสด็จวันนี้แคล้วคลาดปลอดภัย อย่ามีเรื่องอะไรที่ไม่ดี และเชื่อว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้นในที่สุด ซึ่งในวันนี้ ตนรู้สึกดีใจมาก เพราะบารมีของในหลวงและพระราชินี ทำให้มีประชาชนออกมาร่วมรับเสด็จด้วยใจบริสุทธิ์ ซึ่งตนตั้งใจว่าวันนี้จะได้กราบแทบพระบาท และอยากเห็นพระพักตร์ในหลวงที่มีแต่รอยยิ้ม เมื่อได้รู้ว่าคนไทยจำนวนมากยังคงจงรักภักดีต่อสถาบัน อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าถึงเวลาที่เราคนไทยทุกคนจะต้องออกมาร่วมกันแสดงจุดยืน เพราะสถาบันกำลังถูกย่ำยี จาบจ้วง ดังนั้นการออกมาในวันนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนไทยยังต้องการสถาบัน

นายบิณฑ์กล่าวอีกว่า ตนเองออกมาแสดงจุดยืนด้วยดวงใจอันบริสุทธิ์ในการปกป้องสถาบัน ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จริงๆ ตนไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ที่ผ่านมาจะมีความพยายามดึงตนเข้าไปเกี่ยวโยง ทั้งนี้การที่มีคนมาโจมตีตนนั้นก็เพื่อให้ตนเลิกล้มความตั้งใจที่จะออกมาปกป้องสถาบัน แต่ยิ่งด่าตน ตนก็ยิ่งฮึกเหิมที่จะออกมาปกป้องสถาบัน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าในส่วนของต่างจังหวัด หากต้องการให้ตนไปร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดี ด้วยใจบริสุทธิ์ไม่นำไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนก็พร้อมและยินดีที่จะเดินทางไปร่วมกิจกรรม

เมื่อถามว่ากังวลจะเกิดเหตุม็อบชนม็อบหรือไม่ นายบิณฑ์กล่าวว่า ยืนยันไม่มี เพราะตนไม่ใช่นักปลุกม็อบ ไม่มีเงินทุน ตนเพียงแค่เชิญชวนคนที่รักสถาบันออกมาร่วมรับเสด็จ ซึ่งจะออกมาแสดงพลังอีกครั้งในวันที่ 5 ธ.ค. ไม่ใช่อยู่ๆ จะเรียกร้องให้คนออกมาชุมนุม

นายบิณฑ์กล่าวอีกว่า อยากฝากถึงคนที่คิดต่างว่าการคิดต่างในเรื่องการเมืองสามารถคิดต่างได้ แต่อย่าคิดต่างในเรื่องของสถาบัน และอยากบอกว่าอย่าทำให้คนไทยรู้สึกโกรธแค้นด้วยการย่ำยีสถาบันที่คนไทยรักและเคารพ ส่วนการที่บอกว่าต้องการปฏิรูปสถาบันไม่ต้องการล้มล้างนั้น ตนมองว่าคำว่าปฏิรูปและคำว่าล้มล้างคือคำเดียวกัน โดยเฉพาะข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ซึ่งเห็นว่าไม่ใช่การปฏิรูปสถาบัน ดังนั้นการปฏิรูปดังกล่าว ท้ายที่สุดแล้วก็จะนำไปสู่จุดนั้นอยู่ดี

วันเดียวกันที่สถานีรถไฟฟ้าอุดมสุข มีการจัดกิจกรรมต่อต้านเผด็จการโดยกลุ่มแอลจีบีที หรือผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยมีการผลัดกันปราศรัยในประเด็นต่างๆ ตั้งแต่เวลาประมาณ 17.30 น. ต่อมาเวลา 18.50 น. มีการร่วมกันอ่านแถลงการณ์ หัวข้อ ‘เพื่อนมนุษย์คือสิ่งสำคัญ’ เพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาล โดยมีนายณัฐวุฒิ สมบูรณ์ทรัพย์ ผู้จัดชุมนุม เป็นตัวแทนอ่านในนามตัวแทนกลุ่ม ‘All People End Game’ เนื้อหามีข้อเรียกร้อง 3 ประการ ได้แก่ 1.นำรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 กลับมาใช้ใหม่ 2.ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ 3.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์บานปลายและเกิดความรุนแรง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังกลุ่ม ‘All People End Game’ ออกแถลงข้อเรียกร้อง 3 ข้อใหม่ เพจเยาวชนปลดแอก และเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ออกมาโพสต์ระบุว่าไม่มีการลดเพดานการชุมนุม ยังยืนยัน 3 ข้อเรียกร้องเดิมคือการให้พล.อ.ประยุทธ์ออกไป แก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน