เช็กวงจรปิดหาตัวคนอุ้ม ‘การ์ดม็อบ’ ตร.ชี้หากเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจมาก ขณะที่ ‘กอ.รมน.’ โต้ ยันไม่มีหน่วยงานในสังกัดไปเกี่ยวข้อง เพราะไม่มีภารกิจรับผิดชอบรักษาความสงบเรียบร้อย หรือดูแลพื้นที่การชุมนุม พรรคเพื่อไทยจวกรัฐบาลละเมิดสิทธิ และเสรีภาพขั้นพื้นฐานประชาชนอย่างชัดแจ้ง กระทำรุนแรงต่อผู้เห็นต่าง ด้านศาลให้ประกันตัว 6 แกนนำผู้ชุมนุมชูป้ายที่อนุสาวรีย์ชัย และแยกสามย่าน
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ศาลแขวงดุสิต กทม. พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ควบคุมตัว นายภานุพงศ์ หรือตา พงษ์ธนู อายุ 20 ปี เเละนายใบบุญ หรือโอม ไทยพานิช อายุ 20 ปี มายื่นคำร้องขอผัดฟ้องฝากขังต่อศาล สืบเนื่องจากผู้ต้องหาโพสต์ข้อความเชิญชวนให้ไปร่วมชุมนุม และร่วมกันเขียนป้ายความยาว 112 เมตร ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ และ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด ศาลพิจารณาแล้วจึงอนุญาตให้ผัดฟ้องฝากขัง พร้อมทั้งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 20,000 บาท
ขณะเดียวกัน ที่ศาลแขวงปทุมวัน กทม. พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ยื่นคำร้องผัดฟ้องและฝากขังนายสถาพร วราวงศ์วณิชย์, นายอภิสิทธิ์ ชนากรสุนีย์, นางกฤษณา สาระ เเละนางจารุณี สายแผลง สืบเนื่องจากกรณีร่วมกันชุมนุมที่แยกสามย่าน กทม. เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา อันเป็นการความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ผัดฟ้องและฝากขัง พร้อมทั้งอนุญาตให้ประกันตัวด้วยเงินสดคนละ 20,000 บาท
ส่วนที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กทม. ศาลอ่านคำสั่งชั้นตรวจคำฟ้องคดีที่นายวสันต์ หรือโต้ง เสตสิทธิ์ หรือโต้ง อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และอดีตสมาชิกกลุ่มดาวดิน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.โชคอำนวย วงษ์บุญฤทธิ์ รองผกก.(สอบสวน) สน.ชนะสงคราม ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และกลั่นแกล้งให้เป็นคดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 200 สืบเนื่องจากกรณีกล่าวหาโจทก์ร่วมชุมนุมที่สนามหลวง เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย.2563 และโจทก์ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เนื่องจากในวันดังกล่าวทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟห้องอาหารโรงแรมที่ จ.อุบลราชธานี
ศาลพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์แล้ว ให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องครบถ้วน และให้โจทก์จัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องอันสนับสนุนข้อเท็จจริงตามที่อ้าง รวมทั้งพยานหลักฐานอื่นต่อศาลให้ครบถ้วน โดยให้โจทก์แก้ฟ้อง จัดทำคำฟ้องฉบับสมบูรณ์ยื่นต่อศาลแทนฉบับเดิมภายใน 30 วัน นับแต่วันนี้ จึงเลื่อนนัดฟังคำพิพากษา หรือคำสั่ง และกำหนดวันนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 1 มี.ค.
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวชี้แจงกรณีนายมงคล หรือเยล สันติเมธากุล อายุ 24 ปี การ์ดม็อบปลดแอกถูกบุคคลอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) อุ้มตัวไปข้ามคืน ก่อนปล่อยตัวว่าตำรวจเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อสืบสวนหาตัวผู้ก่อเหตุ หากเป็นเรื่องจริงถือว่าอุกอาจมาก ส่วนกรณีที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.นั้น ยังเป็นเพียงความเชื่อของนายมงคล ต้องรอผลการสอบสวนอีกครั้งว่าใครเป็นคนทำ ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิประชาชน ต้องถูกดำเนินคดี
พล.ต.ต.ยิ่งยศกล่าวว่า ส่วนกรณีนายทศเทพ หรืออาร์ต ดวงเนตร อายุ 24 ปี นั้น ไม่ได้ถูกอุ้ม แต่ตำรวจ สภ.บางแก้ว จ.สมุทร ปราการ เชิญตัวมาสอบถามกรณีพ่นสีสเปรย์ที่ฐานพระบรมฉายาลักษณ์ และตามสถานที่ต่างๆ โดยนายมงคลให้การรับสารภาพว่าเป็นคนทำจริง เจ้าหน้าที่จึงขอศาลออกหมายจับ และแจ้งข้อหาทำให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย และจะนำตัวไปขออำนาจศาลจังหวัดสมุทรปราการฝากขังในวันที่ 18 ม.ค. ซึ่ง ผู้ต้องหาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ได้ขัดขืนอะไร
ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวระดับสูงจาก กอ.รมน. กรณีนายมงคลอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. อุ้มตัวไปข้ามคืนว่า กอ.รมน.ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว เนื่องจากไม่มีภารกิจความรับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย และดูแลพื้นที่การชุมนุม แต่จากการตรวจสอบขั้นต้น กอ.รมน.ยืนยันว่าไม่ปรากฏหน่วยงานของ กอ.รมน. เข้าไปยุ่งเกี่ยวต่อเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้ง กอ.รมน.ในแต่ละจังหวัดก็ไม่มีกำลัง หรืออำนาจที่จะไปทำอะไรใครแบบนั้น ขอให้เป็นหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น
ด้าน น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการจับกุมและอุ้มตัวผู้ชุมนุมว่า ไม่ใช่พฤติกรรมที่รัฐควรทำกับประชาชนคนไทยด้วยกัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่ารัฐประหารไม่เสร็จ รัฐบาลละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างชัดแจ้ง ทำจนเป็นนิสัย อ้างเพียงมิติด้านความมั่นคงโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือควบคุมคน กระทำรุนแรงต่อผู้ที่เห็นต่าง เพราะการบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ภาพลักษณ์เด่นติดตาประชาชนมาตลอด คือการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ละเลยข้อตกลงระหว่างประเทศ รวมถึงละเลยกฎหมายภายในประเทศ
