ผบ.ตร.เชือด4ข้อหา
จ่อขยายผลอีกนับพัน

จับกราวรูด 50 รายแก๊งโกงชาติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน กองปราบฯเปิดปฏิบัติการจู่โจม 55 เป้าหมายในพื้นที่ชัยภูมิและภูเก็ต ดำเนินคดีหนัก 4 ข้อหา ความเสียหายนับร้อยล้าน แฉพฤติการณ์ เปิดให้มีการจองห้องพัก แต่ไม่มีการเข้าพักจริง นําคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพัก ไปสแกนใช้จ่ายกับร้านค้า แต่ไม่มีการซื้อสินค้าจริง บางโรงแรมมีที่ตั้งจริง ลงทะเบียน ถูกต้อง แต่ยังไม่เปิดให้บริการ กลับเปิด ให้จองห้องพัก หรือตั้งราคาจองห้องพักไว้แพงเกินจริง หวังกินส่วนต่างราคาส่วนลด เตรียมขยายผลจับเพิ่มอีก

เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 27 ม.ค. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5 บก.ป. พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.3, กก.5 บก.ป. และ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองปราบ เปิดปฏิบัติการจับกุมผู้กระทำผิดทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โดยกระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายรวม 55 จุด ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ และ จ.ภูเก็ต แบ่งเป็น เป้าหมายในพื้นที่ จ.ชัยภูมิจำนวน 41 จุด และ จ.ภูเก็ต จำนวน 14 จุด

สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้ สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. ตรวจสอบเอาผิดโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ที่ต้องสงสัยทุจริต ฉ้อโกงเงินของรัฐจากโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งเป็นโครงการที่ภาครัฐที่จัดทำขึ้นมาเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 จนกระทั่งพบว่าผู้ประกอบการ เหล่านี้มีการกระทำผิด โดยการอาศัยช่องว่างทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นและหมายจับผู้กระทำผิดในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันฉ้อโกง โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการ ที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จในประการ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศจนนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการดังกล่าว

เมื่อเวลา 10.00 น.วันเดียวกัน พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร./ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศสอส.ตร.), พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ทท., พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. นายเขมพล อุ้ยตยะกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, น.ส.สภัทร์พร ธรรมาภรณ์พิลาศ รอง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และผู้แทนธนาคารกรุงไทย ร่วมกันแถลงข่าว จับกุมขบวนการทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ได้ผู้ต้องหารวม 50 ราย

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากพบพฤติกรรมผิดปกติในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน จึงได้เข้าแจ้งความกับผบ.ตร. ขอให้ตรวจสอบผู้ที่อาจจะกระทำผิดทุจริตในโครงการดังกล่าว โดยมอบหมายให้พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน

จากการสืบสวนร่วมกันของ บก.ป., ศปอส.ตร. และ บช.ทท. พบว่า มีผู้ประกอบธุรกิจที่กระทำการเข้าข่ายทุจริตหลายรูปแบบ เช่น เปิดให้มีการจองห้องพัก แต่ไม่มีการเข้าพักจริง, นําคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพักไปสแกนใช้จ่ายกับร้านค้า แต่ไม่มีการซื้อสินค้าจริง, บางโรงแรมมีที่ตั้งจริง ลงทะเบียนถูกต้อง แต่ยังไม่เปิดให้บริการ กลับมีการเปิดให้จองห้องพัก หรือมีการตั้งราคาจองห้องพักไว้แพงเกินจริง หวังกินส่วนต่างราคาส่วนลด

ที่ จ.ชัยภูมิ ชุดปฏิบัติของ กก.3 บก.ป. นำโดย ว่าที่ พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป. นำกำลังเข้าค้นโรงแรมณัฐชญา รีสอร์ท และผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 41 ราย 38 จุด โดยแบ่งเป็น เจ้าของโรงแรม 1 ราย เจ้าของร้านค้า 22 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิ์หรือสวมสิทธิ์ 14 ราย ผู้รับจ้างเปิดบัญชี 3 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรมอีก 1 ราย ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัด คือ จ.ชัยภูมิ, เลย, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์ และ ศรีสะเกษ








Advertisement

ผลการตรวจค้น จับกุมผู้ต้องหารวม 38 ราย ซึ่งพฤติการณ์พบมีการลงทะเบียนเป็นรีสอร์ตขนาดเล็ก มีห้องพักทั้งหมด 10 ห้อง นับตั้งแต่เดือนก.ค.63 ถึงปัจจุบันมีผู้ใช้สิทธิ์โครงการ จํานวน 9,263 ราย ยอดจองห้องพัก 92,028 ห้อง เฉลี่ย 1,000-3,000 ห้องต่อวัน คิดเป็นมูลค่ารวม 33,866,966 บาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และยังพบว่า กว่าร้อยละ 99 ของการจองห้องพัก 1 คน จะจอง 10 ห้อง เต็มทุกครั้ง และเวลาในการเช็กอินและเช็กเอาต์ทับซ้อนไม่สัมพันธ์กัน นอกจากนี้ยังพบว่าคูปองที่ได้รับหลังจาก เช็กอินห้องพัก ที่ใช้สำหรับสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าโครงการ มียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ

พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า ผู้ต้องหามีการ กระทำเป็นขบวนการ โดยจะมีผู้ซื้อสิทธิ์ ตามหาซื้อสิทธิ์ในโครงการ โดยให้ค่าตอบแทนรายละ 400-500 บาท เมื่อประชาชนขายสิทธิ์ให้แล้ว ผู้ซื้อสิทธิ์จะให้เจ้าของสิทธิ์ติดตั้งแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” เสียก่อน หลังจากนั้นผู้ซื้อสิทธิ์จะนำเอาโทรศัพท์ของเจ้าของสิทธิ์ไปดำเนินการจองโรงแรม และใช้คูปอง หรืออีกวิธีหนึ่งคือ จะนำเอาข้อมูลบัตรประชาชนและซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วไปขายต่อให้กับผู้สวมสิทธิ์ โดยจะขายให้ผู้สวมสิทธิ์ในราคา 800-1,000 บาท เมื่อผู้สวมสิทธิ์ได้รับสิทธิ์จากโครงการดังกล่าวแล้ว จะว่าจ้างให้ผู้ร่วมขบวนการ กรอกข้อมูลเพื่อจองห้องพักกับทางโรงแรม โดยจะมีกลุ่มที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร อีกกลุ่มหนึ่ง ที่คอยทำธุรกรรมทางการเงินแทนเจ้าของสิทธิ์ ซึ่งหลังจากที่ผู้สวมสิทธิ์เช็กอินตามห้องพักที่ได้จองไว้ ทางผู้สวมสิทธิ์ จะนำคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุม

ส่วนที่ จ.ภูเก็ต ชุดปฏิบัติการของ กก.5 บก.ป. นำโดย พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.5 บก.ป. นำกำลังเข้าค้นโรงแรมธาราป่าตอง และเครือข่าย รวม 14 ราย ประกอบด้วย เจ้าของโรงแรม 3 ราย เจ้าของร้านค้า 2 ราย คนกลางผู้รวบรวมสิทธิ์หรือสวมสิทธิ์ 5 ราย ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูล จองโรงแรม 4 ราย มีประชาชนร่วมทุจริตรวมกว่า 800 ราย

ผลการตรวจค้น จับกุมผู้ต้องหารวม 12 ราย พฤติกรรมการทุจริตแตกต่างกันออกไปจากกรณีข้างต้น โดยโรงแรมจะร่วมมือกับผู้จัดทัวร์ มีการเชิญชวนว่า หากประชาชนจองห้องพักเต็มสิทธิ์ จะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์เป็นจำนวน 3 วัน 2 คืน โดยไม่มีการเข้าพักโรงแรมจริง นอกจากนี้ผู้จัดทัวร์กิจกรรมยังให้ประชาชนชำระค่าบริการในการ ทำกิจกรรม โดยให้สแกนคูปองที่ได้รับ หลังจากการเช็กอินห้องพัก มาสเเกนใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุมไว้

ผบ.ตร. ย้ำว่า สำหรับผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง, ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชนฯ และข้อหาร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ ทั้งนี้ พฤติกรรมการกระทำความผิดในคดีนี้ มีลักษณะของการฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งก็จะได้ประสานไปยัง ปปง. ดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงินต่อไป ส่วนใครที่ยังคิดจะทำ ในลักษณะนี้อยู่ ก็ขอเตือนให้หยุดกระทำ เพราะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศ กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงแรมอื่น ยังมีอยู่ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด จะแบ่งมอบหมาย ให้แต่ละภาคดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังและททท.แจ้งมา

ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีมีการจับกุมผู้กระทำผิดโครงการ เราเที่ยวด้วยกันว่า เช้าวันนี้ มีการจับกุม ผู้กระทำผิดทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกันโดยมีการกระจายกำลังตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 55 จุดใน จ.ชัยภูมิ และ จ.ภูเก็ต จับผู้ต้องหาได้ 50 คน จากเครือข่าย 2 โรงแรม และเตรียมขยายผลอีก 900 รายในเมืองท่องเที่ยวทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ที่จังหวัดชัยภูมิ ยังพบว่าคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพักที่ใช้สำหรับสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ รวมมูลค่าความเสียหายในส่วนของโรงแรมนี้ 14 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิด 101 ร้าน ความเสียหายรวมประมาณ 87 ล้านบาท

ส่วนที่โรงแรมธาราป่าตอง จ.ภูเก็ต และเครือข่าย จับผู้กระทำผิดได้ 14 คน ซึ่งมีทั้งเจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านค้า คนกลางรวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ์ ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม และยังมีประชาชนที่ร่วมทุจริตรวมกว่า 800 คนซึ่งพฤติกรรมของกลุ่มนี้ จะแตกต่างออกไปโดยโรงแรม จะร่วมกับผู้จัดทัวร์ เชิญชวนประชาชน หากจองห้องพักเต็มสิทธิ์ จะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์ 3 วัน 2 คืน โดยไม่มีการเข้าพัก โรงแรมจริงผู้จัดทัวร์กิจกรรม ให้ประชาชน ชำระค่าบริการในการทำกิจกรรม ให้สแกนคูปองที่ได้รับหลังการเช็กอินห้องพัก มาสแกน ใช้จ่ายกับร้านค้า 2 แห่งที่สมคบคิดกันไว้ พบรัฐเสียหายจากโรงแรม 18 ล้านบาท

“ผมขอขอบคุณ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ตำรวจกองปราบฯ และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเร่งดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เด็ดขาด และรวดเร็ว ให้ตระหนักอยู่เสมอว่าท่านกำลังปฏิบัติหน้าที่ ที่สำคัญเพื่อประเทศ เพราะเป็นพฤติการณ์ ที่มีผลต่อความอยู่รอดได้ของประชาชนจำนวน มาก

ในช่วงเวลาแบบนี้ ใครที่คิดว่าจะทำอะไร ก็ตามที่เอาเปรียบพี่น้องร่วมชาติ โกงชาติ โกงระบบที่เราออกมาตรการมาเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ขอให้ สำนึกว่า ทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านจะขโมยไปนั้น ส่งผลทำให้คนที่ควรจะได้ กลายเป็นไม่ได้ และพวกท่านกำลังทำลายกลไก และกระบวนการทั้งหมด ทำให้เราต้องสร้างเงื่อนไขและขั้นตอนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันการโกง แต่ก็จะส่งผลสร้างความไม่สะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการใช้สิทธิอย่างถูกต้อง ผมขอให้ทุกคนตระหนักตามนี้ และอย่าทำอะไรที่เป็นการทุจริต และเอาเปรียบ พี่น้องคนไทยด้วยกันเลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน