ผบช.ภาค 4 จ่อหมายเรียก 3 ครูสาวอัตราจ้างเทศบาลยางคำ ขอนแก่น แก๊งล่าบัตรประชาชนสวมสิทธิ์‘คนละครึ่ง-เราเที่ยวด้วยกัน’ หลังชาวบ้านกว่า 500 คน แจ้งความ โดย 1 ในครูที่ถูกหมายสารภาพรู้จักกับดร.ครูหนุ่มที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ได้ค่าตอบแทนหัวละ 50 บาท ส่วนเจ้าของบัตรได้ 200 บาท เตรียมประสานรัฐบาลเป็นเจ้าทุกข์เอาผิด ขณะที่ภาคใต้ สภ.คอหงส์ สงขลา สอบ 7 ชาวบ้าน ชื่อโผล่ใช้สิทธิ์เที่ยวด้วยกันที่โรงแรมชัยภูมิ-ภูเก็ต ส่งบัตรประชาชนให้ แลกเงิน 400 บาท แต่ถูกโกงใช้สิทธิ์ 10 วัน ตั้งแต่ก.ค.63 พบทุจริตกว่า 100 คน ร้านค้า 101 แห่งร่วมทำผิด รวมความเสียหายถึง 87 ล้าน

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 10 ก.พ. ที่สภ. หนองเรือ จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภาค 4 พร้อมด้วย พล.ต.ต. ณัฐนนท์ ประชุม ผบก.สส.ภาค 4 ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีชาวบ้านในพื้นที่ อ.หนองเรือ กว่า 500 ราย ถูกว่าที่ ร.ต.ดร.ภูผาภูมิ โมรีย์ ข้าราชการครูในพื้นที่ อ.หนองเรือ พร้อมพวกอีก 4 ราย หลอกชาวบ้าน นำบัตรประจำตัวประชาชนไปสวมสิทธิ์ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โดยให้เงินจำนวน 200 บาทกับชาวบ้าน

ในวันนี้มีชาวบ้านใน ต.ยางคำ อ.หนองเรือ ที่ถูกสวมสิทธิ์ต่างทยอยเดินทางมาให้ปากคำกับทางพนักงานสอบสวน สภ.หนองเรือ และแจ้งความ ร้องทุกข์ดำเนินคดี กับ “ครูอ้อ-ครูนิด และ ครูพี้” ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นครูอัตราจ้างของเทศบาลตำบลยางคำ ที่มีพฤติกรรมหลอก ชาวบ้านในพื้นที่ ด้วยการนำเลขบัตรประจำตัว ประชาชนไปให้กับว่าที่ ร.ต.ดร.ภูผาภูมิ เพื่อสวมสิทธิ์ลงทะเบียนทั้ง 2 โครงการ

พล.ต.ท.ยรรยงกล่าวว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ อ.บ้านฝาง และขยายผลตรวจสอบพบที่ อ.หนองเรืออีกกว่า 500 ราย ต่อมาพบว่า มีผู้ร่วมขบวนการซึ่งเป็นครูอัตราจ้างในพื้นที่ อ.หนองเรือ ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับ ดร.ภูผาภูมิ ที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ โดยทีมสอบสวน จะเร่งสอบปากคำชาวบ้านให้ครบทุกปาก และจะออกหมายเรียกครูทั้ง 3 คนที่ถูก กล่าวหามาสอบสวน เพื่อดำเนินการตาม ขั้นตอน

“ตำรวจจะสอบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่อง หากพบมีส่วนเชื่อมโยงไปที่ใคร หรือพื้นที่อื่นอีกก็จะออกหมายเรียกมาสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ โดยเบื้องต้นจะเอาผิดผู้ที่นำเลขบัตรประจำตัวประชาชนของชาวบ้าน ไปใช้สวมสิทธิ์เพื่อลงทะเบียนโครงการของรัฐบาลทั้ง 2 โครงการก่อน พร้อมประสานไปยังส่วนของผู้เสียหายโดยตรงคือรัฐบาล เพื่อดำเนินการแจ้งความเอาผิดขบวนการสวมสิทธิ์ดังกล่าวนี้ในข้อหาฉ้อโกง โดยอยู่ระหว่าง รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดตามขั้นตอน” พล.ต.ท.ยรรยงกล่าว

พล.ต.ท.ยรรยงกล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนได้เชิญตัวครูอ้อ หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา มาสอบสวน เบื้องต้นให้การว่ารู้จักกับ ว่าที่ร.ต.ดร.ภูผาภูมิ จริง โดยได้ชักชวนตนเองให้ไปหาบัตรประจำตัวประชาชนของชาวบ้านมา และให้ค่าตอบแทนรายละ 50 บาท ส่วนอีก 200 บาทจะนำไปให้ชาวบ้าน แต่พบว่ามี ชาวบ้านบางรายได้เงินเพียง 100 บาท โดยรายละเอียดอยู่ในสำนวนการสอบสวน ซึ่งทางพนักงานสอบสวนจะเรียกครูอีก 2 คนมาสอบปากคำตามขั้นตอน และเมื่อทางเจ้าหน้าที่ รัฐเข้าแจ้งความก็จะแจ้งข้อหา ฉ้อโกงเพิ่มเติมกับทุกคนที่ร่วมขบวนการ

ส่วนปัญหาการสวมสิทธิ์โครงการรัฐในพื้นที่ จ.สงขลา วันเดียวกัน พ.ต.อ.ศักดิ์สิทธิ์ มีแสง ผกก.สภ.คอหงส์ ได้เรียกผู้ที่มีชื่อใช้สิทธ์โครงการเราเที่ยวด้วยกันและเข้าพักในโรงแรม ที่พบการทุจริตโครงการนี้มาสอบสวน 7 คน แต่มาเข้าพบและให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้ว 4 คน มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ ต.น้ำน้อย และต.คลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดย 3 คนมีชื่อเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ชัยภูมิ ส่วนอีกคนมีชื่อเข้าพักในโรงแรมที่หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต ซึ่งล้วนเป็นโรงแรมที่ถูกจับกุมทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกันไปแล้ว

จากการสอบถามชายอายุ 43 ปี และพี่สาวอายุ 53 ปี ซึ่งทำงานโรงงานที่เดียวกันให้การว่าได้รับการติดต่อจากเจ๊ปาล์มให้ไปเที่ยว ในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน แต่ตนไม่ได้ไป เจ๊ปาล์มจึงขอให้ส่งบัตรประชาชนไปให้ทางไลน์และโอนเงินมาให้ 400 บาทตอบแทน ส่วนพี่สาวยังไม่ได้เงิน เพราะไม่ได้รับสิทธิ์โครงการ กระทั่งมีหมายเรียกจากตำรวจให้มาพบ พนักงานสอบสวน เพราะมีชื่อปรากฏอยู่ในโรงแรมที่ถูกจับทุจริตโครงการนี้

ด้านคุณลุงเคียง ทองบูรณ์ อายุ 76 ปี บอกว่า มีอาชีพเลี้ยงวัว ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์มือถือ แต่ก็มีชื่อไปเที่ยวที่โรงแรมดังกล่าวด้วย ซึ่งไม่ทราบว่าถูกสวมสิทธิ์ได้อย่างไร แต่อาจเป็นไปได้ว่าเคยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ไม่ได้รับสิทธิ์ เพราะมีประกันสังคม รวมทั้งเคยถ่ายบัตรประชาชนค้ำประกันรถให้ลูกชายไปครั้งหนึ่ง แต่ยืนยันว่า ไม่เคยส่งบัตรประชาชนตัวจริงให้ใคร

ส่วนหญิงสาวอีกคนที่มาให้ปากคำบอกว่าได้รับการติดต่อจากโรงแรมแห่งหนึ่งที่หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต ให้ไปเที่ยวฟรีกินฟรีทุกอย่าง 2 คืน 3 วัน แต่ทางโรงแรมได้ลงเช็กอิน ใช้สิทธิ์เข้าพักเต็ม 10 คืน

รายงานข่าวระบุว่า พนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำทั้ง 4 คนไว้เป็นพยานในคดี เพื่อขยายผลไปยังเครือข่ายผู้ที่ทุจริตโครงการ โดยนำชื่อไปหลอกใช้สิทธิ์ เพื่อรับส่วนต่าง แต่ไม่ได้ไปใช้สิทธิ์จริง

จากการตรวจสอบโรงแรมดังกล่าวที่จ.ชัยภูมิ นั้น พบพฤติการณ์ลงทะเบียนเป็นรีสอร์ตขนาดเล็ก มีห้องพักทั้งหมด 10 ห้อง นับตั้งแต่เดือนก.ค.2563 ถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้สิทธิ์โครงการ 9,263 ราย ยอดจองห้องพัก 92,028 ห้อง เฉลี่ย 1,000-3,000 ห้องต่อวัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และยังพบว่ากว่าร้อยละ 99 ของการจองห้องพัก 1 คน จะจอง 10 ห้อง เต็มทุกครั้ง และเวลาในการเช็กอินและเช็กเอาต์ทับซ้อนไม่สัมพันธ์กัน โดยพบว่า คูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพักที่ใช้สแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าโครงการมียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติรวม มูลค่าความเสียหายในส่วนของโรงแรมแห่งนี้รวม 14,000,000 บาท และมีร้านค้าที่ร่วมกระทำผิดอีก 101 ร้าน ความเสียหายประมาณรวม 87,000,000 บาท

ภายหลังการสอบปากคำ พ.ต.อ.ศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า เฉพาะพื้นที่ สภ.คอหงส์ มีรายชื่อ ผู้ที่ไปใช้สิทธิ์โครงการคนละครึ่ง โรงแรม ที่พบการทุจริต 7 รายและทยอยเรียกมาให้ปากคำเพื่อเป็นพยาน โดยแยกออกเป็น 3 เคส คือ กรณีที่ถูกนำชื่อไปสวมสิทธิ์ กรณีที่ให้บัตร ประชาชนแลกกับค่าตอบแทน และกรณีที่ไปเที่ยวจริง แต่พักแค่ 2 คืน 3 วัน แต่ถูกทางโรงแรมสวมสิทธิ์ 10 วันเต็มตามโควตา โดยไม่ได้พักจริง

“พนักงานสอบสวนจะเร่งสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสาวไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการนี้ ส่วนพื้นที่จ.สงขลา ทราบว่ามีผู้มีชื่อเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันและไปพักในโรงแรมที่มีการทุจริตนับร้อยคน” พ.ต.อ.ศักดิ์สิทธิ์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน