แกนนำยุติชุมนุม-ไม่ยอมเลิก
จนท.ต้องกดดัน-จับไป11คน
ราษฎรพรึบอนุสาวรีย์ปชต.
รื้อทิ้งต้นไม้-ผ้าแดงห่มรธน.

ม็อบราษฎรพรึบรื้อต้นไม้คลุมผ้าแดงฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนเคลื่อนขบวนไปสักการะศาล หลักเมืองขอพรให้อยู่ข้างประชาชน ยืนยันนัดชุมนุมใหญ่หากไม่ปล่อย 4 แกนนำภายใน 7 วัน วุ่นกลางดึกหลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมบางส่วนยังไม่ยอมขยับขว้างขวด-ปาระเบิดปิงปองสนั่นหวั่นไหว จนท.ต้องใช้กำลังผลักดันจนยอมสลายตัวในที่สุด

ตร.จัด 5 กองร้อยรับม็อบราษฎร

เมื่อวันที่ 13 ก.พ. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผบช.น. เปิดเผยถึงการจัดกำลังเตรียมรับมือกิจกรรม “นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน” จัดโดยกลุ่มราษฎร ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 15.00 น.เป็นต้นไปว่า เบื้องต้นบก.น.6 จัดกำลังควบคุมฝูงชนไว้ 2 กองร้อย และบช.น.สำรองกำลังหากมีสถานการณ์ความไม่สงบอีก 3 กองร้อย ทั้งนี้เน้นกำลังตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) หญิง หรือกองร้อยน้ำหวาน เป็นหลัก โดยจะประเมินตามสถานการณ์ความจำเป็น

รายงานข่าวแจ้งว่า กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.) จัดรถฉีดน้ำ 2 คัน รถสำรองน้ำ 2 คัน รถควบคุมผู้ต้องหาขนาดใหญ่ 2 คัน ขนาดเล็ก 4 คัน รถเครื่องเสียง 1 คัน ประจำการบช.น. และให้รถฉีดน้ำอีก 2 คัน รถสำรองน้ำ 2 คัน รถควบคุม ผู้ต้องหาขนาดใหญ่ 2 คัน ขนาดเล็ก 4 คัน รถเครื่องเสียงอีก 1 คัน ประจำการที่แยกกองบัญชาการรักษาดินแดน ทั้งนี้เป็นการเตรียมการสำหรับการควบคุมกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้เกิดความวุ่นวาย

ต่อมาเวลา 14.30 น. กำลังตำรวจในพื้นที่ บก.น.1 และ บก.น.6 เข้าสำรวจพื้นที่บริเวณรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีกำลังตำรวจกว่า 10 นาย ยืนเฝ้าพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หลังเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมประกาศเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมรื้อสิ่งแปลกปลอมบริเวณ ดังกล่าว ในเวลา 15.00 น. เรียกร้องให้ปล่อยตัว นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา นายปติวัฒน์ หรือหมอลำแบงค์ สาหร่ายแย้ม และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำที่ถูกดำเนินคดีกรณีการชุมนุม #19กันยาทวงอํานาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง ที่ผ่านมา และถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

นอกจากนี้ มีรายงานระบุด้วยว่า ทางฝ่ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการวางกำลังตำรวจเพิ่มเติมจากบก.น.5 อาทิ กองร้อยน้ำหวาน เข้ามาช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณดังกล่าว โดยคาดว่าใช้กำลังตำรวจดูแลบริเวณดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 5 กองร้อย และมีการประเมินจำนวนผู้ที่มาร่วมชุมนุมไม่ต่ำกว่า 1,000 คน มีกลุ่มมวลชนเริ่มทยอยมาบริเวณโดยรอบพื้นที่ดังกล่าวแล้ว

โต้‘กวิ้น’โพสต์เฟซฯในคุก

วันเดียวกัน นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ชี้แจงกรณีการโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กของ ‘เพนกวิน-พริษฐ์’ แกนนำคณะราษฎร ซึ่งถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จนเกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดโพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชี่ยลได้แม้กระทั่งถูกคุมขังอยู่ และเป็นการได้รับสิทธิพิเศษเหนือนักโทษคนอื่นหรือไม่ว่า กรมราชทัณฑ์ ขอเรียนว่า ภาพกระดาษพร้อมลายมือของ นายพริษฐ์ที่กำลังเป็นที่สนใจอยู่ขณะนี้ เป็นข้อความที่นายพริษฐ์ได้เขียนขึ้น ณ ห้องเวรชี้สองสถานของศาลอาญา และส่งต่อให้แก่ทนายความภายหลังจากที่ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 9 ก.พ. เวลาประมาณ 17.55 น. ก่อนที่จะถูกนำตัวกลับมาคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ดังนั้น การที่ภาพดังกล่าวไปปรากฏอยู่บนเพจเฟซบุ๊กของนายพริษฐ์ เมื่อวันที่ 11 ก.พ. เวลา 00.15 น. เป็นการดำเนินการโดยผู้ดูแลหรือแอดมินแฟนเพจซึ่งมีได้หลายคน ไม่ใช่การโพสต์โดยตัวนายพริษฐ์เอง เนื่องจากโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ เป็นสิ่งของต้องห้าม ตามมาตรา 72 พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 เป็นไปไม่ได้ที่นายพริษฐ์จะมีโทรศัพท์มือถืออยู่ในความครอบครอง ขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ

นายอายุตม์กล่าวว่า ขอให้สังคมและประชาชนทุกฝ่ายเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติงานของกรมราชทัณฑ์ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และเป็นมาตรฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะข้อกำหนดแมนเดลา (Mandela Rules) ซึ่งเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง และพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 รวมถึงกฎ ระเบียบ และวินัยต่างๆ ที่ข้าราชการกรมราชทัณฑ์ทุกคนพึงปฏิบัติและได้ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด

จ่อหมายเรียกม็อบขอนแก่น

ส่วนที่ สภ.เมืองขอนแก่น พล.ต.ต. พุฒิพงษ์ มุสิกุล ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น เรียกประชุมด่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน ร่วม กก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น และสภ.เมืองขอนแก่น เพื่อสืบสวนสอบสวนจับกุมกลุ่มบุคคลที่ก่อเหตุชักธงชาติไทยลงจากด้านหน้าตึกอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังเก่า ผูกป้ายผ้าสีแดงที่มีข้อความว่าปฏิรูปสถาบันแทนธงชาติไทย เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา

พล.ต.ต.พุฒิพงษ์กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายร่วมกันดูแลความสงบเรียบร้อยในบริเวณการชุมนุม ในส่วนของการชักธงผ้าสีแดงผูกแทนธงชาติไทยนั้น น่าจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมบางคนลักลอบออกไปทำที่เสาธงหน้าอาคารอธิการบดีซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่มีการชุมนุมกว่า 3 ก.ม. ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทราบตัวบุคคลที่ก่อเหตุแล้ว และอยู่ช่วงระหว่างการออกหมายเรียกบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุมาสอบสวน และเมื่อการสอบสวนและแจ้งข้อหาที่กระทำผิดในครั้งนี้ ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.ธง พ.ศ. 2522

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการเผยแพร่ทางโซเชี่ยล ซึ่งไม่ใช่เหตุซึ่งหน้าจึงยังจับกุมไม่ได้ พนักงานสอบสวนจึงออกหมายเรียกคนที่ก่อเหตุมารับทราบข้อกล่าวหา และถ้าการสอบสวนเกี่ยวข้องกับบุคคลใดก็จะออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาเช่นกัน”

คลุมผ้าแดง – กลุ่มราษฎรจัดกิจกรรม ‘นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน’ ฮือรื้อต้นไม้ออกจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนนำผ้าสีแดงขนาดใหญ่มาคลุมทับ เพื่อแสดงออกถึงการไม่ยอมรับอำนาจเผด็จการ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.

พรึบอนุสาวรีย์ปชต.

เวลา 15.30 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มราษฎรจัดกิจกรรม “นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน” เริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น.เป็นต้นไป โดยมีการนำผ้าสีแดงขนาดใหญ่มากางไว้บนพื้นถนนให้มวลชนพากันเขียนข้อความแสดงความคิดความรู้สึกต่างๆ

ด้านนายภาณุพงศ์ หรือไมค์ จาดนอก แกนนำราษฎรกล่าวว่า หากมีการสลายการชุมนุม ตอนนี้หมดเวลากลัว หมดเวลาถอย มีแต่จะสู้เท่านั้น วันนี้จะไม่มีคำสั่งถอยจากตนเด็ดขาด ใครพร้อมเป็นแนวหน้าก็เตรียมตัว หากจะมีอะไรเกิดขึ้น ขอให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเป็น ผู้กระทำก่อน ไม่ให้เสียความชอบธรรมในการขับเคลื่อนประชาธิปไตย อย่าให้ฝ่ายราษฎรเริ่มก่อน ให้จองต้นไม้กัน แล้วจะขนมาวางบนทางเท้า ไม่ให้ปิดบังโบราณสถานที่สร้างโดยคณะราษฎร

รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างนั้น พ.ต.อ.ทศพล อำไพพิพัฒน์กุล ผกก.สน.สำราญราษฎร์ อ่านประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงสั่งให้ผู้ชุมนุม ยุติการรวมกลุ่ม เนื่องจากเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.ควบคุมโรค แต่มวลชนพากันโห่ไล่ พร้อมเคาะหม้อส่งเสียงดังจนเจ้าหน้าที่ต้องร่นถอยกำลังออกไปเพื่อลดการเผชิญหน้า สำหรับสภาพการจราจรบนถนนราชดำเนิน กลางมุ่งหน้าสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ขณะนี้ถูกปิดทุกช่องทาง รถที่มุ่งหน้าเข้ามาต้องวนกลับไปฝั่งสนามหลวง

ต่อมาเวลา 16.10 น. แกนนำราษฎรเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า เราจะรื้อต้นไม้ เอาผ้าแดงขึ้นปกคลุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อแสดงออกถึงการไม่ยอมรับกับอำนาจเผด็จการและศักดินาอีกต่อไป! ช่วยกันออกมาแสดงพลัง เริ่มนับ 1 ถึงล้าน! เวลา 18.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมต่างช่วยกันรื้อต้นไม้รอบฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนช่วยกันถือผ้าแดงที่ต่อเป็นผืนใหญ่ซึ่งก่อนหนานี้ให้บรรดาผู้ชุมนุมเขียนข้อความเรียกร้องประชาธิปไตยส่งต่อกันนำขึ้นไปห่มตัวอนุสาวรีย์ ใต้พานรัฐธรรมนูญ

เคลื่อนขบวนประลองกำลัง

ต่อมา นายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่ พอกันที) แกนนำราษฎร เปิดเผยว่าภายใน 7 วัน ถ้าไม่มีสัญญาณเรื่องเสรีภาพของแกนนำราษฎรทั้ง 4 ที่ถูกคุมขังในเรือนจำ จะเปิดศึกใหญ่ รวมกำลังจากทั่วประเทศ ทั้งภาคเหนือ อีสาน มาชุมนุมที่กรุงเทพมหานคร และมีการประกาศมุ่งหน้าไปศาลหลักเมืองกันต่อ เพื่อทวงคืนจิตวิญญาณเมืองให้กลับมาเป็นของราษฎร

เวลา 18.40 น. ขบวนเริ่มเดินเท้าตามธง ‘ราษฎร’ โดยใช้ถนนราชดำเนินกลาง บรรยากาศทั่วไป มีการเคลื่อนย้ายเครื่องเสียงขนาดใหญ่ไปพร้อมขบวน ประชาชนบางส่วนตีหม้อและกระทะขณะเดินไปพร้อมกัน มีการประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงว่า หากใครสุขภาพไม่พร้อม ขอให้ปักหลักที่จุดเดิมคืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการเคลื่อนขบวน พบว่ามีการปะทะกันเล็กน้อย ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและการ์ดของผู้ชุมนุมบริเวณสะพานผ่านพิภพลีลาศ จะสามารถฝ่าด่านของตำรวจออกไปได้ โดยมีตำรวจชุดควบคุมฝูงชนกว่า 1 กองร้อย และนำรถฉีดน้ำแรงดันสูง 2 คัน ตรึงกำลังอยู่หลังแนวรั้วลวดหนามกับแบริเออร์ บริเวณด้านหน้าศาลหลักเมือง ขณะที่ตำรวจ สน.พระราชวัง ประกาศสั่งยุติการชุมนุม ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอให้แกนนำมาเจรจากับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากว่า ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

เจ้าหน้าที่ตั้งแถวตรึงกำลังบริเวณหน้าศาลหลักเมือง พร้อมนำสิ่งกีดขวางติดตั้งปิดถนนราชดำเนิน โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมและการ์ดจำนวนหนึ่งเข้าไปสังเกต และบางคนเข้าไปพยายามรื้อสิ่งกีดขวางออก เจ้าหน้าที่ต้องประกาศขอให้ผู้ชุมนุมอย่างล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ โดยระบุว่าอย่าให้บุคคลที่สามเข้ามาก่อเหตุวุ่นวายทำร้ายประชาชน ผู้ร่วมชุมนุม ยืนยันเจ้าหน้าที่มาเพื่อป้องกันเหตุรุนแรง ในช่วงเวลาเดียวกันเจ้าหน้าที่ส่งรถน้ำจำนวน 2 คัน เข้าประชิดแนวกั้นดังกล่าว ขณะเดียวกันกลุ่มการ์ดผู้ชุมนุมช่วยกันเคลื่อนย้ายแผงเหล็กของเจ้าหน้าที่บางส่วนมาตั้งเป็นแนวป้องกันทางฝั่งผู้ชุมนุมแทน โดยนายอรรถพลเป็นตัวแทนแกนนำเข้าไปเจรจากับฝั่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเพียงจะเข้าไปสักการะศาลหลักเมืองเท่านั้น

ไหว้ศาลหลักเมือง

หลังเจรจาสักพัก เจ้าหน้าที่ยอมให้ตัวแทน 4 คนเข้าไปสักการะศาลหลักเมืองขอให้คุ้มครองราษฎร ประกอบด้วย นายอรรถพล แหวน-ณัฏฐธิดา มีวังปลา น.ส.เบญจา อะปัญ และแอม-ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา

19.40 น. เกิดเหตุชุลมุนขึ้นเมื่อผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งที่กำลังปราศรัยอยู่บนรถเวทีประกาศให้ผู้ชุมนุมบุกเคลื่อนที่ไปข้างหน้า พร้อมขว้างปาข้าวของใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ จากนั้นมีผู้ปาพลุสี และมีเสียงคล้ายประทัดดังขึ้นหลายครั้งสร้างความสับสนอลหม่านเป็นอย่างมาก หลังเกิดเหตุวุ่นวายประมาณ 10 นาที จึงสงบลง ทั้งสองฝ่ายต่างปักหลัก ก่อนแกนนำเข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่กระทั่งยอมให้เข้าไปสักการะหน้าศาลหลักเมืองตามคำขอ โดยมีกองร้อยน้ำหวานคอยดูแลความปลอดภัย

หลังเสร็จการสักการะศาลหลักเมือง นายอรรถพลประกาศถึงชัยชนะในวันนี้ พร้อมเรียกร้องข้อเสนอให้ปลอยตัว 4 แกนนำคณะราษฎรที่ถูกคุมขังตัวอยู่ โดยยืนยันว่าหากไม่มีสิ่งตอบรับจากรัฐบาลใน 7 วัน จะนัดชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 20 ก.พ. และหากยังไม่มีอะไรในทิศทางที่ดีขึ้นจะยกระดับการชุมนุมทันที พร้อมประกาศยุติการชุมนุมให้ทุกคนแยกกันกลับบ้าน

ชุลมุน – เหตุการณ์ชุลมุนและมีเสียงคล้ายระเบิดสนั่นเป็นระยะ หลังม็อบเคลื่อนไปยังศาลหลักเมือง และแนวร่วมบางส่วนไม่ยอมสลายตัวตามที่แกนนำประกาศ จนตำรวจต้องเข้าควบคุมพื้นที่และเกิดปะทะกันเล็กน้อย เมื่อวันที่ 13 ก.พ.

วุ่นอีกรอบเสียงระเบิดระงม

ต่อมา เวลา 20.25 น. เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง เมื่อมีเสียงดังคล้ายพลุหรือประทัดหลายครั้ง มีการปาขวดน้ำและรั้งเหล็กใส่แนว เจ้าหน้าที่ ประชาชนส่วนหนึ่งแตกตื่นวิ่งเข้ามายังสนามหลวงส่วนที่เป็นสนามหญ้า การ์ดราษฎรพยายามสื่อสารให้ประชาชนถอย เหตุดังกล่าวมีผู้บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยต้องเร่งนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล ล่าสุดยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ขณะที่แกนนำราษฎรประกาศขอให้มวลชนกลับบ้าน เนื่องจากประกาศยุติกิจกรรมแล้ว โดยระบุว่า จะมาทวงถามอีกครั้ง วันที่ 20 ก.พ. โดยกลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ต่างทยอยแยกย้ายกันกลับ

แต่ปรากฏว่า มีคนกลุ่มหนึ่งไม่ยอมแยกย้ายพร้อมแสดงความไม่พอใจที่แกนนำประกาศยุติการชุนมุม รวมตัวกันเผชิญหน้าเจ้าหน้าที่ซึ่งตรึงกำลังอยู่ ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่พยายามประกาศให้แยกย้ายกันกลับ แต่ปรากฏว่ามีผู้ปาวัตถุคล้ายประทัดยักษ์ใส่เจ้าหน้าที่ซึ่งตั้งแนวอยู่หลายครั้ง เจ้าหน้าที่จึงประกาศให้เวลา 30 นาที ให้ผู้ที่ยังเหลืออยู่ออกนอกพื้นที่ทั้งหมดในเวลา 21.00 น. เนื่องจากไม่ยอมปฏิบัติตามแกนนำที่ประกาศยุติการชุมนุมไปแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างนั้นมีเสียงดังคล้ายระเบิดดังขึ้นต่อเนื่องตลอดเวลา เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจประกาศให้ผู้สื่อข่าวในบริเวณดังกล่าวแยกตัวออกจากกลุ่มคนย้ายไปอยู่หลังแนวเจ้าหน้าที่ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ เจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ ระหว่างนั้นกลุ่มคนพยายามฝ่าแนวแบริเออร์เข้าหาเจ้าหน้าที่ และบางส่วนขว้างปาขวดน้ำและก้อนหินใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ทำให้มีเจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าวบาดเจ็บหลายคน

ต่อมาเมื่อเวลา 21.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์เริ่มตึงเครียด หลังแกนนำประกาศยุติการชุมนุม และมีเสียงดังคล้ายระเบิดปิงปอง ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งแนวเพื่อกั้นพื้นที่ เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนได้ตั้งแถวไล่กลุ่มผู้ชุมนุมออกมาจนถึงสะพานผ่านพิภพลีลา บริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ขณะกำลังชุลมุนเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ก่อเหตุวุ่นวายจำนวนหนึ่ง

หลังเกิดเหตุวุ่นวายประมาณ 30 นาที เวลา 21.30 น. เหตุการณ์สงบเรียบร้อยกลุ่มผู้ชุมนุมที่ตกค้างต่างพากันแยกย้ายออกนอกพื้นที่จนหมด เจ้าหน้าที่หน่วยควบคุมฝูงชนเปิดแนวให้ผู้สื่อข่าวออกจากเขตป้องกัน โดยมี เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบพื้นที่เพื่อความปลอดภัย เบื้องต้นกลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมรวม 11 ราย ถูกส่งควบคุมตัวที่ ตชด.ภาค 1 จ.ปทุมธานี ส่วนเจ้าหน้าที่ บาดเจ็บ 15 นาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน