ราชทัณฑ์โต้2มาตรฐาน
4ราษฎรวืดประกันหน4
ฮือเขียนจม.หน้าเรือนจำ
ตร.สั่งระดม4กองร้อย
รับม็อบบุกบ้าน‘ตู่’วันนี้

กรมราชทัณฑ์แจงเหตุไม่ตัดผมเทือกและพวกกปปส. เหตุเวลากระชั้น ทำไม่ทัน ตร.เข้มเตรียมกำลัง 4 กองร้อยรับมือม็อบนัดที่อนุสาวรีย์ชัย เตรียมเดินไปบ้านหลวง ที่พล.อ.ประยุทธ์พักอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 ศาลอุทธรณ์ยืนยันคำสั่ง ไม่ให้ประกัน 4 แกนนำม็อบราษฎร ชี้ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง หลังทนายความยื่นประกัน ยึดแนวทางเดียวกับ 8 กปปส. ที่ศาลพิพากษาจำคุก แต่อนุญาตให้ประกันตัวสู้คดี กิจกรรมเดินทะลุฟ้า วันที่สิบเอ็ด ปักหมุดค่ายอดิศร สระบุรี ส่งใบปลิวเห็นใจทหารชั้นผู้น้อย ทนายสิทธิมนุษยชนเผยน่าตกใจตัวเลขคนถูกดำเนินคดีม.112 พุ่ง มีเด็กม.2 ด้วย ม็อบชุมนุมอีกหน้าเรือนจำ เขียนจดหมายถึงเพื่อน

วันที่ 27 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณีที่นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความสิทธิมนุษยชน ยื่นอุทธรณ์ขอประกันตัวกลุ่มแกนนำม็อบราษฎร ประกอบด้วย นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และนายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม 4 แกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎรที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังจากไม่ได้รับการประกันตัว จากการถูกยื่นฟ้องคดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ในความผิดตาม ป.อาญา ม.112 ม.116 และข้อหาอื่น ภายหลังจากที่อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยื่นขอปล่อยชั่วคราวไปเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา แต่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ประกันแกนนำ กปปส.8 คน ทำให้ทางทีมทนายความ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ กับพวกไปยังศาลอุทธรณ์ เทียบเคียงในแต่ละประเด็นตามเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ประกันตัวคดีแกนนำ กปปส.นั้น รวมทั้งกรณีที่ทั้ง 4 ยังอยู่ระหว่างการถูกดำเนินคดี ไม่มีคำพิพากษาใดๆ ออกมาด้วย ทั้งนี้การยื่นขอประกันครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว

ล่าสุดนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊ก ข้อความพร้อมภาพคำสั่งศาลอุทธรณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับศาลอุทธรณ์เคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1-4 ในระหว่างพิจารณามาแล้วอีกครั้งเหตุตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1-4 ในระหว่างพิจารณาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ได้นัดรวมตัวกันของกลุ่มผู้ชุมนุมในวันที่ 28 ก.พ. ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง การกระทำดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ, พ.ร.บ. โรคติดต่อฯ และเป็นความเสี่ยงในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อโควิด-19 อีกด้วย

ทั้งยังอาจมีมือที่สามตั้งใจก่อความวุ่นวาย ใช้ความรุนแรง ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินของทางราชการ อันเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคมส่วนรวม ทำให้พี่น้องประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

โฆษก ตร. ยังกล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย โดยจะดำเนินการด้วยความละมุนละม่อมที่สุด และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนไม่เข้าร่วมการชุมนุม เพื่อความสงบสุขของสังคมส่วนรวม

พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมรับมือการนัดชุมนุมกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่นัดเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังบ้านพักพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กรมทหารราบที่ 1 ในวันที่ 28 ก.พ.ว่า เตรียมกำลังพลไว้เบื้องต้น 4 กองร้อย แบ่งเป็นกำลังตำรวจปฏิบัติหน้าที่จริง 2 กองร้อย และกำลังสำรองอีก 2 กองร้อย ในการดูแลความสงบเรียบร้อย

ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการประเมินด้านการข่าว ทั้งเรื่องจำนวนผู้ที่จะมาชุมนุมและความเสี่ยงต่อมือที่ 3 ที่อาจเข้ามาสร้างสถานการณ์ความรุนแรง พร้อมยอมรับว่ายังไม่ตัดสินใจเรื่องการเตรียมอุปกรณ์ปิดกั้นเส้นทางว่าจำเป็นต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์ในการปิดกั้นเส้นทางบริเวณทางเข้าไปในกรมทหารราบที่ 1 เหมือนครั้งก่อนหรือไม่ เพราะการวางเครื่องกีดขวางจะใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนที่ใช้ชีวิตตามปกติด้วย

พล.ต.ต.ปิยะเผยอีกว่ายอมรับว่ามีความกังวลเรื่องการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เนื่องจากการชุมนุมในระยะหลังพบมีการใช้วัตถุระเบิดมากขึ้น อีกทั้งข้อความที่มีการ เชิญชวนก็คล้ายต้องการสื่อให้เห็นว่าอาจมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นด้วย จึงจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลการข่าวต่างๆ ให้ชัดเจน ก่อนกำหนดวางมาตรการรับมือที่เหมาะสมต่อไป

เดินทะลุฟ้า – กิจกรรม ‘เดินทะลุฟ้า คืนอำนาจประชาชน’ ของกลุ่มราษฎร และพีเพิลโกเน็ตเวิร์ก เพื่อขับไล่รัฐบาลสืบทอดอำนาจ และเรียกร้องปล่อยตัว 4 แกนนำ เดินเท้าเข้าสู่ถนนพหลโยธิน เขตจ.สระบุรี แล้ว เมื่อวันที่ 27 ก.พ.

ขณะที่กิจกรรมเดินทะลุฟ้า เดินเท้าจากจ.นครราชสีมา เข้ามาในกทม. ระยะทาง 247.5 กิโลเมตร โดยกลุ่มราษฎร และ People Go Network ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบเดินเท้าจากจังหวัดนครราชสีมา ถึงกรุงเทพมหานคร รวมระยะทาง 247.5 กิโลเมตร เพื่อขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมเรียกร้องให้ปล่อย 4 แกนนำ ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ดำเนินมาเป็นวันที่สิบเอ็ด กำหนดระยะทางรวม 17 กิโลเมตร จากจุดเริ่มต้น สะพานลอย ร.พ.เกษมราษฎร์ จ.สระบุรี

โดยเวลา 09.00 น. มวลชนออกเดินขบวนจากสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ก่อนถึง โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ จ.สระบุรี มุ่งหน้าไปยังจุดพักที่ 2 เข้าสู่กิโลเมตรที่ 157.8 โดยในช่วงเช้ามีประชาชนและวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ร่วมส่งกำลังใจตลอดสองข้างทาง ขณะที่ขบวนถึงตลาดสระบุรี

เวลา 10.30 น. ขบวนเดินทะลุฟ้าถึงหน้าศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร โดยมีการแจกแผ่นพับ “Free speech for all การพูดไม่ใช่อาชญากรรม คุณค่าไม่อาจทำลายเพียงการวิจารณ์ แต่จะพัฒนาให้ล้ำค่ามากกว่าเดิม” ให้กับเจ้าหน้าที่ที่ยืนประจำการหน้าค่ายอดิศร พร้อมทั้งโพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านทางแฟนเพจ “UNME of Anarchy” ด้วยว่า “พบรถถังเป็นจำนวนมากที่มาจากภาษีประชาชน ประโยชน์ของอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหาร เห็นแต่เอาไว้ทำรัฐประหาร ปล้นอำนาจประชาชนก็เท่านั้น เราเห็นใจทหารชั้นผู้น้อย ที่มีหน้าที่รับใช้นายทหารยศสูง และระบบศักดินา ไม่ได้รับใช้ ‘ประชาชนผู้จ่ายภาษี’ และเป็นเจ้าของอธิปไตยอย่างแท้จริง”

ต่อมาเวลา 11.10 น. มวลชนเคลื่อนขบวนจากจุดพักที่ 2 ไปยังจุดพักที่ 3 ปั๊ม ปตท. สามชาย เข้าสู่กิโลเมตรที่ 161.3

เวลา 12.17 น. ขบวนเดินทะลุฟ้า ออกเดินจากจุดพักที่ 3 ไปยังจุดที่ 4 เข้าสู่กิโลเมตรที่ 164.1 เพื่อพักกลางวัน ณ ปั๊ม PTT สระบุรี โดยตัวแทนเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนก็ได้มาร่วมขบวนด้วย

โดยทุกค่ำคืนของการเดินทะลุฟ้า จะมีรายการศิลปะเสวนา เพื่อสนับสนุนการใช้เสรีภาพเพื่อพูด ฟัง และแสดงออก

สำหรับคืนนี้มีรายการพิเศษ “ราษฎร Weekend สุดสัปดาห์ประชาชน” เวลา 19.00 น. ณ วัดมุจลินทสราราม หนองแค สระบุรี พร้อมจัดกิจกรรม เสวนา Ep.9 รัฐสวัสดิการทะลุฟ้า แรปทะลุฟ้า Rap Against Dictatorship (R.A.D)

เขย่าโสตประสาท พิฆาตเผด็จการ สนุกคิด พิชิตเผด็จการ สร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ชวนเล่น ชวนคุย Poor Game ทะลุความเหลื่อมล้ำ ความจน และ แนวคิดการจัดระบบรัฐสวัสดิการ

ชวนสนทนา รัฐสวัสดิการ/บำนาญแห่งชาติเกิดขึ้นได้ #ถ้าการเมืองดี โดย เดชรัต สุขกำเนิด นักวิชาการเศรษฐศาสตร์, นิมิตร์ เทียนอุดม, แสงศิริ ตรีมรรคา เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ, นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ เครือข่าย We Fair

“ทนายเมย์” จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้เดินทางมาร่วมเดินทะลุฟ้ากับราษฎร และ เครือข่าย People Go Network โดยกล่าวถึงการเคลื่อนไหวทางการเมือง นับแต่ 18 ม.ค. 2563 เป็นต้นมา ว่ามีความเงียบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ จาก 18 ก.ค. 2563 ที่มีการชุมนุม มีคนถูกดำเนินคดีไปแล้ว 291 คน ใน 183 คดี รวมแล้วจนถึงเดือนกุมภาพันธ์นี้อาจจะทะลุ 300 คน

ในส่วนเฉพาะมาตรา 112 มีคนถูกดำเนินคดีไปแล้ว 60 คน ใน 47 คดี ส่วนคดีที่โดนมากที่สุด คือ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 222 คน ถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าสัมพันธ์กับสถานการณ์ทางการเมือง

“ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองของเรา ไม่เคยมีเยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวมากขนาดนี้มาก่อน ปลายปีที่ผ่านมาก็มีการเรียกร้องเรื่องโบขาว เรื่องการศึกษา และเรื่องที่เชื่อมกับภาพใหญ่ ทำให้พวกเขาถูกดำเนินคดีจริงๆ ประมาณ 8 คนแล้ว ซึ่งถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ด้วย ถือเป็นข้อหาที่ร้ายแรง และเราก็พบว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ มีน้องนักเรียนถูกคุกคาม ซึ่งเด็กสุดก็คือ ม.2 เป็นเรื่องที่กังวลเพราะเยาวชนก็เป็นอนาคตของชาติ การที่เขาออกมาเคลื่อนไหว เพราะเขาคาดหวังถึงสังคมที่ดีกว่านี้ แต่ปัญหากับถูกจัดการด้วยการดำเนินคดีกับประชาชน ซึ่งความจริงเราไม่ควรดำเนินคดีกับเด็ก รวมถึงประชาชนด้วย เพราะว่าเขามาใช้เสรีภาพในการแสดงออก อย่างที่เรามาเดิน หรือปราศรัย ก็คือการแสดงออกทางการชุมนุมอย่างสันติ” ทนายเมย์กล่าว

ด้าน “เอลก้า” นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ กล่าวว่า 3 ข้อเรียกร้องของการเดินครั้งนี้ ก็คือ 1.ให้ปล่อยเพื่อนเรา 2.เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ 3.ยกเลิก 112

“พูดตรงๆ ว่าทั้งหมดคือเรื่องเดียวกัน แล้วตอนนี้ก็มีเพื่อนเราที่ก็โดนจับขังไปแล้ว เพื่อนเราอยู่ในคุกแล้ว ซึ่งความจริงเขาไม่สมควรที่จะอยู่ในนั้นตั้งแต่แรก เลยรู้สึกว่า ถ้าการมาทำอะไรซักอย่างให้มันเป็นการกระทำ แอ๊กชั่นให้ชัดเจน ยังไงมันก็ส่งผลให้เกิดอะไรซักอย่าง อย่างน้อยให้คนรู้ว่าเพื่อนเราอยู่ในคุก แล้วก็ช่วยจับตาเฝ้าระวัง ดีที่สุดคือต้องปล่อยเพื่อนเรา” เอลก้ากล่าว

จุดเทียน – กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ร่วมจุดเทียนแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ‘เขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำ’ เรียกร้องให้ปล่อยตัว 4 แกนนำราษฎร ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อค่ำวันที่ 27 ก.พ.

เมื่อเวลา 18.00 น. ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย จัดกิจกรรมเขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำ ขับขานบทเพลง และ บทกวีในงาน “ผมคิดถึงคุณ นักโทษการเมือง” ตั้งแต่เวลา 18.00-19.52 น. เป็นเวลา 112 นาที โดยบรรยากาศการชุมนุมมีการตั้งวงดนตรีและร้องเพลง พร้อมกับนำป้าย และนกกระดาษสีแดงมาติดที่หน้าประตูเรือนจำ โดยข้อความส่วนใหญ่จะมีเนื้อหา ทวงความยุติธรรม ปล่อยนักโทษทางการเมือง โดยกลุ่มผู้ที่มาร่วมชุมนุม ได้นำเสื่อมาปู พร้อมกับเต้นและร่วมกิจกรรมกับกลุ่มจัดงานด้วย ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดถนน 1 เลน เนื่องจากมีการจอดรถเป็นทางยาว

ต่อมาเวลา 19.52 น. ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร น.ส.สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หรือเจน พี่สาวของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หรือต้า ผู้ลี้ภัยการเมืองที่ถูกอุ้มหาย กล่าวว่า ด้วยคำสั่งที่มิชอบของ คสช.ยุคนั้น และต้า วันเฉลิม ไม่ไปรายงานตัว จึงต้องลี้ภัย ทำให้คนคนหนึ่งเสียอนาคต เสียโอกาสที่จะได้อยู่กับครอบครัว เสียทุกอย่างในชีวิต จนเป็นที่มาของการสูญหาย เมื่อตกเป็นผู้ลี้ภัย เขาก็ต้องระวังตัว ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีผู้ลี้ภัยในประเทศลาวและกัมพูชา ทั้งหมด 8 คน ซึ่งครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคณะรัฐประหาร คสช.ที่กลายมาเป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตนกล้าพูดว่ารัฐบาลมีส่วนกับการหายไปของวันเฉลิมที่ลี้ภัยมา 7 ปี ก่อนจะหายตัวไป นอกจากนี้ยังมีน้องๆ หลายคนที่ถูกหมายโดยมิชอบ ละเมิดอิสรภาพทำให้เราต้องออกมาเรียกร้องให้กับคนเหล่านี้

น.ส.สิตานันกล่าวอีกว่า นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ แม่ของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ก็ออกมาร่วมเดินทะลุฟ้า ทุกคนรู้ถึงหัวอกความเป็นแม่ ครอบครัวผู้ถูกกระทำก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ ทำให้พวกเราต้องออกมาต่อสู้กับเผด็จการ การต่อสู้ที่ผ่านมา 8-9 ปี ก็จะมีต่อไปในรูปแบบที่เราวางไว้ ตนยืนยันจะทำหน้าที่นี้ต่อไป เพื่อครอบครัวตัวเองและผู้ถูกกระทำรายอื่นๆ

โดยการทำกิจกรรมครบกำหนดเวลา 112 นาที ก่อนจะมีการจุดเทียนขาวไปวางตามจุดต่างๆ หน้าประตูรั้วเรือนจำ และมีการเล่นดนตรีคลอเป็นระยะๆ ก่อนผู้ชุมนุมจะพากันตะโกนว่า “ผมคิดถึงคุณ นักโทษการเมือง” และยุติกิจกรรม แล้วแยกย้ายกันกลับไป

นายอายุตม์ สินธพพันธ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ชี้แจงข้อสงสัยของสังคมกรณีไม่ตัดผมนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมพวก ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ว่า โดยแนวทางปฏิบัติทั่วไปเมื่อบุคคลใดต้องโทษเข้ามาในเรือนจำและทัณฑสถาน จะได้รับการปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอน คือ เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจค้นตัวตามหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมดำเนินการตรวจคัดกรองโรคโดยแพทย์ และเจ้าหน้าที่พยาบาล ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่เข้าอบรมชี้แจงระเบียบ การปฏิบัติตน รวมถึงการใช้ชีวิตในเรือนจำ ซึ่งในกรณีของนายสุเทพ พร้อมกับพวก เรือนจำก็ได้ดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนตามที่กล่าวข้างต้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น

ในช่วงเวลาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้รับตัวนายสุเทพ พร้อมกับพวก คือเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันที่ 24 ก.พ. 2564 และเจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจค้นตัว และคัดกรองตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แล้วเสร็จ ในเวลาประมาณ 22.45 น. ซึ่งสมควรแก่เวลาที่ต้องแยกขัง และในวันต่อมา เวลาประมาณ 08.30 น. นายสุเทพพร้อมกับพวกได้ออกพบทนายความ กระทั่งถึงเวลา 10.30 น. ทั้งหมดได้ออกพบแพทย์ตรวจอาการ ตามที่ได้แจ้งไว้กับ เจ้าหน้าที่พยาบาล จนดำเนินการแล้วเสร็จในเวลาประมาณ 14.45 น. โดยเวลาดังกล่าวเป็นเวลากระชั้นชิดกับเวลาที่ผู้ต้องขังต้องเตรียมตัวขึ้นเรือนนอน จึงยังไม่ได้ดำเนินการตัดผมของนายสุเทพกับพวก

จนกระทั่งในวันที่ 26 ก.พ.2564 เวลา 08.30 น. ทางเรือนจำได้รับการประสานงานว่าให้นำตัวนายสุเทพ และพวกทั้งหมดไปยังที่ทำการพัศดีเวร เพื่อรอการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นเวลาต่อเนื่องจึงเป็นเหตุที่นายสุเทพและพวก ยังไม่ได้รับการตัดผมตามระเบียบกรมราชทัณฑ์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน