แต่ไม่ชี้เสพ-ถูกบังคับ
จี้เอาผิดรพ.รักษาล่าช้า

ผลชันสูตรศพ‘พริตตี้วาวา’ พบสารเสพติดทั้งยาเค ยาอี ยาบ้า และยานอนหลับ ยังไม่สรุปว่าส่งผลทำให้เสียชีวิตหรือไม่ หรือถูกบังคับให้เสพ ยังไม่ได้แจ้งข้อหาใคร แค่ออกหมายเรียก ตร.สอบปากคำพยานเพิ่มอีก 3 รวมสอบแล้ว 11 ปาก ทั้งญาติและผู้ร่วมปาร์ตี้ เหลืออีก 6 รอผลตรวจแพทย์อย่างละเอียด แม่วาวายันลูกไม่เคยยุ่งเกี่ยวยาเสพติด ร้องสธ.เอาผิด ร.พ.เอกชนเรียกเก็บเงิน ถ่วงเวลารักษา จนทำผู้ป่วยสิ้นใจ สบส.รับลูก เร่งถกสัปดาห์นี้ หากพบผิดจริงมีโทษทั้งจำ ปรับ และทางวิชาชีพ

จากกรณีการเสียชีวิตปริศนาของ น.ส.วิชญาพร วิเศษสมบัติ หรือพริตตี้วาวา อายุ 33 ปี เมื่อช่วงเช้าวันที่ 23 ก.พ. ภายหลังรับงานเอ็นเตอร์เทนจากโมเดลลิ่งให้ไปดูแลนายเก่งที่บ้านพักย่านเสนานิคม 1 ซอย 12 แยก 2 ก่อนไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล จากนั้นเช้าวันที่ 26 ก.พ. เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบ้านพักย่านจตุจักร ต่อมาตำรวจยึดเซิร์ฟเวอร์วงจรปิดบ้านปาร์ตี้ไปตรวจสอบหาหลักฐาน และเรียกสอบหนุ่มที่ว่าจ้างวาวา และรอผลชันสูตรศพอย่างละเอียด ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าคดี เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 มี.ค. ที่สน.พหลโยธิน พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.พหลโยธิน เรียกชุดสืบสวนประชุมคลี่คลายคดีการเสียชีวิตของพริตตี้วาวา โดยวันนี้มีผู้ชาย 2 คนเเละหญิง 1 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ปาร์ตี้ในวันเกิดเหตุ แต่งกายมิดชิด ใส่เสื้อคลุม ใส่หมวกปิดบังใบหน้า พร้อมทนายความส่วนตัว เข้าให้ปากคำ กับพ.ต.อ.ประสพโชค ผกก.สน.พหลโยธิน

คาดว่าประเด็นการสอบปากคำน่าจะเป็นพฤติกรรม กิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในงานปาร์ตี้ทั้งหมด รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มว่าเป็นชนิดใดบ้าง ใช้สารเสพติดหรือไม่ รวมถึงมีใครเห็นอาการผิดปกติของพริตตี้วาวาหรือไม่

ต่อมาเวลา 13.40 น. ที่สน.พหลโยธิน พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผบช.น. เข้าประชุม ร่วมกับพ.ต.อ.ประสพโชค และชุดสืบสวนสน.พหลโยธิน เพื่อติดตามความคืบหน้า ของคดี พร้อมสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุ ราว 1 ชั่วโมงครึ่ง

พล.ต.ต.จิรพัฒน์กล่าวว่า มาตรวจสอบสำนวนและติดตามคดีว่าการสอบสวนเป็นอย่างไร มีผู้เกี่ยวข้องทางคดีอย่างไร รวมถึงผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ หากอะไรเร่งรัดได้ก็ให้เร่ง โดยการสอบปากคำ ขณะนี้สอบผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว 11 ปาก เป็นญาติผู้ตายบางส่วน และผู้ร่วมกิจกรรม ด้วยส่วนหนึ่ง วันนี้สอบเพิ่ม 3 ปาก โดยมี พีอาร์ที่มาร่วมงานให้ข้อมูลว่าช่วงตีสี่ตีห้า ในวันเกิดเหตุ พริตตี้วาวามีอาการผิดปกติ ต้องสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง ยังตอบไม่ได้ว่าเป็นการบังคับให้เสพยาหรือไม่ ต้องสอบปากคำ ให้หมด

สำหรับการใช้ยาเสพติดนั้นยังไม่มีผลแพทย์ ระบุออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ผลการชันสูตรพลิกศพจากแพทย์ผู้ผ่า เบื้องต้นพบสารเสพติดบางชนิดในร่างกายของพริตตี้วาวา ได้แก่ เคตามีนในเลือด และยาอีในปัสสาวะ ในกระเพาะอาหารมียาบ้าและยานอนหลับ ไดอาซิแพม แต่จะส่งผลต่อการตายหรือไม่ ต้องรอผลแพทย์อย่างละเอียดอีกครั้ง สำหรับเคนมผงที่เคยเป็นคดีก่อนหน้านี้นั้นจะผสมไว้เสร็จแล้ว จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่ โดยเหลือสอบพยานอีก 6 คน แบ่งเป็น ชาย 4 คน หญิง 2 คน

ส่วนการสอบพยานก่อนหน้านี้บางคนให้การเป็นประโยชน์ บางคนให้การคลุมเครือ เบื้องต้นเชื่อว่ามีการเสพยาเสพติดจริงในงาน แต่รายละเอียดยังอยู่ในสำนวน จากการสอบปากคำพยานระบุว่า ช่วง 04.00 น. ผู้ตายมีอาการอาเจียนหนัก แฟนสาวของผู้ชายที่ร่วมงานจึงพาขึ้นไปอาบน้ำและนอนพักที่ชั้น 4 ของบ้าน และคอยดูแลตลอดกระทั่งผู้ตาย มีอาการเกร็ง เจ้าของบ้านกับเพื่อนชายอีกคนจึงอุ้มขึ้นรถพาไปส่งโรงพยาบาลทันที ในช่วง 06.00 น. ไม่ได้แวะที่อื่น และใช้เวลาเดินทางเพียง 5 นาที ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าผู้ตายดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ ยังต้องรอผลการตรวจจากแพทย์อีกครั้ง ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้ง ข้อกล่าวหากับใคร เพราะต้องติดตามคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุซึ่งรู้ตัวหมดแล้ว และออกหมายเรียกไปแล้ว สำหรับการแจ้งข้อหาผู้ร่วมงานทั้งหมดจะเข้าข่ายความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรค

รายงานข่าวระบุว่า ทางเจ้าหน้าที่เรียกนายทรงศักดิ์ รสมาลา หรือกอล์ฟ อายุ 41 ปี เจ้าของบ้านที่จัดปาร์ตี้พร้อมทนายความ และเพื่อนที่ร่วมอยู่ในงานอีก 2 คนเข้าสอบปากคำเพิ่มเติมในวันนี้ด้วย

พล.ต.ต.จิรพัฒน์ยืนยันว่า จากการตรวจสอบ กล้องวงจรปิดเบื้องต้นพบว่ามีการลบข้อมูลไปแล้ว ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกลางกำลังกู้ภาพ เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะกล้อง ดังกล่าวอยู่บนชั้น 2 ของบ้านในตำแหน่งที่จัดงานปาร์ตี้ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในคดี อีกทั้งยังพบการจ้างบริษัททำความสะอาดเข้ามาทำความสะอาดบ้านทันทีหลังเกิดเหตุ

ต่อมาเวลา 15.40 น. น.ส.พรทิพย์ แก้วสุข อายุ 54 ปี แม่ของพริตตี้วาวาเข้ามาติดตามคดีที่สน.พหลโยธิน พร้อมกล่าวว่า อยากให้ตำรวจรวบรวมหลักฐานทุกอย่าง เช่น กล้องวงจรปิด นำมาเปิดเผยให้กระจ่าง ขณะนี้ ที่ตำรวจทยอยสอบปากคำพยานรวมถึงเจ้าของบ้านก็พอมีความหวังมากขึ้น หากทุกอย่างชัดเจนและจบเร็ว จะได้นำร่างลูกสาวไปฌาปนกิจโดยเร็ว เชื่อว่ามันต้องมีเหตุให้เกิดขึ้น ยืนยันว่าลูกไม่ยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดตามที่มีข่าวบอกว่าพบสารเสพติดแน่นอน แม้แต่กาแฟหรือแอลกอฮอล์ลูกก็ไม่ดื่ม ต้องไปหาสาเหตุจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด หากน้องดื่มเองก็สงสัยว่าใครนำไปให้ดื่ม หากใครเป็นคนดื่มก็ต้องรู้ลิมิตตัวเองอยู่แล้ว

“หลังลูกเสียชีวิตก็ไม่เคยมีใครในงานติดต่อเข้ามาเลย ไม่เคยรู้จักบรรดาพริตตี้ที่ไปรับงานกับลูกในงานอีกด้วย ไม่อยากเปรียบเทียบกับคดีพริตตี้ลันลาเบล แต่ต้องการให้คดีถึงที่สุด คนทำผิดต้องได้รับโทษ ลูกต้องได้รับความยุติธรรม ตอนนี้หากพบกับผู้กำกับ ก็อยากทราบว่าจะคลี่คลายคดีได้อย่างไร” น.ส.พรทิพย์แม่ของวาวากล่าว

ต่อมาเวลา 16.00 น. น.ส.อุ๊ หญิงคนสนิทของพริตตี้วาวาเข้ามาติดตามความคืบหน้าคดี ที่สน.พหลโยธิน พร้อมกล่าวว่า ปกติแฟนตนทำงานร้านนั่งชิล ไม่ค่อยรับงานสถานที่ปิด เพียงแต่จะรับปีละ 1-2 ครั้ง ที่รับงานนี้เพราะรู้จักและไว้ใจ พบว่าแช็ตล่าสุดที่คุยกัน แฟนตนไลน์มาบอกว่าถึงบ้านนายเก่งแล้ว และไม่ได้ส่งข้อความมาอีก กระทั่งช่วงเช้า พยาบาลโทรศัพท์มาหาตนบอกว่า มีพลเมืองดีพาแฟนมาส่งที่โรงพยาบาลด้วยอาการเกร็ง ตนจึงรีบออกไป เมื่อถึงโรงพยาบาล แฟนยังไม่ได้เข้าห้องไอซียู ปกติแล้วแฟนสาวตนดื่มแอลกอฮอล์เป็นปกติ แต่ก็รู้ลิมิต ส่วนเรื่องสารเสพติดทราบว่ามีเพื่อนเขาเสพอยู่แล้ว แต่แฟนตนไม่ได้เสพด้วย ทั้งนี้ ก็สงสัยว่าเหตุใดจึงมีการลบภาพวงจรปิด และจ้างบริษัททำความสะอาดเข้ามาที่บ้านหลังเกิดเหตุ

วันเดียวกัน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีสบส. รับเรื่องร้องเรียนจากครอบครัวพริตตี้สาวที่เสียชีวิตจากงานปาร์ตี้ โดยมีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เป็นผู้ดำเนินการยื่นเอกสารร้องเรียน

นายอัจฉริยะกล่าวว่า กรณีการเสียชีวิตของพริตตี้สาว ตนเชื่อว่าเกิดจากโรงพยาบาลที่ไม่ปฏิบัติตามยูเส็บ (Universal Coverage for Emergency Patients:UCEP) ตามนโยบายรัฐบาล “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” ซึ่งมีข่าวว่า ร.พ.มีการประวิงเวลาในการรักษาถึง 50 นาที ตนเชื่อว่าถ้ารักษาตั้งแต่แรกผู้ป่วยจะไม่เสียชีวิต โดยมีข่าวว่ามีการประวิงเวลาในการจ่ายเงินและการเข้าไปรักษาพยาบาล

ด้านนพ.ธเรศกล่าวว่า เรื่องยูเส็บ เป็นนโยบายสำคัญเพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาโดยไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่าย โดยตั้งแต่ปี 2560 ประชาชนได้รับการดูแลกว่า 80,000 ราย เป็นเงินกว่า 2,816 ล้านบาท สำหรับเรื่องนี้สบส.จะนำหลักฐานทั้งหมดไปดำเนินการตรวจสอบ และประชุมคณะอนุกรรมการสอบสวนเรื่องร้องเรียนในสัปดาห์นี้ โดยจะดูว่าเรื่องมาตรฐานการแพทย์หรือไม่ ดำเนินการในเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ เป็นไปตามระเบียบที่วางไว้หรือไม่ ทั้งนี้ขอเน้นย้ำไปยังสถานพยาบาลเอกชนว่าเรื่องยูเส็บ ฉุกเฉินคือเรื่องสำคัญในระดับนาที จึงขอให้ช่วยกันดูแลรักษาประชาชน หากไม่ทำตามจะมีโทษจำ ไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และมีโทษทางวิชาชีพด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน