ลูกบางกลอยเคว้ง
ทนายขอระดมด่วน
อาจารย์ -นักวิชาการ
ประกัน22กะเหรี่ยง

พ่อ-แม่โดนจับเข้าคุก สลดหนูน้อย 8 เดือนกะเหรี่ยงบางกลอยไม่มีนมกิน เศร้าญาติเอาน้ำบดข้าวให้แล้วแต่น้องไม่ยอมกินด้าน 7 องค์กรสิทธิจี้ยุติ ‘ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร’ เยียวยากะเหรี่ยงบางกลอย ระดมอาจารย์-นักวิชาการช่วยประกันตัวชาวบ้านทั้ง 22 คน ทนายความระบุหาหลักทรัพย์ที่ใช้ประกันตัวไม่ทันเพราะวงเงินตั้งไว้สูงถึงคนละ 6 หมื่นบาท พร้อมประสานญาติของผู้ที่ถูกหมายจับอีก 8 รายให้มามอบตัวเพื่อทำเรื่องพร้อมกันในวันที่ 8 มี.ค.นี้ รวมวงเงินที่ต้องใช้ประกันตัวทั้งหมดสูงถึง 1.8 ล้านบาท ส่วนชาวบ้านที่โดนจับส่วนใหญ่ถูกตัดผมเกรียนแล้ว มีน่าห่วงเพราะหญิงรายหนึ่งบ่นอยากฆ่าตัวตายตลอด ส่วนส.ส.ก้าวไกลก็กำลังเร่งเตรียมเอกสารเพื่อใช้ตำแหน่งขอประกันตัวให้ชาวบ้านด้วย

วันที่ 6 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 7 องค์กรสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ร่วมกรณีกะเหรี่ยงบางกลอยถูกจับกุม ความว่า ขอให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร เคารพสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่บางกลอย-ใจแผ่นดิน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี หลังจากเมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ประกาศใช้ “ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร” พร้อมนำกำลังทหาร, หน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ สำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปราม (สปป.1) กรมอุทยานแห่งชาติ และตำรวจตระเวนชายแดน สนธิกำลังขึ้นไปยังพื้นที่บางกลอย-ใจแผ่นดิน ก่อนควบคุมตัวชาวบ้านบางกลอยลงมาจำนวน 13 คน โดยมีเด็กเล็กรวมอยู่ด้วย

นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวยังมีการคุกคามชาวบ้านบางกลอยอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นำกำลังขึ้นไปยังหมู่บ้านบางกลอย-ใจแผ่นดิน พร้อมควบคุมตัวนายหน่อแอะ มีมิ บุตรชายของนายโคอิ มีมิ หรือ “ปู่คออี้” และชาวบ้านบางกลอย-ใจแผ่นดิน รวมกว่า 80 ชีวิต อ้างว่ากระทำความผิดตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 40 ก่อนพาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลงมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวชาวบ้านทั้งหมดไว้ โดยไม่ให้ครอบครัวหรือทนายความจากสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และมูลนิธิผสานวัฒนธรรมเข้าพบในชั้นสอบสวน ต่อมาเจ้าหน้าที่ยังได้นำตัวนายหน่อแอะ มีมิ กับชาวบ้านรวม 22 คน ที่ส่งเข้าเรือนจำตามหมายขังศาลจังหวัดเพชรบุรีอีกด้วย

ทั้งนี้เครือข่ายฯ เห็นว่าชาวกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แก่งกระจานมาเป็นระยะเวลานานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษมีหลักฐานบ่งชี้เป็นจำนวนมาก รวมถึงคำพิพากษาปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อส.77/2559 หมายเลขแดงที่ อส.4/2561 ซึ่งนายโคอิ หรือคออี้ มีมิ กับพวกรวม 6 คน ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กับพวกรวม 2 คน จากกรณีรื้อถอนเผาทำลายสิ่งปลูกสร้าง และทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และศาลปกครองมีคำสั่งให้จำเลยมีความผิด เนื่องจากใช้อำนาจเกินความจําเป็นไม่สมควรแก่เหตุ ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้านทั้ง 6 คน รวมถึงพิพากษายืนยันว่า ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน คือกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในเขตป่าแก่งกระจานมาเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี ก่อนที่ผืนป่าจะถูกประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยมีเนื้อหาโดยสรุปคือให้ยุติการจับกุมและให้การคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมที่อยู่ในพื้นที่ข้อพิพาทเรื่องที่ทำกินดั้งเดิม

การดำเนินวิถีชีวิตของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในการทำไร่หมุนเวียน เป็นการทำเกษตรที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการเกษตรที่ยั่งยืนและไม่ทำลายป่า ถือได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ตามฤดูกาล ชาวกะเหรี่ยงที่ดำเนินชีวิตตามวิถีไร่หมุนเวียนดั้งเดิม จึงไม่ควรต้องรับโทษแต่อย่างใด

เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชนฯขอเรียกร้องให้ภาครัฐ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

1.ขอให้มีคำสั่งให้ยุติปฏิบัติการ ยุติการจับกุม ควบคุมตัว และดำเนินคดีกับชาวบ้านกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดินทุกคนโดยทันที 2. ขอให้คุ้มครองและฟื้นฟูเยียวยาชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดินด้วยการคืนสิทธิชุมชน ให้พวกเขาสามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่บ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน เพื่อใช้ชีวิตตามวิถีของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมได้ดังเดิมต่อไป โดยปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553

3.ขอให้เปิดพื้นที่เจรจาระหว่างภาครัฐและกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงดั้งเดิมอย่างจริงใจ และร่วมกันศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริง 4. ขอให้ภาครัฐยกเลิกกฎ ระเบียบ มาตรการ และการกระทำอันเป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติต่อชาวกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน และกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ ที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ และหลักการสิทธิมนุษยชนโดยเคร่งครัด

ด้านน.ส.วราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความจากสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ที่รับหน้าที่เป็นทนายให้กับกะเหรี่ยงบางกลอย เปิดเผยว่า ตอนนี้ยังไม่ได้ยื่นประกันตัวชาวบ้านที่ถูกจับ เนื่องจากหาหลักทรัพย์ที่จะใช้ประกันตัวไม่ทัน เพราะวงเงินประกันชาวบ้านถูกตั้งไว้สูงถึง รายละ 60,000 บาท อีกทั้งกำลังให้ญาติของชาวบ้านที่โดนหมายจับอีก 8 คน ที่ยังไม่ถูกควบคุมตัวไปตามให้มามอบตัว เพื่อจะยื่นเรื่องประกันตัวพร้อมกันในวันที่ 8 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเมื่อรวม 8 คน ทำให้มีชาวบ้านที่ถูกจับกุม 30 คน รวมวงเงินประกันสูงถึง 1.8 ล้านบาท

ทนายความสิทธิมนุษยชนกล่าวต่อว่า ขณะนี้เราได้ประสานทั้งส.ส. และนักวิชาการเพื่อใช้ตำแหน่งประกันตัวชาวบ้านออกมา ทราบว่ามีส.ส.จากพรรคก้าวไกล และนักวิชาการที่เริ่มติดต่อมาบ้างแล้ว แต่ยังกังวลอยู่ว่าจะสามารถใช้ตำแหน่งประกันตัวได้หรือไม่ เนื่องจากเงินจำนวนมากขนาดนั้นไม่สามารถหามาได้ทัน

น.ส.วราภรณ์กล่าวต่อว่า สำหรับชาวบ้านที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำขณะนี้ทั้งหมด 22 ราย แบ่งเป็น ผู้ชาย 15 คน ผู้หญิง 7 คน ในจำนวนนี้มีแม่ลูกอ่อน 2 คน ซึ่งลูกของเขา 3 คนที่ถูกนำลงมาด้านล่างด้วยนั้น ทราบว่าหน่วยงานด้านพัฒนาสังคมนำไปดูแลอยู่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากตอนนี้ เรายังอยู่ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่สามารถเข้าเยี่ยมชาวบ้านได้ ทั้งหมดต้องถูกกักตัว จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ทราบว่า ทั้งหมดถูกตัดผมเกรียนหมดแล้ว มีเพียงหน่อแอะ มีมิ ลูกชายปู่คออี้ และหลานที่ยังไม่ถูกตัด เนื่องจากเรื่องของความเชื่อ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือมีหญิงรายหนึ่งที่บ่นว่าอยากฆ่าตัวตายตลอด แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าได้ดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว จึงต้องขอความร่วมมือจากนักวิชาการและอาจารย์โดยด่วนและไม่จำกัดจำนวนด้วย เพื่อใช้ตำแหน่งประกันตัวชาวกะเหรี่ยงทั้งหมด ในวันจันทร์ที่ 8 มี.ค.นี้เวลา 09.00 น. ณ ศาลจังหวัดเพชรบุรี หากท่านใดประสงค์จะให้ความช่วยเหลือ สามารถติดต่อตนได้ที่เบอร์ 09-2472-5511

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความเปิดเผยว่า ส.ส.ก้าวไกล จะเร่งเตรียมเอกสารเพื่อประกันตัวให้กับชาวบางกลอย โดยระบุว่า ส.ส.ก้าวไกล จะใช้ตำแหน่งประกันตัวให้ชาวบางกลอยที่ถูกจับกุม ตอนนี้อยู่ระหว่างเตรียมเอกสาร และประสานงานกับทางทนายสิทธิฯ เพื่อให้ชาวบ้านที่ยืนยันว่าเขาอยู่อาศัย และมีรากเหง้า ณ พื้นที่นั้น มาก่อนการประกาศเป็นเขตป่าสงวน ได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม

ส่วนนายพฤ โอโดเชา แกนนำกะเหรี่ยงภาคเหนือ ที่เข้ามาช่วยเหลือเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิให้ชาวบ้านบางกลอย โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า “รมต.วราวุธ (ศิลปอาชา) ครับ มันไม่ดราม่าหรอกนะ จับพ่อแม่เด็กชาย อายุ 8 เดือน หิวไม่ยอมกินอะไร พ่อแม่ถูกท่านจับเข้าคุก ทั้งสองคนรวมทั้งพ่อแม่เด็กอีก 6 คน ที่ต้องการกินนมแม่ ป่วยเป็นอีสุกอีใส อีก 2 คนที่บางกลอย ผมมันโคตรเลวที่ใช้เขียนเรื่องเด็ก โพสต์ให้มันดราม่า รู้ว่าพอใจท่านมาก ถ้าหน่อแอะ มีมิ ชาวบ้านจะตาย มันก็ไม่ดราม่าหรอกนะ คงเพราะคนมันไม่เท่ากันในประเทศนี้การเผาบ้านเผายุ้งจับชาวบ้านเข้าคุก การไม่มีที่ดินไม่มีที่ปลูกข้าว มันไม่ดราม่าหรอก สำหรับคนอย่างท่าน

มันดราม่ามากมายนักหรือ สำหรับชาวกะเหรี่ยงกลับบ้านปลูกข้าวไร่หมุนเวียนเลี้ยงชีพ ในที่ทำกินเดิมก่อนกฎหมายประกาศ และคงไม่ดราม่าเลย เรื่องกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ตัดป่าขายทั้งประเทศ อนุมัติโครงการในเขตป่า เหมืองแร่ ท่าเรือ พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่เศรษฐกิจ ไม่ดราม่าเลย ที่ท่านจัดการบริหารจัดการทรัพยากรล้มเหลวแล้วมาแย่งพื้นที่จัดการป่าที่ดีเลิศของชาวบ้าน ตอนนี้เราเอาเงินกองทุนซื้อข้าว ให้ชาวบ้านกำลังไปซื้อนมให้เด็กที่อ.แก่งกระจาน เพราะญาติๆ เอาน้ำข้าวบดให้เด็กแล้วแต่เด็กไม่กิน คนบริจาคเงินช่วยชาวบ้านคงถูกท่านฟ้องข้อหายุยงนำเงินซื้อนมซื้อข้าวช่วยเด็กอีกใช่ไหม พวกท่านมันสุดยอดหน้าเนื้อใจเสือซะจริง น้ำนมน้ำข้าวลูกท่านตัวท่านเคยหิวไหม”

ไม่ได้เยี่ยม – น.ส.วราภรณ์ อุทัย รังษี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน พร้อมชาวกะเหรี่ยงบ้าน โป่งลึก-บางกลอย เดินทางมายังเรือนจำกลางจังหวัดเพชรบุรี ขอเข้าเยี่ยมผู้ที่ถูกจับกุมและปรึกษาเรื่องประกันตัว แต่ ไม่ได้เข้าพบ เมื่อวันที่ 6 มี.ค.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน