ศาลอุทธรณ์ยืนโทษจำคุกซินแสโชกุน 4,355 ปี จากคดีดังปี 60 ร่วมกับพวกตุ๋นลงทุนอาหารเสริมพาเที่ยวญี่ปุ่น เหยื่อหลงเชื่อเกือบพันรายสุดท้ายถูกลอยแพที่สุวรรณภูมิ ส่วนลูกน้องจากเดิมได้รับโทษเท่ากัน 2 คน เพิ่มเป็น 4 คน จำคุกรายละ 2,903 ปี 4 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำคุกตามกฎหมายแล้ว จำคุกสูงสุดคนละ 20 ปี ส่วนอื่นยืนตามศาลชั้นต้นปรับ 435 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.2176/2560 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด, น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน อายุ 34 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัท พร้อมพวก 10 คน ความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และฟ้องจำเลยที่ 2-10 ในความผิดฐานร่วมกันนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลนั้นเป็นเท็จน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเป็นซ่องโจร

ขณะที่ บจก.เวลท์เอเวอร์ และ น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 1-2 ยังถูกฟ้องอีกในข้อหาร่วมกันจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง และยังฟ้อง น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานซื้อหรือรับไว้ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรฯ โดยท้ายฟ้องอัยการยังขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 51 ล้านบาทเศษ คืนให้กับผู้เสียหาย 871 คน พร้อมดอกเบี้ยที่ผิดนัดชำระร้อยละ 7.5 ต่อปี หลังจากที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายเข้าเป็นสมาชิกของบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อ้างว่าจะมีสิทธิได้เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศแถบเอเชีย แต่มีผู้เสียหายหลายร้อยรายไม่ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามที่จำเลยโฆษณา เนื่องจากไม่มีสายการบินเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามวันเวลาที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงติดค้างอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

โดยศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2561 ว่า การกระทำของ บจก.เวลท์เอเวอร์ จำเลยที่ 1, น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2, น.ส.ทัศย์ดาว จำเลยที่ 5 และ นางพารินธรญ์ จำเลยที่ 8 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม พ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 คนละ 871 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 4,355 ปี ให้ปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 435,500,000 บาท และให้ปรับจำเลยที่ 1-2 รายละ 20,000 บาท ตามความผิด พ.ร.บ.อาหาร จึงรวมโทษปรับบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 435,520,000 บาท ส่วนโทษจำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (2) แล้ว ให้จำคุกจำเลยได้สูงสุดคนละ 20 ปี

ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า เห็นควรแก้ไขเป็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 5,6,8,9 เป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1,2 ให้กระทำความผิด ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษบทหนักสุด ตามพ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กระทงละ 3 ปี 4 เดือน โดยกระทำผิดรวม 871 กระทง จึงจำคุก น.ส.พสิษฐ์ 4,355 ปี จำคุกจำเลยที่ 5,6,8,9 คนละ 2,903 ปี 4 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำคุกตามกฎหมายแล้ว จำคุกสูงสุดคนละ 20 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คุก4พันปี – จนท.ราชทัณฑ์คุมตัว ‘ซินแสโชกุน’ น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีร่วมกับพวกฉ้อโกงขายอาหารเสริมและทัวร์ต่างประเทศ โดยยืนโทษจำคุก 4,355 ปี ที่ศาลอาญา เมื่อวันที่ 12 มี.ค.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน