ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษ อดีตพระพรหมสิทธิ อดีตพระราชาคณะเจ้าคณะรอง เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ อีกกระทงคดีทุจริตเงินทอนวัด รวมโทษเดิมจากศาลชั้นต้นพิพากษาไว้เดิม 36 เดือน รวมเป็นจำคุก 48 เดือน แต่จำรอลงอาญาไว้ 2 ปี ส่วนแก๊งพศ.อีก 3 ราย โดนเพิ่มคนละ 4 ปี 24 เดือน เว้น ‘พนม ศรศิลป์’ อดีต ผอ.พศ. คงโทษตามเดิม

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ สำนักงานพระ พุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) คดีหมายเลขดำ อท.251/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพนม ศรศิลป์ อายุ 61 ปี อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.), นาย ชยพล พงษ์สีดา อายุ 65 ปี อดีตรอง ผอ. สำนักงาน พศ., นายณรงค์เดช ชัยเนตร อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา, นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อายุ 51 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และพระพรหมสิทธิ ธงชัย สุขโข หรือนายธงชัย สุขโข อายุ 65 ปี อดีตพระราชาคณะเจ้าคณะรอง อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ, ทำ, จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของ ผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริต ยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่ง ผู้ใดหรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็น ผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำ ความผิด ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 147, 157 ประกอบมาตรา 83, 86, 91

คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 24 ต.ค.61 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 29 ต.ค.58 – 22 ก.ค.59 พวกจำเลยได้เบียดบังเอาเงินงบประมาณของสำนักงาน พศ. ประจำปี 2559 จำนวน 69,700,000 บาท (จากวงเงินงบประมาณประจำปี 2559 จำนวน 5,360,188,000 บาท) ไปเป็นประโยชน์ของตน โดยใช้ ‘วัด’ เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดรับ โอนเงิน ด้วยการให้ ‘วัด’ โดยเจ้าอาวาส เสนอโครงการเพื่อรับเงินสนับสนุนที่เบียดบังมา จากที่ได้มีการพิจารณาอนุมัติโครงการเงินอุดหนุนในโครงการอบรมคุณธรรม จริยธรรม จำนวน 37,200,000 บาท และโครงการศูนย์กลางเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา จำนวน 32,500,000 บาท ซึ่งวัดสระเกศฯ ได้รับอนุมัติเงินไปเพียงวัดเดียว

เมื่อวันที่ 11 เม.ย.61 พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงาน พศ. แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน และส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนตามกฎหมาย มีคำขอท้ายฟ้อง ขอศาลให้มีคำสั่งจำเลยที่ 1-5 ร่วมกันคืนเงินหรือใช้เงินจำนวน 69,700,000 บาท คืนแก่สำนักงาน พศ. ผู้เสียหาย

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 2 ปี 12 เดือน, จำเลยที่ 2-4 จำคุกคนละ 3 ปี 18 เดือน ส่วนจำเลยที่ 5 ให้จำคุก 36 เดือน และปรับ 27,000 บาท แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษ จำคุกนั้นให้รอการลงโทษ (รอลงอาญา) ไว้มีกำหนด 2 ปี ต่อมาอัยการโจทก์ และจำเลยที่ 5 ยื่นอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 ตามฟ้องข้อ 2.3 อีกกระทงหนึ่ง จำคุกจำเลยที่ 2-4 คนละ 2 ปี โดยลดโทษให้จำเลยที่ 2-4 คนละหนึ่งในสี่ คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน เมื่อรวมกับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 2-4 มีกำหนดคนละ 4 ปี 24 เดือน

จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ตามฟ้องข้อ 2.3 อีกกระทงหนึ่ง จำคุกมีกำหนด 1 ปี 4 เดือนและปรับ 12,000 บาท โดยลดโทษให้หนึ่งในสี่จึงจำคุกจำเลยที่ 5 เป็น 12 เดือนและปรับ 9,000 บาท เมื่อรวมกับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคงจำคุกจำเลยที่ 5 ทั้งสิ้น 48 เดือนและปรับ 36,000 บาท ซึ่งนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยส่วนของจำเลยที่ 5 นั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 5 มานั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 2 ปี 12 เดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์ฯ มีคำพิพากษาแก้โทษจำเลยที่ 5 ให้จำคุก 48 เดือนและปรับ 36,000 บาท โดยระบุว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เท่ากับว่าโทษจำคุกดังกล่าวยังคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาชั้นต้น คือให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน