แห่ร้อง289เรื่อง-ชลบุรีแชมป์
โปรดเกล้าฯสภาวิสามัญ7เมย.
พท.จี้ยุบสภาถ้าเท กม.ประชามติ
สว.ห่วงม.9-ต้นเหตุตกทั้งฉบับ

กกต.พอใจประชาชนแห่ใช้สิทธิ์เลือกตั้งเทศบาล ชิงเดือด 33,666 เก้าอี้ แห่ร้องเรียน289 เรื่อง ชลบุรีเยอะสุด สุพรรณบุรีดุ-ลุงหัวร้อนควักปืนขู่เจ้าหน้าที่ สาวใหญ่อุดรธานี-หนุ่มชุมพรฉีกบัตรเลือกตั้ง โปรดเกล้าฯ พ.ร.ฎ.เรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ 7 เม.ย. เพื่อไทยจี้ถ้าร่างพ.ร.บ.ประชามติไม่ผ่าน รัฐบาลต้องยุบสภาหรือลาออก ส.ว.จวกฝ่ายค้านตีปลาหน้าไซ คาดเองว่าวุฒิฯจะคว่ำกฎหมายวาระ 3 แต่ห่วงมาตรา 9 ทำให้ถูกตีตกทั้งฉบับ ‘บิ๊กตู่’ ปลื้มคมนาคมลงนาม 3 สัญญา ไฮสปีดเทรนระยะ 1 กทม.-โคราช

คึกคัก – บรรยากาศการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีทั่วประเทศ โดยหน่วยเลือกตั้งที่ 8 ร.พ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลพระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น มีประชาชนจำนวนมากต่อแถว ใช้สิทธิ์ลงคะแนน เมื่อ วันที่ 28 มี.ค.

เลือกตั้งเทศบาลในรอบ 7 ปี

เมื่อวันที่ 28 มี.ค. คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรีทั่วประเทศ 2,472 แห่ง ซึ่งเป็นการเลือกตั้งในรอบ 7 ปี มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง 73,390 คน แบ่งเป็นผู้สมัครนายกเทศมนตรี 5,771 คน และผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) 67,619 คน เพื่อชิงเก้าอี้ 33,666 ตำแหน่ง เปิดหีบเลือกตั้งเวลา 08.00-17.00 น. แต่ละหน่วยเลือกตั้งมีมาตรการป้องกันโควิด-19 เป็นอย่างดี

หากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในครั้งนี้ได้ ขอให้แจ้งสาเหตุได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเหตุต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทำเป็นหนังสือซึ่งต้องระบุเลขประจำตัวประชาชน ที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้าน โดยสามารถแจ้งด้วยตนเอง หรือมอบหมาย ผู้อื่นไปยื่นแทน หรือจัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ระหว่างวันที่ 22-27 มี.ค. หรือ ระหว่างวันที่ 29 มี.ค.-4 เม.ย. และแจ้งผ่านเว็บไซต์ stat.bora.dopa.go.th และ ect.go.th หรือผ่านทางแอพพลิเคชั่น Smart Vote หัวข้อ “การแจ้งเหตุจำเป็นที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ์ เลือกตั้ง ทางอิเล็กทรอนิกส์”

กกต.เผยมีร้องเรียน 289 เรื่อง

เวลา 07.35 น. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.พร้อมคณะเดินทางไปตรวจความเรียบร้อยการจัดหน่วยเลือกตั้งที่โรงเรียนวัดบ้านยาง เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 4-5 เทศบาลตำบลท่ามะขาม อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี และสังเกตการณ์การเปิดการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ที่โรงเรียนบ้านหัวหินเขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 2 เทศบาลตำบลท่ามะขาม จ.กาญจนบุรี จากนั้นไปที่อ.ท่าม่วง ประกอบด้วย เทศบาลตำบลท่าม่วง และ อ.ท่ามะกา ประกอบด้วยเทศบาลตำบลท่ามะกา และเทศบาลตำบลดอนขมิ้น จ.กาญจนบุรี

นายอิทธิพรให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับเรื่องร้องเรียนทั้งประเทศจนถึงช่วงเช้าวันที่ 28 มี.ค. มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาแล้ว 289 เรื่อง โดย 108 เรื่อง เป็นเรื่องการหาเสียงโดยการหลอกลวง และอีก 110 เรื่อง เป็นเรื่องการให้เงินกับชุมชน สาธารณชน หรือให้เงินกับบุคคล ส่วนเรื่องร้องเรียนที่เหลือเป็นเรื่องอื่นๆ เช่น การจัดงานรื่นเริงและมหรสพ

ชลบุรีแชมป์-สอบแจกเงิน 3 จว.

สำหรับกกต.อีก 6 คน ได้ลงพื้นที่ตามหน่วยเลือกตั้งต่างๆ เช่นกัน อาทิ นายสันทัด ศรีอนันต์ไพบูลย์ กกต. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการเลือกตั้งที่หน่วยเลือกตั้งที่ 6 เขตเลือกตั้งที่ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยีการจัดการขอนแก่น เขตเทศบาลนครขอนแก่น, เทศบาลตำบลบ้านเป็ด, เทศบาลเมืองศิลา อ.เมืองขอนแก่น และเทศบาลเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่

เวลา 10.15 น. ที่สำนักงานกกต. พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต. แถลงว่าสำหรับเรื่องร้องเรียนทุจริตการเลือกตั้ง ขณะนี้มี 289 เรื่อง แบ่งเป็นเทศบาลตำบล 190 เรื่อง เทศบาลเมือง 83 เรื่อง เทศบาลนคร 6 เรื่อง จังหวัดที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด คือ ชลบุรี 20 คำร้อง ซึ่งประเด็นที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดจ่ายเกี่ยวข้องกับมาตรา 65 (5) ของพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือ ผู้บริหารท้องถิ่น เกี่ยวกับการหลอกลวง บังคับขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้าย ด้วยความเท็จหรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัคร จำนวน 108 คำร้อง ส่วนมาตรา 65(1) เกี่ยวกับการจัดการจัดทำให้เสนอให้สัญญาว่าจะให้หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อันอาจคำนวณเป็นเงิน 72 คำร้อง

ส่วนเมื่อคืนวันที่ 27 มี.ค. หรือที่เรียกว่าคืนหมาหอนนั้น ได้รับแจ้งการกระทำความผิด แจกเงินที่จ.ระยอง จ.นครศรีธรรมราช และมหาสารคาม โดยในพื้นที่ จ.มหาสารคาม ได้ให้ตำรวจดำเนินคดีแล้วเพราะเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งผู้พบเห็นเหตุการณ์สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ และหากมีพยานหลักฐานที่พบการไม่สุจริต กกต.จังหวัดจะทำเรื่องขึ้นมาเพื่อไต่สวนใบเหลืองใบแดงต่อไป

รวบทหารพกอาวุธที่มหาสารคาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 05.30 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีบุคคลแปลกหน้าเข้ามาในพื้นที่บ้านโนนม่วง ต.ปะหลาน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ นายอำเภอนาดูน พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ ศรีวงษ์ชัย ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพยัคฆภูมิพิสัย พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง ร่วมกันตรวจสอบบุคคล และรถยนต์เก๋งสีขาวที่โดยสารมา ทราบชื่อคือ พลฯอุเทน สาสนาม และ ส.อ.อนุชา นามเหลา ทั้งคู่เป็นทหารสังกัดค่ายทหารแห่งหนึ่งในจ.ร้อยเอ็ด

จากการตรวจค้นรถ พบปืนพกขนาด .38 พร้อมปลอกกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 4 นัด และปลอกกระสุนปืนขนาด 9 ม.ม. 2 นัด ซึ่งปืนกระบอกดังกล่าวไม่ใช่ของตนเอง และติดป้ายทะเบียนรถปลอม ก่อนนำตัวไปสอบสวนที่ สภ.พยัคฆภูมิพิสัย แต่ไม่พบการ กระทำผิดเกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง จึงได้แจ้งข้อหา ครอบครองอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นจะได้ทำหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานต้นสังกัดให้ทราบเพื่อร่วมกันสอบสวนต่อไป

ฉีกบัตรเลือกตั้ง 2 ราย

ส่วนบรรยากาศการรลงคะแนนตามจังหวัดต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นไปด้วยความคึกคัก แต่มีบางจังหวัดที่เกิดปัญหา โดยเวลา 09.50 น.ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 13 เขต 2 ในโรงเรียนคุณากรณ์ เขตเทศบาลนครอุดรธานี น.ส. มนิดา นพเก้า อายุ 57 ปี ได้ฉีกบัตรเลือกตั้ง โดยให้การว่า ได้รับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ซึ่งบัตรสีชมพู เลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนั้นได้ลงคะแนนแล้ว แต่พอมาเปิดบัตรสีม่วง ซึ่งเป็นบัตรลงคะแนนเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ไม่มีเบอร์ที่ต้องการ เพราะเลขที่ต้องการเยอะกว่านี้ จึงฉีกบัตรสีม่วง ไม่ได้มีเจตนาที่จะมาก่อกวนและไม่รู้ว่าการมีความผิดกฎหมาย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา “ทำบัตรเลือกตั้งที่คณะกรรมการประจำหน่วยให้ไปนั้น ชำรุดหรือเสียหาย ในมาตรา 121 ของ พ..รบ.การเลือกตั้งท้องถิ่น พ.ศ.2562 มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท แต่ถ้ามีเจตนาทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมจะมีโทษปรับ 1 แสนบาท จำคุก และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง” ซึ่งต้องมีการสอบสวนว่ามีเจตนาอย่างไรเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

เวลา 15.30 น. ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 5 เขต เลือกตั้งที่ 1 วัดโพธิ์ เทศบาลเมืองหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร เจ้าหน้าที่นำตัวนายเสกสรร อนันแดง อายุ 39 ปี ไปสอบสวนที่ สภ.หลังสวน เนื่องจากฉีกบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล โดยให้การว่า ไม่สามารถคลี่บัตรออกได้จึงดึงอย่างแรงจนบัตรขาด ขณะที่แม่ของนายเสกสรร บอกว่า นายเสกสรรเพิ่งกลับจากการรักษาอาการป่วยทางจิตจากรพ. ที่ต่างจังหวัด ตำรวจจึงควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีในข้อหาทำลายบัตรเลือกตั้งและทำให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหายต่อไป

ลุงหัวร้อนควักปืนขู่เจ้าหน้าที่

เมื่อเวลา 13.00 น. ในเขตเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี นายมนัสพงศ์ พรหมพิสิฐพงศ์ ปลัดเทศบาลเมือง ในฐานะ ผอ.กกต.ท้องถิ่น เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุพรรณบุรี ให้ดำเนินคดีกับชายรายหนึ่ง ซึ่งไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และไม่พอใจเจ้าหน้าที่ โดยมีการโชว์ปืนข่มขู่

นายมนัสพงศ์กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. มีชาย 1 ราย ชื่อ ป (นามสมมติ) ได้เข้ามาพูดคุยว่า หน่วยเลือกตั้งนี้คนใช้สิทธิ์เดินทางมาลำบาก เนื่องจากมีการทำถนนและรถติดมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงไปแล้ว แต่ลุงเดินไปที่รถแล้วบอกว่าไปหยิบปืนมาก่อนและเดินกลับมาที่เจ้าหน้าที่ พูดคุยว่าจะฟ้องเกี่ยวกับเรื่องการทำถนน เจ้าหน้าที่จึงบอกว่าถนนตรงนี้เป็นของแขวงการทางไม่ได้เกี่ยวกับเทศบาลเมือง ลุงก็ไม่พอใจและหยิบปืนออกมาแล้วเดินขึ้นรถไป ตนจึงมาแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน

ด้านนายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย อาจจะเป็นความไม่เข้าอกเข้าใจหรือใจร้อน แต่ผู้ก่อเหตุไปกระทำในบริเวณเขตเลือกตั้ง นอกจากมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.อาวุธปืนแล้ว อาจจะมีความผิดทางด้านกฎหมายเลือกตั้งด้วย

กกต.ขอบคุณปชช.แห่ใช้สิทธิ์

เวลา 18.00 น. ที่สำนักงานกกต. พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต. แถลงสรุปภาพรวมหลังปิดหีบเลือกตั้งว่า การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คาดว่าการนับคะแนนจะเสร็จสิ้นไม่เกินเวลา 22.00 น.ของวันเดียวกันนี้ เมื่อนับคะแนนเสร็จสิ้นทุกหน่วยเลือกตั้งแล้ว จะส่งผลคะแนนไปที่เทศบาล เพื่อรวบรวมผลคะแนน

ส่วนการประกาศผลการเลือกตั้งหากเป็นไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรมกกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งภายใน 30 วันคือวันที่ 27 เม.ย.2564 ส่วนกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมไม่ว่าจะมีผู้ร้องหรือไม่ กกต.จะดำเนินการสืบสวนไต่สวนและสามารถสั่งการเลือกตั้งใหม่หรือดำเนินการอื่นที่จำเป็น แต่ต้องไม่ช้ากว่า 60 วัน คือวันที่ 27 พ.ค.2564

“กกต.และสำนักงานฯขอขอบคุณส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ช่วยดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งขอขอบคุณผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่ออกมาลงคะแนนใช้สิทธิ์กันมาก ผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งสามารถแจ้งเหตุการไม่ไปใช้สิทธิ์ ได้ภายใน 7 วันนับแต่วันเลือกตั้ง”พ.ต.อ. จรุงวิทย์ กล่าว

‘บิ๊กตู่’เร่งลงทุนไฮสปีดเทรน

วันเดียวกัน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่ดูแลการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เร่งดำเนินงานและเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน เพื่อให้การลงทุนภาครัฐเข้าไปมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ล่าสุดโครงการรถไฟความเร็วสูงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง มีการลงนามในสัญญาการก่อสร้างการพัฒนาระบบรถไฟความร่วมสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) อีก 3 สัญญาในวันที่ 29 มี.ค. ที่กระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม จะเป็นประธานในพิธีลงนาม โดยสัญญาทั้ง 3 ฉบับ ประกอบด้วย งานสัญญาที่ 4-3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร-บ้านโพ, งานสัญญาที่ 4-4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย, งานสัญญาที่ 4-6 งานโยธาสำหรับช่วง พระแก้ว-สระบุรี โดยเป็นการลงนามระหว่าง ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และผู้แทนบริษัททั้ง 3 สัญญา

ลงนามกทม.-โคราช 3 สัญญา

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า เมื่อลงนามใน 3 สัญญาแล้ว การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะออกหนังสือเริ่มดำเนินงานก่อสร้าง ส่วนสัญญาที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็น สัญญาที่ 4-1 งานโยธาสำหรับช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง งานสัญญาที่ 4-2 งานโยธาสำหรับช่วงดอนเมืองนวนคร และงานสัญญาที่ 4-5 งานโยธาสำหรับช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาและจัดเตรียมเอกสาร ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะสามารถลงนามในสัญญาเพื่อเดินหน้าการก่อสร้างตามโครงการได้ทันที

สำหรับโครงการความร่วมมือรถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา 253 กิโลเมตร ประกอบด้วย 6 สถานี ได้แก่ กรุงเทพฯ(บางซื่อ) ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี ปากช่อง และนครราชสีมา ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 179,412.21 ล้านบาท โดยฝ่ายไทยได้ลงทุนโครงการทั้งหมดและดำเนินการก่อสร้างงานโยธา ส่วนฝ่ายจีนรับผิดชอบการออกแบบรายละเอียดงานโยธา ควบคุมงานการก่อสร้างโยธา ออกแบบและติดตั้งงานระบบรางและระบบไฟฟ้า เครื่องกล ระบบควบคุมการเดินรถและจัดนำขบวนรถไฟความเร็วสูง

มีการแบ่งสัญญาก่อสร้างงานโยธาออกเป็น 14 สัญญา ปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ 1 สัญญา ช่วงกลางดง-ปางโศก อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง 6 สัญญา มีความก้าวหน้าตามลำดับ คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงได้ในปี 2569

โปรดเกล้าฯประชุมรัฐสภาวิสามัญ

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พ.ศ.2564 โดยมีเนื้อหาว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิรา ลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ สมควรที่จะเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 122 และมาตรา 175 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. 2564 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

พท.เตือนอย่าเทกม.ประชามติ

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงถึงท่าทีและการแสดงความจริงใจของรัฐบาล ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกคว่ำว่า เรามีความหวังใหม่ว่าร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเสร็จแล้ว จะถูกคว่ำหรือไม่ เพราะประชาชนวิตกกังวลว่าร่างดังกล่าวอาจถูกคว่ำซ้ำรอยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ถูกผูกโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะแก้เป็นรายมาตราหรือแก้ไขทั้งฉบับ ซึ่งร่างนี้เสนอโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ผ่านครม. ถือว่าเป็นร่างของรัฐบาล ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าร่างนี้จะตกไม่ได้ ถ้าร่างตกรัฐบาลต้องรับผิดชอบด้วยการ ลาออกหรือยุบสภา แม้จะเป็นเดิมพันสูงแต่ประชาชนยังไม่เห็นความพยายามหรือความจริงใจ เห็นแต่การเตะถ่วง หากมีการเททิ้ง อีกรอบ ประชาชนจะไม่ทนและจะได้เห็นการเดินลงท้องถนนมากขึ้น

“รัฐธรรมนูญทำให้ประชาชนและประเทศเสียโอกาส มีเพียง พล.อ.ประยุทธ์และเครือข่ายที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ ตลอดเวลาที่อยู่เป็น คสช.จนถึงการเลือกตั้งกว่า 7 ปี ประชาชนเสียโอกาส ขอให้รัฐบาลเร่งใช้โอกาสนี้แสดงความจริงใจว่าร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติจะไม่ถูกเททิ้ง ไม่เช่นนั้นประชาชนจะไม่ทนอีกต่อไป ขณะที่การเมืองภาคประชาชนพร้อมขับไล่รัฐบาล เวลาเหลือน้อยลงทุกที รัฐบาลต้องเร่งแสดงความจริงใจว่าจะทำให้ร่างนี้ผ่าน” นายอนุสรณ์กล่าว

ชี้ถ้าไม่ผ่าน-รัฐบาลต้องยุบสภา

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พ.ศ.2564 ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย.เป็นต้นไปนั้น ทางรัฐสภาจะได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ต่อในมาตรา 10 ทันทีหลังจากที่รอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาและกรรมาธิการ (กมธ.) ไปพิจารณาแก้ไขรายละเอียดต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หวังว่าจะไม่มีใครไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความ เพราะจะทำให้การพิจารณาช้าลงไปอีก ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหมือนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญเป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภาที่จะดำเนินการได้

ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติเป็นกฎหมายปฏิรูปที่รัฐบาลเสนอเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีการตีความ ขณะที่ผู้แปรญัตติก็ดำเนินการโดยไม่ขัดกับหลักการในวาระ 1 จึงอยากให้สมาชิกรัฐสภาให้ความสำคัญกับกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากมีผลต่อการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตด้วย หากร่าง พ.ร.บ.นี้ไม่ผ่าน รัฐบาลต้องรับผิดชอบโดยการยุบสภา หรือลาออก เพราะเป็นกฎหมายที่รัฐบาลเสนอ

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังร่างแก้ไขเพิ่มเติมถูกคว่ำไปแล้วนั้น คงต้องเดินหน้าแก้ไขเป็นรายมาตรา โดยช่วงต้นเดือน เม.ย. พรรคเพื่อไทยจะเรียกประชุม ส.ส.เพื่อหารือถึงเรื่องดังกล่าว โดยหลักจะต้องแก้ไขเป็นรายมาตราโดยเฉพาะเรื่องอำนาจหน้าที่ของส.ว. รวมทั้งเรื่องการเลือกตั้ง ซึ่งจะได้สอบถามความเห็นของ ส.ส.อีกครั้ง อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขด้วย จากนั้นจะได้หารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอีกครั้งหนึ่ง

ส.ว.ซัดฝ่ายค้านตีปลาหน้าไซ

ด้านพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว. ในฐานะกมธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวว่า การประชุมกมธ.ในวันที่ 1 เม.ย. จะหารือเนื้อหามาตราต่างๆที่คณะกรรมการกฤษฎีกาไปแก้ไขปรับปรุงมาว่า มีความสอดคล้องกับเนื้อหาในมาตรา 9 หรือไม่ และจะมีปัญหาในการนำไปปฏิบัติหรือไม่ เพราะยังมีข้อกังวลว่าเนื้อหาที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่ในมาตรา 9 จะนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้หรือไม่ เพราะการเพิ่มช่องทางให้รัฐสภาและภาคประชาชนเสนอการจัดทำประชามติให้ครม.พิจารณาได้นั้น ต้องไม่ลืมว่า การทำประชามติต้องใช้งบจำนวนมาก ถ้าให้ฝ่ายต่างๆเสนอทำประชามติได้ จะต้องใช้งบมหาศาลทำประชามติ สิ่งที่แก้ไขใหม่ จึงเพิ่มความยุ่งยากให้ฝ่ายบริหาร

ส่วนที่ฝ่ายค้านระบุว่า ส.ว.จะคว่ำร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ วาระ 3 นั้น เป็นการตีปลาหน้าไซ ใช้วิธีคาดการณ์เอาเอง เพื่อมาโจมตีส.ว. โดยที่ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก่อนที่จะโจมตีคนอื่นควรไปมองตัวเองก่อนว่าได้ทำหน้าที่ตัวเองดีพอ หรือยัง

ห่วงม.9 ทำถูกตีตกทั้งฉบับ

พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า สำหรับการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติว่ามีเนื้อหาขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นมุมมองของแต่ละฝ่ายที่เห็นแตกต่างกัน เพราะรัฐธรรมนูญระบุการจัดทำประชามติ ให้ทำได้เพียง 2 กรณีคือ 1.การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ 2.กรณีที่ครม.เห็นชอบให้ทำประชามติ ดังนั้นการที่มาตรา 9 ไปเพิ่มเติมประเด็นการจัดทำประชามตินอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด จึงทำให้เกิดความเห็นต่าง ถ้าจะให้ได้ข้อยุติต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด

หากร่างพ.ร.บ.ประชามติผ่านวาระ 3 ไปแล้ว ก่อนนำกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ ถ้ามีสมาชิกรัฐสภา 1 ใน 10 เข้าชื่อกันส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความมาตรา 9 โดยปกติทั่วไป ถ้าศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า มาตราใดขัดรัฐธรรมนูญ มาตรานั้นก็ใช้บังคับไม่ได้ แต่ถ้ามาตราที่ขัดรัฐธรรมนูญเป็นสาระสำคัญของกฎหมาย จะมีผลทำให้ร่างกฎหมายตกไป ทั้งฉบับ ซึ่งมาตรา 9 ถือเป็นสาระสำคัญ ดังนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า มาตรา 9 ขัดรัฐธรรมนูญ จะทำให้ร่างพ.ร.บ.ทั้งฉบับ ถือเป็นเรื่องน่าห่วง

กกต.ถกตั้งรวมไทยสร้างชาติ

พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาจดจัดตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีข่าวเป็นพรรคสำรองหรือพรรคสาขาของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ตนในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองได้เสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมกกต.เพื่อพิจารณาแล้ว คาดว่าที่ ประชุมกกต.จะพิจารณาภายในสัปดาห์นี้ เรื่องการจดจัดตั้งพรรคการเมืองกกต.จะพิจารณาจากข้อมูล หากครบถ้วนก็จะพิจารณารับจดจัดตั้งเป็นพรรคการเมือง โดยไม่ได้พิจารณาว่ามีผลทางการเมืองอย่างไร หรือเป็นพรรคที่ได้รับความนิยมหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่าโลโก้ของพรรคตรงกับสโลแกนของรัฐบาล พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่โดยหลักการทางกกต.จะตรวจสอบว่าไปตรงกับพรรคการเมืองหรือซ้ำกับพรรคการเมืองอื่นหรือไม่

‘ราเมศ’ซัด‘โจ้’ดิสเครดิต‘เฉลิมชัย’

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี แถลงข่าวกล่าวหาว่ามีการเรียกร้องผลประโยชน์ 110 ล้านบาทเพื่อวิ่งเต้น แต่งตั้งรองอธิบดีกรมชลประทาน รวมถึงการสร้างบ้านรับรองที่กรมชลประทานปากเกร็ด ซึ่งเป็นที่หลวงไปใช้สำหรับดื่มสุราว่า ไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง และเป็นการแถลงเพียงเพื่อต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์เท่านั้น แต่จากการแถลงเป็นการทำลายกำลังใจข้าราชการในกระทรวงอย่างย่อยยับ ข้าราชการต่างบอกกันเป็นเสียงเดียวว่าเกิดความเสียหายต่อกระทรวงมาก

หลักการเรื่องนี้ ข้าราชการในกระทรวงทราบดีว่า นับแต่วันที่นายเฉลิมชัยเข้ารับตำแหน่งได้ลั่นวาจาไว้ชัดว่า ข้าราชการต้องไม่มีการวิ่งเต้นเพื่อแต่งตั้งในตำแหน่งต่างๆ และจะไม่มีการเรียกร้องประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น หากมีความรู้ความสามารถ ทุ่มเททำงานให้กับประชาชนและประเทศ ก็สามารถเติบโตตามสายการทำงานได้

ท้างัดหลักฐานรับเงินตั้งรองอธิบดี

เรื่องนี้ นายยุทธพงศ์รู้จักนายเฉลิมชัยดี ว่าเป็นคนอย่างไร จริงใจ พูดจริงทำจริง คำไหนคำนั้น ตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องเกษตรกรตลอดมา ไม่เคยหาประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น หากมีความจริงใจต่อนายเฉลิมชัยจริง สามารถติดต่อเข้าพบเพื่อบอกกล่าวข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาก็ได้ ไม่ใช่เปิดแถลงข่าว เพราะทุกคนมองออกว่าแถลงข่าวครั้งนี้ทำไปเพียงเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของนายเฉลิมชัย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เท่านั้น

“หากมีข้อมูลใดที่คิดว่าเป็นจริงดังที่แถลง ผมก็สนับสนุนให้ยื่นต่อนายเฉลิมชัย เพื่อตรวจสอบ เพราะการเรียกเงินเป็นจำนวนถึง 110 ล้านบาทไม่ใช่เรื่องเล็ก และการสร้างบ้านรับรองเพียงเพื่อให้นักการเมืองไปดื่มสุรานั้น จะต้องสอบให้เกิดความกระจ่าง ไม่มีใครอยู่เหนือความถูกต้อง และหากมีใครทำผิดกฎหมาย ผิดไปจากความถูกต้อง นายเฉลิมชัยพูดไว้แล้ว ไม่ว่าหน้าไหนจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด หากนายยุทธพงศ์ต้องการให้การเมืองสุจริตต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาด้วยข้อมูลที่เป็นจริง และหากมีใครทำผิดก็จัดการให้ถึงที่สุด ไม่อยากให้เหมือนต้อนแกะเข้าคอก” นายราเมศกล่าว

‘ยุทธพงศ์’ลั่น31มี.ค.บุกก.เกษตรฯ

ต่อมานายยุทธพงศ์ตอบกลับนายราเมศว่า ไม่ต้องห่วง เพราะวันพุธที่ 31 มี.ค. ตนจะไปพบกับนายเฉลิมชัย ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยตนเอง เพื่อนำหลักฐานที่มีไปให้นายเฉลิมชัยตรวจสอบเรื่องการแต่งตั้งรองอธิบดีกรมชลประทานฝ่ายบริหารที่ไม่โปร่งใส ที่ไม่ได้ไปวันที่ 29 มี.ค. เนื่องจากติดภารกิจที่ต่างจังหวัด ส่วนวันที่ 30 มี.ค.นายเฉลิมชัยก็ติดภารกิจประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ตนและนายเฉลิมชัยรู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกันเมื่อปี 2544 และไม่อยากไปตอบโต้นายราเมศ เพราะนายราเมศเป็นส.ส.สอบตกและไม่เคยได้เป็นส.ส. ผมอยู่พรรคประชาธิปัตย์มาก่อนนายราเมศเยอะ เอาป็นว่าแค่หลักฐานเรื่องการไปสร้างบ้านพักรับรองก็ตายแล้ว และมีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์สายใต้ไปที่บ้านพักรับรองหลังนี้เป็นจำนวนมาก ตนไม่ได้บอกว่านายเฉลิมชัยไป บ้านพักหลังนี้สร้างขึ้นมาเพื่อรับรองส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเอาเงินที่ไหนมาสร้างและจะพาสื่อมวลชนไปพิสูจน์ด้วยว่าบ้านพักหลังนี้มีอยู่จริงหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากนายเฉลิมชัยไม่ ดำเนินการจะออกมาเปิดหลักฐานหรือไม่ นายยุทธพงศ์กล่าวว่า เชื่อว่านายเฉลิมชัยเป็นผู้ใหญ่พอ และเชื่อว่าหากเห็นหลักฐานแล้ว จะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน

‘ตู่’รับมือ-เรือเกยคลองสุเอซ

เมื่อวันที่ 28 มี.ค. น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ เมื่อ 23 มี.ค. ที่เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ Ever Given เกยตื้นขวางคลอง สุเอซ ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งทางเรือที่สำคัญของโลก เสมือนทางลัดเชื่อมเอเชียกับยุโรปที่เป็นตลาดใหญ่ของสินค้าไทย ทำให้มีเรือบรรทุกสินค้าลำอื่น ติดอยู่กว่า 300 ลำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์เพื่อเตรียมการรองรับผลกระทบและหามาตรการทางออกให้แก่ผู้ประกอบการไทย

โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ รายงานว่า ได้สั่งการให้สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศเตรียมพร้อมการประสานงานกับผู้นำเข้าและส่งออกเรื่องขอขยายเวลาการส่งสินค้า รวมถึงดูแลผู้ส่งออกหากพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งไปเป็นเส้นแหลมกู๊ดโฮป ทวีปแอฟริกาสู่ยุโรปแทน เพื่อให้สามารถส่งสินค้าไปได้ ซึ่งจะมีต้นทุนเพิ่มและใช้เวลานานขึ้นโดยประมาณ 10 วัน อีกทั้งมอบหมายกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเป็นศูนย์กลางในการประสานงานเรื่องที่จะต้องมีการหารือในข้อกังวลต่างๆ ของภาคเอกชนต่อไป

ในด้านพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ประเมินว่าจะไม่กระทบต่ออุปทานพลังงานของประเทศไทยทั้งน้ำมันก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) เนื่องจากสัดส่วนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติที่ต้องขนส่งผ่านเส้นทางนี้มีไม่สูงนัก และ ผู้ประกอบการได้บริหารจัดการปรับเส้นทางการขนส่งทางเรือไปใช้เส้นทางอื่น และไม่ต้องวิตกกังวลปัญหาขาดแคลนน้ำมัน เพราะมีการนำเข้าจากหลายแหล่งผลิต อีกทั้งผู้ประกอบการมีการสต๊อกน้ำมันไว้เพียงพอ เป็นไปตามปริมาณที่กฎหมายกำหนด

“นายกฯไม่นิ่งนอนใจต่อความกังวลของผู้ประกอบการทั้งนำเข้าและส่งออกที่จะได้รับผล กระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้ แต่จากการติดตามข้อมูล คาดว่าจะไม่กระทบในระยะยาวเพราะทางบริษัทเจ้าของเรือและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ระดมกำลังเพื่อแก้ปัญหาอยู่ทั้งการเคลื่อนเรือและลดน้ำหนักเรือด้วยการยกตู้คอนเทนเนอร์ออก หากภาคเอกชนมีข้อติดขัดในเรื่องใด รัฐบาลก็พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือ” น.ส.รัชดากล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน