สดุดีคนเสื้อแดง
จี้ปล่อย‘ราษฎร’

งานรำลึก 11 ปี 10 เม.ย.2553 วันสลายม็อบคนเสื้อแดง ‘ตู่-เต้น’ แยกกันจัดคนละที่ จตุพรชี้เป็นความตายที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศ ไทยอีก เพียงเพราะไปเรียกร้องประชาธิปไตย ด้านณัฐวุฒิขอบคุณหนุ่มสาวสานต่ออุดม การณ์ประชาธิปไตย เรียกร้องปล่อยตัวนิสิต นักศึกษาและเยาวชนที่ถูกคุมขังแล้วค่อยหาทางมาพูดคุยกัน ลั่นขอติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากถึงวินาทีที่หัวใจต้องตัดสินว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำหน้าที่ปกป้องคนหนุ่มสาวอีกครั้ง ก็จะทำทันที

เมื่อเวลา 07.50 น. วันที่ 10 เม.ย. ที่สถานีพีซทีวี รามอินทรา 40 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วย นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายสุริยา ชินพันธ์ ร่วมทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้วีรชน ครบรอบ 11 ปี 10 เม.ย.2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ที่มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ที่ ถ.ดินสอ แยกคอกวัว โดยทำบุญเลี้ยงพระพร้อมถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ จำนวน 9 รูป จากวัดสุวรรณประสิทธิ์ กรุงเทพมหานคร เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้วีรชน 10 เม.ย.53

ทั้งนี้ มีญาติวีรชนผู้เสียชีวิตเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง รวมถึงนางพะเยาว์ อัคฮาด หรือ แม่น้องเกด น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาผู้เสียชีวิตที่วัดปทุมวนาราม ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนพ.ค.2553 ด้วย

นายจตุพรเผยว่า วันนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว มีความตายเกิดขึ้น 26 ชีวิตและมีวิวัฒนาการตามลำดับ จนถึง 19 พฤษภาคม 2553 ความตายทั้งหมด 99 ชีวิต เหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับประเทศไทยอีก เพราะประชาชนไปเรียกร้องหาประชาธิปไตย แต่กลับจบลงด้วยการเข่นฆ่าประชาชน การตายที่เกิดขึ้นจากประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองของประเทศไทย อย่างน้องมี 2 เหตการณ์คือ วันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์นั้นมีความสูญเสียและความเจ็บปวดมา จึงได้มีการสร้างอนุสรณ์สถาน

นายจตุพรกล่าวต่อว่าตนหวังว่าเราจะได้มีอนุสรณ์สถานที่รวมอัฐิของพี่น้องวีรชนไว้ในที่เดียวกัน ตนผ่านมาในพฤษภาทมิฬก็เปรียบเทียบได้กับเมษา-พฤษภา ปีแรกๆ ของเหตุการณ์ก็จะมีคนมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก และต่อๆ ไปก็เหลือเฉพาะญาติของคนตาย ฉะนั้นเราคงได้ทำอะไรที่มากกว่าคือการจัดสร้างอนุสรณ์สถาน และที่สำคัญคือการรักษาแนวทางเจตนารมณ์ประชาธิปไตยที่เราร่วมสู้กันอย่างยาวนาน วันนี้จึงเป็นเหมือนการทำบุญในทุกๆ ปี และเป็นการทำหน้าที่ของคนที่ได้ร่วมอุดมการณ์ที่ยังมีชีวิตรอด เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนที่จากไปว่าเขาคือวีรชนพลีชีพให้กับประชาธิปไตย และ ข้อกล่าวหาต่างๆ นั้นไม่เป็นความจริงเขาเป็นประชาชนปรารถนาให้บ้านเมืองได้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง

นายจตุพรกล่าวถึงการยุติการชุมนุมที่สวนสันติพร หัวมุมถนนราชดำเนิน ที่ตั้งของอนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรมที่ผ่านมาว่า เราต้องอยู่ในโลกของความจริง ตนสู้กันมาร่วมๆ 30 ปี ตนรู้ว่าจังหวะไหนต้องรุก จังหวะไหนต้องถอย ประเด็นสำคัญคือใครคือผู้มีความชอบธรรม ถ้าเรายังเดินการชุมนุมต่อรัฐก็จะปฏิบัติการไอโอเรา แล้วเราก็จะกลายเป็นผู้ร้ายและถูกสร้างให้เกิดความชิงชังเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้นการระบาดของโควิด-19 เป็นความบกพร่องของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชนิดที่ให้อภัยไม่ได้ เพราะการระบาดทั้ง 3 รอบ อยู่ในความรับผิดชอบของพล.อ.ประยุทธ์ และในการระบาดครั้งที่ 3 เกิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพล.อ.ประยุทธ์ คนเรามันผิดพลาดกันได้ถึง 3 ครั้งแล้ว ไม่แสดงความรับผิดชอบเลยหรือ ดังนั้นเราจึงพักการชุมนุมเพราะต้องการให้ภาระนี้พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนรับผิดชอบ เพราะถ้าเราเดินหน้าชุมนุมเท่ากับว่าเราจะเป็นผู้แพร่โรคระบาด

ครบ11ปี – นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำนปช. ร่วมกับญาติวีรชนและชาวเสื้อแดง จัดงานรำลึก 11 ปีเหตุการณ์สลายม็อบ 10 เมษาฯ 2553 ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถ.ราชดำเนินกลาง เมื่อ 10 เม.ย.

เมื่อเวลา 11.10 น. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ “ยูดีดีนิวส์” ร่วมกับญาติวีรชน และประชาชน จัดงานรำลึกและสดุดีวีรชน #11 ปี 10 เมษา 53 ซึ่งมวลชนคนเสื้อแดงเดินทางมาร่วมรำลึกเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยมีหรีดจากกลุ่มประชาธิปไตย กลุ่มต่างๆ วางไว้อาลัย นายวรชัย เหมะ, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นพ.เหวง โตจิราการ, อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำ นปช. และ นักวิชาการ อาทิ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ และญาติวีรชน รวมถึงตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยด้วย

เวลา 14.20 น. นายณัฐวุฒิ ซึ่งใส่หน้ากากอนามัย ขึ้นกล่าวบนเวทีว่า คือครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่ได้ยืนบนถนนประวัติศาสตร์แห่งนี้ เรามาพบกันในสถานการณ์ที่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะเรากำลังหวาดกลัวโรคระบาด ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย และสังคมโลก อากาศค่อนข้างร้อน เรานั่งในพื้นที่แคบก็แออัด ขออนุญาตเปลี่ยนหน้ากาก จากนั้น นายณัฐวุฒิ เปลี่ยนเป็นหน้ากากที่มีรูปหน้าแกนนำราษฎรที่ถูกคุมขัง

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนได้รับแจกหน้ากากนี้หน้างาน หยิบมาพิจารณาดูว่า น่าจะใช้ได้ผลดี นอกจากป้องกันเชื้อโรคระบาดแล้ว ยังน่าจะป้องกันเชื้อโรคอุบาทว์ได้ด้วย ที่ใส่หน้ากากนี้ ไม่ได้กลัวโควิด แต่กลัวคนในบ้านเมืองนี้จะลืมพวกเขาที่อยู่ในหน้ากาก กลัวพวกเขาจะได้รับอันตราย และอยากพูดจากหัวใจ และพูดมาตลอดตั้งแต่ได้รับอิสรภาพ คือ ปล่อยเด็กออกจากห้องขัง และเรามาแก้ปัญหาอย่างผู้ใหญ ไม่มีทางที่สังคมไทยจะเติบโตก้าวหน้าเมื่อจับพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงไปไว้ในที่คุมขัง อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาหนึ่งตนใส่หน้ากากตลอดเวลาจนเปียก เกรงว่าไม่สะดวก จึงอยากถอดหน้ากาก ให้ผู้นำเห็นหน้า

“พวกคุณจำผมได้ไหม ผมคือคนที่คุณและพวกไล่ยิงกลางถนน เมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา ผมนี่ไงที่มาพร้อมเพื่อนร่วมอุดมการณ์ พร้อม คำถากถาง มาแล้วถูกเข่นฆ่า อย่าลำพองใจว่าชนะ ทำลายวิตวิญญาณการต่อสู้ได้ แต่ผมนี่ไง กลับมายืนตรงนี้เพื่อบอกว่า การฆ่าไม่ใช่คำตอบ เพื่อบอกว่า ความรุนแรงไม่ใช่ทางแก้ปัญหา ฆ่าไปก็เกิดใหม่ มายืนตรงที่ฆ่า ดังนั้น บ้านเมืองนี้ ถึงเวลา ที่คนทุกรุ่น ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ต้องเปิดใจเข้าหากัน ถึงเวลาที่เราจะต้องยอมรับความจริง ว่าไม่มีอำนาจ หรือสังคมใด เลี่ยงกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงได้ ฝนที่ตกมา เสมือนน้ำตาอันปลาบปลื้มของเยาวชนที่สูญเสีย หากหยดน้ำนี้ คือหยดน้ำตาของคนที่ถูกฆ่า ก็ขอให้ตกลงมา ก่อนมาถึงวันนี้ ก็ได้ร้องไห้ ให้เหตุการณ์ รำลึกพลังของคนหนุ่มสาว ที่เขายื่นมาซับหน้าตา โอบกอดคนเสื้อแดง อยากให้น้ำตานี้ เป็นน้ำตาสายสุดท้าย อยากให้ซากร่างไร้วิญญาณเมื่อ 11 ปีที่แล้ว เป็นความสูญเสียครั้งสุดท้าย ไม่ควรมีใครถูกฆ่าตายโดยรัฐ เพียงเพราะมาทวงถามอำนาจรัฐที่เป็นของเขาโดยชอบตามกฎหมาย” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ประชาชนไม่พึงประสงค์ ดึงอำนาจ โค่นล้ม ทำลาย องค์กร ผู้คน หรือพลังใดๆในสังคม เพียงต้องการยืดตัวตรง และบอกว่า เราคือเจ้าของอำนาจสูงสุดที่แท้จริงของไทย เรามายืนในที่ของเรา เราต้องการสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียมในฐานะมนุษย์ เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ และจะไม่ยอมสูญเสียไปมากกว่านี้เช่นเดียวกัน ขอเรียนไปถึงผู้มีอำนาจ ที่มายืนอยู่นี้ ไม่ได้เปิดฉากสงคราม หรือเปิดหน้าท้าทาย เพียงมาบอกว่าถ้าลูกหลาน ลุกขึ้นมาเรียกร้องอนาคตที่ดีกว่า ต้องการต่อสู้เพื่อยืนยันว่า ไม่ยอมรับบ้านเมืองที่ส่งมอบมาทางเดียว ที่ท่านต้องทำคือเปิดใจรับฟัง รัก เมตตา และร่วมกันจับมือเดินหน้าไปพร้อมกับเขา เพราะประเทศนี้กำลังจะอยู่ในความรับผิดขอบของพวกเขาในอนาคตอันใกล้ข้างหน้า บ้านเมืองนี้เป็นสิทธิอันชอบของคนเมืองนี้ ที่จะเรียกร้องสังคม รูปแบบการปกครอง การจัดสรรโครงสร้างอำนาจที่ถูกต้อง ชอบธรรม และ ดีกว่า ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะต้องเผชิญหน้าด้วยโทสะ และจัดการกับเยาวชนด้วยความโกรธเคือง ชิงชัง เพราะการต่อสู้นี้ ทำในนามคนเป็นลูกเป็นหลานท่าน พ่อแม่ของเพนกวิน รุ้ง ไผ่ และเด็กทุกคนในเรือนจำก็รักลูกหลานสุดหัวใจเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นด้วยต่อการคุกคามลูกของประยุทธ์อย่างไร ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำต่อลูกหลานประชาชนเฉกเช่นเดียวกัน ผมหวังใจว่า สิ่งที่พยายามสื่อสารมาตั้งแต่คืนสู่อิสรภาพ จะถูกรับฟัง ขบคิด พิจารณา จากคนรุ่นเรา คนที่เป็นพ่อแม่”

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า วันนี้ สังคมไทยที่กำลังเป็นอยู่ ทำไมเด็กต้องมารับผิดชอบกับสิ่งที่พวกเราทำ แต่นี่คือความจริง ที่เด็กต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เราทำมา ไม่เป็นธรรมเลย ที่ต้องปล่อยให้เขาแบกรับปัญหา ลุกขึ้นมาแก้ปัญหา และปล่อยให้เขาบอบช้ำไปอีก พวกเราต้องช่วยกัน เราต้องกอดลูกหลานไว้ และแสดงความสำนึกต่อคนหนุ่มสาวว่าเราผิดไปแล้ว และจะไม่ยอมให้ผิดพลาดอีกต่อไป เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น บ้านเมืองนี้ถึงที่สุด เชื่อว่าปลายทางก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในที่สุดสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง จะกลายเป็นมหาพายุใหญ่ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องแลกมากับการสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของคนหนุ่มสาวอีกเท่าไหร่

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า อยากให้การจัดงานรำลึกคนที่ถูกฆ่าตาย ปี 53 เป็นการรำลึกสุดท้าย ต้องไม่มีการรำลึกปี 64, 65 หรือปีใดๆ ในอนาคตต่อไป ขอขอบคุณด้วยหัวใจจริง สำหรับพวงหรีดทุกพวง โดยเฉพาะของเยาวชนที่ส่งมาในวันนี้ ตนเชื่อว่า ถ้าดวงวิญญาณของผู้สูญเสีย บนถนนเมื่อ 11 ปีที่แล้วได้รับทราบ เขาจะภาคภูมิใจ แน่นอนที่สุด เขาจะกล่าวคำขอบคุณ พวกเขาเป็นประชาชนธรรมดา ชาวไร่นา คนต่างจังหวัด ถูกฆ่าตายโดยไม่มีอาวุธ ไม่มีแม้คราบเขม่าดินปืน หลังถูกฆ่าตาย เขาไม่มีที่ยืนในประวัติศาสตร์ ไม่มีอนุสรณ์สถาน ไม่มีอนุสาวรีย์ ไม่มีคดีความ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีสำนึกจากผู้มีอำนาจ ที่กระทำการสังหารในเวลานั้น แต่เวลาผ่านไป 10 กว่าปี พวกเขามีพวงหรีดของคนรุ่นหลาน คนหนุ่มสาว ที่เรียกขานพวกเขาบนท้องถนน แสดงความเข้าใจและเห็นใจ

“ขอบอกคนหนุ่มสาวที่กำลังต่อสู้ทุกคน ว่าในนามคนเสื้อแดง ผมสำนึกบุญคุณของคนหนุ่มสาว ที่น้องๆ สร้างอนุสาวรีย์พวกเขาให้เกิดขึ้นในหัวใจทุกคน หากดวงวิญญาณยังคงมีพลัง มีเรี่ยวแรง สู้ไหว ขอพลังครั้งสุดท้าย ปกป้องคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ให้ปลอดภัยจากผู้มีอำนาจทั้งหลาย อย่าให้ทำกับลูกหลานเหมือนที่ทำกับเรา เมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา ช่วยกันกดดัน ให้ปล่อยเยาวชนออกมาให้เร็วที่สุด” นาย ณัฐวุฒิกล่าว และประชาชนเปล่งเสียง “ปล่อยเพื่อนเรา” ดังก้องอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา

จากนั้น นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่ามีคนถามตนมาก เป็นไปได้ไหมที่จะกลับไปยืนบนเวทีปราศรัยทางการเมืองอีกครั้ง บอกว่า ไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น เพราะเห็นว่ายุคสมัยปัจจุบันเป็นการต่อสู้ของคนหนุ่มสาว อย่างไรก็ตาม ตนจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากถึงวินาทีที่หัวใจต้องตัดสิน ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำหน้าที่ปกป้องคนหนุ่มสาวอีกครั้ง จะแจ้งให้ทราบทันที ทุกนาทีบนถนนการต่อสู้ ตนพยายามก้าวย่างด้วยความรอบคอบมาตลอด ให้เกียรติทุกฝ่าย พยายามส่งความปรารถนาดีให้ทุกผู้นาม ให้บ้านเมืองเดินหน้าด้วยสันติให้ได้ แต่ขอพูดชัดๆ ว่าคนทำกับตน ไม่เคยกลัวใคร และหากจำเป็นต้องตัดสินใจ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” นายณัฐวุฒิกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน