ให้เลิกอด-กลับมาสู้!
รอดูการเปลี่ยนแปลง
‘ราษมัม’ชุมนุมหน้าคุก
ยืน112นาทีส่งกำลังใจ

‘พระพยอม’ ขอบิณฑบาตชีวิต ‘เพนกวิน-รุ้ง’ เลิกอด ให้กลับมากินอาหารเพื่อให้สมองคิดอ่าน สู้ไปสร้างไป ถนอมชีวิตเอาไว้รอดูการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ‘คณะราษมัม’ นำโดยแม่กวิ้น แม่ทนายอานนท์ แม่ไมค์ แม่แอมมี่ พี่รุ้ง จัดกิจกรรมหน้าคุก ยืน หยุด ขัง 112 นาที เรียกร้องสิทธิ์ประกันตัว ขณะที่ ‘ตู่-จตุพร’ นัดชุมนุม 24 เม.ย. กลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน ตร.ออกหมายเรียก 4 แกนนำทะลุฟ้า รับข้อหาชุมนุมจัดสงกรานต์

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. พระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ให้สัมภาษณ์ขณะบันทึกรายการ “กัลยาโณโอเค” ถึงกรณีการอดอาหารของ นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ และ น.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำนักศึกษา เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ประกันตัวต่อสู้คดีว่า อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตคุณเพนกวินและรุ้ง เลิกอดอาหารเพื่อมีชีวิตไว้ดูการเปลี่ยน แปลง เมื่อฟ้าหลังฝน ถ้าเกิดเสียชีวิตไปเสียตอนนี้ ถึงแม้ว่าคุณแม่ของเพนกวินเองจะเห็นด้วยในอุดมการณ์ของลูก แต่เชื่อว่าหัวใจของคนเป็นแม่นั้น ลึกๆ แล้วคงไม่อยากให้ลูกจากไปตอนนี้แน่นอน

พระนักเทศน์ชื่อดังกล่าวต่อว่า มองว่าที่ผ่านมาการอดอาหารประท้วงของเพนกวินและรุ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเพนกวินที่อดอาหารต่อเนื่องยาวเกินกว่า 1 เดือนแล้วนั้น ถึงวันนี้ นับว่าไม่ได้เสียเปล่า การเลิกอดอาหารก็ไม่ได้เสียอุดมการณ์ เพราะได้สะท้อนให้เห็นปัญหาของระบบยุติธรรมไทยได้มากแล้ว จึงไม่อยากให้คิดแต่เรื่องสู้ๆ เท่านั้น แต่อยากให้มองเรื่องสร้างๆ ด้วย ควรจะสู้ไปสร้างไป โดยจะขอบิณฑบาตชีวิต ขอให้ทั้ง 2 คนกลับมากินอาหาร เพื่อให้สมองสามารถคิดอ่านและสู้ไปสร้างไป อยากให้ทั้ง 2 คนมีชีวิตอยู่ เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

“สมมตินะ ถึงคุณจะตายไป อาตมาเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยก็คงจะไม่ได้รุ่งโรจน์โชติช่วง เพราะกระบวนการยุติธรรมก็ยังมีกิเลส ยังมีอะไรที่เขาก็กลัวๆ อะไรของเขา เพราะฉะนั้นก็ต้องถนอมชีวิตไว้ ทั้งเพนกวินและรุ้งต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นด้วยตัวเอง” พระพยอมกล่าว

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หนึ่งในแกนนำกลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย กล่าวว่าวันที่ 24 เม.ย. กลุ่มสามัคคีประชาชนจะจัดกิจกรรมอีกครั้ง แต่หากสถานการณ์โควิดไม่คลี่คลายจะหาช่องทางสื่อสารกับประชาชนอีกครั้ง โดยจะชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่ไม่ควรเกิดขึ้น ตั้งแต่การรวบอำนาจและหน่วยงานบังคับบัญชาของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อการจัดการเรื่องโควิด พล.อ.ประยุทธ์ต้องกล้ารับผิดชอบสูงสุดอย่าเอาแต่ประโยชน์ทางการเมืองฝ่ายเดียวทั้งที่ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข รวมทั้งไม่เคยทำตามคำมั่นสัญญา

แกนนำกลุ่มสามัคคีประชาชนกล่าวต่อว่า ขอชื่นชมแกนนำคณะราษฎรที่อดอาหารประท้วงในเรือนจำ แสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว และทำให้เรือนจำต้องเฝ้าทุกวินาที เพราะหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด จะทำให้สถานการณ์นอกเรือนจำลุกเป็นไฟ และเห็นว่าคนหนุ่มสาวควรได้รับการประกันตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือความรู้สึกของสังคมควรมีจิตใจเมตตาต่อกัน จึงหวังว่าเขาควรได้รับอิสรภาพในเวลาไม่นานนี้ และภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เราควรมีหัวใจให้แก่กัน ขอให้เปิดพื้นที่การแสดงความเห็นแตกต่างได้ หากพล.อ.ประยุทธ์บริหารความแตกต่างไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ อันใดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วนกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 15 เม.ย. ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องในความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.โรคติดต่อ โดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ทั้งหมด 4 คน เป็นแกนนำ และเตรียมออกหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 26 เม.ย.

ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพกรุงเทพ มหานคร คณะราษมัมจัดกิจกรรม “ยืน หยุด ขัง 112 นาที” เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ประกันตัวแกนนำนักศึกษา ราษฎร และผู้ต้องขังคดี ม.112 โดยมีบรรดาครอบครัวและญาติผู้ถูกคุมขังมาร่วมชูภาพยืนเป็นเวลา 112 นาที นำโดยนางสุรีรัตน์ ชิวารักษ์ แม่เพนกวิน, น.ส.เมธาวี สิทธิจิรวัฒนกุล พี่สาวรุ้ง, แม่นายภาณุพงศ์ หรือไมค์ จาดนอก แม่ทนายอานนท์ นำภา, แม่นายไชยอมร หรือ แอมมี่ แก้ววิบูลย์พันธุ์ รวมทั้งนพ.ทศพร เสรีรักษ์ และ น.ส.อินทิรา หรือทราย เจริญปุระ นักแสดง มาร่วมกิจกรรมด้วย

นางสุรีรัตน์กล่าวว่าการจัดกิจกรรมนี้เพื่อส่งกำลังใจให้เพนกวินและแกนนำทุกคนที่ถูกคุมขัง ขอบคุณแนวร่วมที่มาร่วมทำกิจกรรม แม้เป็นการจัดกิจกรรมครั้งแรก แต่มีคนร่วมเกินคาด คาดว่าจะจัดกิจกรรมต่อไปในทุกวันเสาร์ จนกว่าลูกชายจะถูกปล่อยตัว ส่วนกรณีแนวร่วมส่งจดหมายขอให้เพนกวินและรุ้งเลิกอดอาหารนั้น มีจดหมายนับหมื่นฉบับ เพนกวินรับทราบและยิ้ม จึงขอให้เพนกวินทบทวนเรื่องอดอาหารด้วย

ขอชีวิต – กลุ่มราษมัม ทำกิจกรรม ‘ยืน หยุด ขัง’ หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเวลา 112 นาที เรียกร้องสิทธิประกันตัวแกนนำราษฎรที่ถูกคดี ม.112 ขณะที่พระพยอม วัดสวนแก้ว ขอบิณฑบาตชีวิต เพนกวิน-รุ้ง ให้เลิกอดอาหาร เมื่อวันที่ 17 เม.ย.

“การทำกิจกรรมเพื่อสื่อสารให้คนในโลกรับรู้ด้วยว่าลูกไม่ได้รับความเป็นธรรม ทราบว่าเพนกวินน้ำหนักลด 20 กิโลกรัม มีอาการวูบจากภาวะน้ำตาลตก ควรให้เขาได้รับอิสรภาพต่อสู้คดี เพนกวินอดอาหารเดือนกว่า เราต้องการให้เขาได้ต่อสู้ หากเขาผิดต้องดำเนินการตามผิด ไม่มีอะไรที่จะต้องกักขังเขาไว้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ภาพพจน์ของไทยถูกมองว่าเมืองไทยทำอะไรกับคนที่เห็นต่าง” แกนนำราษมัมกล่าว

ขณะเดียวกัน ที่ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มเยาวชนโคราชมูฟเม้นท์ทำกิจกรรมเรียกร้องปล่อยแกนนำที่ถูกคุมขังด้วยข้อหามาตรา 112 โดยยืนถือป้ายผ้าเขียนข้อความปล่อยเพื่อนเรา พร้อมชู 3 นิ้วและภาพบุคคลที่ถูกคุมขังในเรือนจำ และเปิดเพลงของศิลปินเพลงเพื่อราษฎร

วันเดียวกัน นายเดวิด สเตร็คฟัสส์ นักวิชา การด้านประวัติศาสตร์การเมือง ชาวสหรัฐ อเมริกา อาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้สัมภาษณ์เดอะอีสาน เรคคอร์ด ถึงกรณีถูกถอนวีซ่า เนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย ว่ามีคนในมหาวิทยาลัยขอนแก่นบอกว่าตำรวจมาคุยกับอธิการบดีให้ยกเลิกการรับรองวีซ่าทำงาน อธิการบดีเลยบอกตำรวจว่าให้ไปคุยกับคณบดีที่รับรองวีซ่าให้ ตนไม่รู้รายละเอียดว่าเขาคุยอะไรกัน แต่สุดท้ายก็ถูกยกเลิกวีซ่า

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ณ ขณะนี้ ถือเป็นเพียงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต เหตุการณ์ที่ผู้มีอำนาจพยายามกดดันชีวิตคนคนหนึ่ง ผมเป็นแค่คนคนเดียว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ผู้มีอำนาจพยายามปิดพื้นที่สาธารณะของคนไทย รวมถึงฝรั่งด้วย สิ่งที่ผมถูกกระทำ ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นอาชญากร เพราะถูกปฏิบัติเยี่ยงอาชญากร ผมเป็นอาชญากรเหรอ ผมเป็นแค่คนซื่อสัตย์ธรรมดาทั่วๆ ไป สิ่งที่ผมโดนมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมผิดอะไรนักหนา ทำไมต้องถูกทำโทษ ทำไมต้องถูกไล่ออกไปนอกประเทศ” นายเดวิดกล่าว

นักวิชาการสหรัฐกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่าเป็นการรังแก ไม่ต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาจารย์ที่พยายามไปประกันตัวนักศึกษาที่ถูกฟ้องคดีมาตรา 112 รัฐบาลคงเห็นว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้ แต่ตนมีสถานะทางกฎหมายแตกต่างจากอาจารย์เหล่านั้น ที่ผ่านมาศึกษาเรื่องมาตรา 112 ทำงานวิจัย เขียนบทความ และเขียนหนังสือ ทั้งหมดเป็นความสนใจส่วนตัว ทำโดยไม่ได้หวังตำแหน่งทางวิชาการ ไม่ใช่อาจารย์สอนหนังสือ แค่ทำไปเพราะคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์เท่านั้นเอง คนชอบพูดว่าถ้าไม่มีความสุข ถ้าทุกข์มากก็ออกไปจากประเทศไทย ไปอยู่ที่อื่น คิดว่าวิธีแบบนี้ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แม้ตนออกไปนอกประเทศ ปัญหาต่างๆ ก็ไม่ได้ถูกแก้ ประเทศ ไทยยังต้องเผชิญหน้ากับความหลากหลายทางความคิดเหมือนเดิม

“ผมเห็นว่ามาตรา 112 เริ่มถูกใช้อย่างกว้างขวางในปี 2548 ถูกใช้อย่างไม่เลือกหน้า คนส่วนมากที่โดนเป็นเพียงปุถุชนธรรมดา ที่ ไม่ได้มีบทบาทการเคลื่อนไหวอะไรมากนัก เพียงแค่เขาพยายามที่จะทำให้ประเทศไทยมีความเท่าเทียมมากขึ้น พอโดนคดีมาตรา 112 ชีวิตพวกเขาต้องไปอยู่ในคุก ต้องเข้าคุกเพียงเพราะต้องการทำให้สังคมเท่าเทียม กฎหมายที่มีโทษหนักเช่นนี้ทำลายทรัพยากรมนุษย์ ทำลายบุคลากรของประเทศโดยไม่จำเป็น มีแต่จะทำให้สถานการณ์ในประเทศแย่ลง ไม่มีทางทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

นายเดวิดกล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เชื่อว่าประเทศไทยจะหลุดพ้นก็ต่อเมื่อผู้มีอำนาจ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ พร้อมที่จะคิดได้แล้วว่าประเทศไทยมีความหลากหลาย แล้วเปิดโอกาสให้คนในท้องถิ่นได้ใช้จินตนาการของตัวเอง คนกรุงเทพฯ ต้องเปิดรับจินตนาการใหม่ ยอมรับในความหลากหลายทางความคิดและความฝัน เมื่อนั้นประเทศไทยก็จะเปลี่ยน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯ ไม่ยอมถอย และพยายามแช่แข็งประเทศไว้ตลอดเวลา มันเลยเปลี่ยนยังไม่ได้

“ผมเชื่อว่าเมื่อประชาชนเรียกร้องมากพอประเทศไทยก็จะเปลี่ยน แต่หลายครั้งที่ผ่านมาคนกรุงเทพฯ หรือผู้มีอำนาจก็ไม่เคยเปลี่ยนวิธีคิด สำหรับตัวผมเองยังมีความหวัง ถึงแม้จะต้องสู้อีกนานแค่ไหนก็ตาม ผมอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ผมจะทิ้งหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ไปได้ยังไง ถ้าเห็นว่าความอยุติธรรมยังเกิดขึ้นข้างๆ เรา ผมเลยต้องสู้เพื่อความเป็นมนุษย์ของคนไทยและคนอีสาน รวมถึงมนุษย์ทั่วๆ ไป แนวทางแก้ปัญหาของผมคือขอวีซ่าแต่งงาน ถ้าขอไม่ได้ก็คงต้องไปอยู่สหรัฐ หรือถ้าจะมีสถาบันอื่นในประเทศไทยอยากจ้าง ผมก็อยากลองดู ถ้าใครใจดี ผมก็ขอบคุณ และสำนึกในความกรุณานั้น แต่ผมไม่อยากทำงานที่อื่นนอกอีสาน ผมอยากอยู่อีสาน เพราะที่นี่คือบ้านของผม” นักวิชาการสหรัฐกล่าว

ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊กเพจเคเคยู กรุ๊ป มหาวิทยาลัยขอนแก่น โพสต์อ้างถึง รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหา วิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ชี้แจงกรณีเลิกจ้างนายเดวิด โดยระบุว่า 1.โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาเป็นหน่วยงานภายนอก ม.ขอนแก่น มีความร่วมมือกับ ม.ขอนแก่น ในเรื่องการแลกเปลี่ยนนักศึกษาต่างประเทศ โดยไม่เคยมีสัญญาจ้าง 2.มีการยกเลิกโครงการดังกล่าวไปเมื่อปีที่แล้ว ม.ขอนแก่นไม่ได้เป็นผู้ยกเลิก

3.หลังจากโครงการถูกยกเลิก คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.ขอนแก่น ได้มีสัญญาจ้าง 1 ปี โดยไม่ได้จ่ายค่าตอบแทน เพื่อให้ดำเนินการสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนนักศึกษาต่างประเทศกับหลายๆ ประเทศตามที่เจ้าตัวเสนอ เริ่มสัญญาจ้างเมื่อเดือนส.ค.2563 4.เดือนก.พ.2564 ทางคณะสาธารณสุขศาสตร์เห็นว่าไม่มีความก้าวหน้าในงานที่ได้ตกลงกันไว้ จึงแจ้งเจ้าตัวขอยกเลิกสัญญา และ 5.ไม่เคยมีตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใดๆ มาพบ หรือมากดดันอธิการบดีและคณบดี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน