แนวร่วมมธ.นัด
ยกระดับชุมนุม
เริ่ม‘อยู่หยุดขัง’

เพนกวินไม่ติดโควิด กรมราชทัณฑ์เผยผลตรวจยันไม่พบเชื้อโควิด หลังจัสติน ไทยแลนด์ พบเชื้อ รวมทั้งผู้ใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูง35 รายก็ไม่พบ สรุปมีผู้ติดเชื้อ 10 รายเป็น ผู้ต้องขัง 9 คน ผู้คุมอีก 1 คน ขณะที่กลุ่มไทยไม่ทน ของจตุพร พรหมพันธุ์ อภิปรายออนไลน์ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง จี้ประยุทธ์ ลาออก ด้านกิจกรรมยืนหยุดขังยังคงทำ ต่อเนื่อง ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และหน้าศาลฎีกา

วันที่ 33 – พี่สาวรุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แจกขนมให้ประชาชน ระหว่างร่วมทำกิจกรรมยืน หยุด ขัง ต่อเนื่องเป็นวันที่ 33 เรียกร้องปล่อยตัวผู้ต้องขังจากการทำกิจกรรมทางการเมือง บริเวณหน้าศาลฎีกา เมื่อวันที่ 25 เม.ย.

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า จากกรณีนายชูเกียรติ แสงวงค์ หรือ จัสติน ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครติดเชื้อโควิด-19 และส่งตัวไปรับการรักษาที่ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2564 ทำให้ต้องดำเนินการตรวจหาเชื้อ โควิด-19 ในผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูง จำนวน 35 ราย

แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ 9 ราย และผู้ต้องขัง 26 ราย รวมถึงแกนนำกลุ่มราษฎรด้วยนั้น ผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง ทั้งเพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ กลุ่มสัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงทั้ง 35 ราย ไม่พบเชื้อโควิด-19 ทุกราย อย่างไรก็ตาม ยังต้องแยกกักตัวกลุ่มดังกล่าวเป็นระยะเวลา 14 วันและตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันผลว่าปลอดเชื้อ

นายธวัชชัยกล่าวต่อว่า ปัจจุบันเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งสิ้น 10 ราย แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ 1 ราย และผู้ต้องขัง 9 ราย โดยผู้ต้องขังที่ติดเชื้อ 8 ราย เป็นผู้ช่วยงานเจ้าพนักงานเรือนจำ ซึ่งมีการแยกการควบคุมไว้ที่ฝ่ายควบคุมผู้ต้องขัง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตรวจค้น รับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ และผู้ต้องขังไป-กลับศาล โดยเป็นการติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อ ซึ่งได้ตรวจพบเชื้อและรักษาตัวอยู่ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปแล้วก่อนหน้านี้ รวมทั้งแยกกักตัวผู้สัมผัสใกล้ชิดรายอื่นๆ และตรวจหาเชื้อเรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้ต้องขังอีก 1 ราย คือนายชูเกียรติ ที่มีการพบว่าติดเชื้อเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นการตรวจพบเชื้อในระหว่างแยกกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน ในแดนกักโรคหลังกลับจากศาล ตามมาตรการป้องกันเชื้อโควิด-19 ที่ต้องแยกกักตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ รับย้าย และผู้ต้องขังออกศาลเป็นระเวลา 14 วัน ซึ่งยังอยู่ในระหว่างสอบสวนโรคอีกครั้งว่าเป็นการติดเชื้อจากกระบวนการใด โดยยืนยันว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยังไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำชั้นใน และผลการตรวจหาเชื้อในเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังรายอื่นๆ ยังไม่พบการติดเชื้อเพิ่มเติม

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยังมีแนวโน้มระบาดอย่างต่อเนื่อง กรมราชทัณฑ์ได้ยกระดับมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อ โควิด-19 ให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น คือ 1.การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในผู้ต้องขัง

เข้าใหม่ทุกราย อย่างน้อย 2 ครั้ง คือ หลังรับตัวเข้าห้องแยกกักโรค ภายใน 3 วันแรก และก่อนออกจากห้องแยกกักโรคอีก 1 ครั้ง เพื่อยืนยันว่าไม่มีเชื้อ 2.การจัดหาวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 เพื่อฉีดให้แก่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกคน โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานในเรือนจำและทัณฑสถาน และ 3.ให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกคนเข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19 และต้องตรวจหาเชื้อในทุก 14 วัน โดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดกับผู้ต้องขัง จึงขอให้ผู้ต้องขังและญาติผู้ต้องขังมั่นใจและอย่าได้วิตกกังวล กรมราชทัณฑ์มีความพร้อมในการรับมือและดูแลผู้ต้องขังทุกคนให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปได้ด้วยดี” นายธวัชชัยกล่าว

เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมไทย ไม่ทน สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม พีซทีวี รามอินทรา กลุ่มไทยไม่ทนโดยสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย เปิดเวทีอภิปรายออนไลน์ โดยในตอนหนึ่ง นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง แกนนำคนรุ่นใหม่นนทบุรี และ 1 ในแกนนำราษฎร กล่าวว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่จริงใจต่อการแก้ไขปัญหาประเทศทั้งเรื่องเศรษฐกิจและโรคระบาดโควิด-19 ที่จนถึงขณะนี้ประชาชนยังไม่ได้รับวัคซีน หากรัฐบาลจริงจังและจริงใจจริง บ้านเมืองเราคงไม่ต้องมานั่งหวาดระแวงกันแบบนี้

นายชินวัตรกล่าวต่อว่า สิ่งที่พวกเราออกมาพูดรวมถึงเพื่อนของตน ที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาชน แต่กลับถูกรัฐบาลใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจับไปขังคุก ทั้งๆที่เจตนารมณ์ ของพวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องการสิ่งอื่นใด นอกจากชีวิตของเขาและชีวิตของประชาชนคนไทยที่ดีกว่านี้เท่านั้น แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้รับคือกรงขัง

นายชินวัตรกล่าวอีกว่า ตนขอฝากไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ หากบอกว่ารักประเทศไทยและรักทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดออกมานั้น ขอให้ลาออกแบบสง่างามด้วยความรับผิดชอบว่า ไม่สามารถบริหารจัดการบ้านเมืองได้อีก ต่อไป เหมือนอย่างที่ต่างประเทศเขาทำกัน

ด้าน นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่นกล่าวว่า สถานการณ์ที่คนไทยกำลังประสบอยู่ใน ขณะนี้มาจากการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิ ภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่หลงในอำนาจ เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์เป็นเผด็จการทหาร การบริหารประเทศจึงใช้วิธีการแบบทหาร คิดว่าตนเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จจึงไม่ฟัง คำเตือนของใครลูกน้องของพล.อ.ประยุทธ์ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครกล้าที่จะบอกพล.อ. ประยุทธ์ตรงๆ เพราะกลัวจะโดนปลดออก คนรอบข้างจึงมีแต่ประจบสอพลอ

นายวีระกล่าวต่อว่า ในการระบาดระลอกที่ 1 นั้นโชคดี เพราะบุคลากรทางการแพทย์ทำงานอย่างหนักจึงสามารถสยบโควิดรอบแรกได้ แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์กลับเอาไปตีกินเป็นผลงานของตนเองว่าสามารถจัดการกับโควิดได้ หลังจากนั้นมีคนเตือนให้เตรียมการจัดหาวัคซีนแต่พล.อ.ประยุทธ์กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ก็ไม่ฟัง โดยเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา นายอนุทินกล่าวว่าประเทศไทยมีวัคซีนมากที่สุดในเอเชียแต่ทำไมตอนนี้ถึงฉีดให้ประชาชนได้ไม่ถึง 1% มาคราวนี้นายอนุทินวิ่งหาวัคซีนบอกว่าถ้าจะกราบได้ก็จะกราบ

นายวีระกล่าวอีกว่า นี่คือสิ่งที่ประชาชนได้รับจากรัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์และรัฐมนตรีเหล่านี้ซึ่งไม่เคยมีความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น หากเปรียบกับนายกฯและรมต.ประเทศอื่นที่ลาออกเพราะดูแลจัดการโควิดไม่ได้ ในขณะที่ รมต.ประเทศไทยจัดงานเลี้ยงจนติด โควิดไป 40 คน ได้ลาออกหรือไม่ มีความรับผิดชอบหรือไม่ หลายคนบอกว่าให้ร่วมกันเข้าชื่อไล่รัฐมนตรีคนนั้นคนนี้ ตนขอบอกว่าให้ไล่นายกฯคนเดียว เพราะถ้าไล่นายกฯออกได้ ครม.ก็จะไปทั้งหมด ซึ่งในสถานการณ์โควิดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลทำอะไรเพื่อตัวเอง ประชาชนจะตายก็ช่างมัน

ด้านนายไพศาล พืชมงคล เลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน กล่าวว่า ประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตโควิดมา 16 เดือนแล้ว และมีการออกประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตนเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้รัฐบาลออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีความหวังว่าจะใช้เวลาเพียง 15 วัน หรือ 1 เดือน เพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 ทำให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ เพราะจากผลของการใช้กฎหมายนี้นั้น ทำให้รัฐบาลต้องมีความรับผิดชอบใหญ่หลวง โดยเมื่อรัฐมีอำนาจในการจำกัดสิทธิ์ กำหนดหน้าที่บังคับประชาชน ลิดรอนเสรีภาพประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆ ได้ตามที่เห็นสมควร ผลกระทบความเสียหายจึงเกิดขึ้น กฎหมายจึงได้บัญญัติหน้าที่ของรัฐไว้ว่าให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินมีสิทธิ์ขอเยียวยาจากรัฐ และถ้าหากมาตรการใดที่ออกตามกฎหมายฉุกเฉินนั้นเป็นการออกโดยทุจริตไม่เป็นธรรมให้ผู้กระทำต้องรับผิดทางอาญาและทางแพ่งด้วย

นายไพศาลกล่าวต่อว่า การออกมาตรการฉุกเฉิน เช่น ไม่ให้ออกจากบ้านในเวลา 21.00-03.00 น.นั้น จำเป็นหรือไม่ ไวรัสระบาดแค่เฉพาะเวลา 21.00-03.00 น.เท่านั้นหรือ ฉะนั้น เวลาจึงไม่ใช่ปัจจัยหรือเป็นปัญหาที่จะต้องควบคุม การที่ผู้ประกอบการถูกจำกัดเวลาในการทำธุรกิจทำให้ได้รับความเดือดร้อน จึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับการเยียวยา และเมื่อมีการ ประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อำนาจของรัฐมนตรีทั้งหมดจะถูกโอนไปที่นายกรัฐมนตรีคนเดียว นอกจากจะได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี กฎหมายนี้จึงมีผลกระทบที่ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินไม่ปกติ ไม่เป็นไปตามธรรมเนียม จึงไม่เห็นผลงานการทำงานของแต่ละกระทรวงเลย นี่เป็นผลกระทบจากการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

นายไพศาลกล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์อย่าคิดว่ามีอำนาจแล้วจะใช้ได้ตามใจไม่มีความรับผิดชอบ เมื่อได้มาซึ่งอำนาจในกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วก็ต้องรับผิดชอบจัดการปัญหาโควิดและการเยียวยาทั้งหลายให้ผู้ประกอบการและประชาชน นอกจากนี้ ยังมีการระบาดจากสถานบันเทิง ซึ่งจนทุกวันนี้ยังไม่มีใครรับผิดชอบ จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนหรือยังว่าพ.ร.ก. ฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสได้ถ้าหากยังมีอภิสิทธิ์ชนที่ตั้งตนเหนือกฎหมาย

นายไพศาลกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังเกิดระบบผูกขาดในการป้องกันไวรัสขึ้นนั่นคือวัคซีน ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ค่าย ค่ายหนึ่งเป็นประเทศในกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย ฯลฯ ซึ่งประเทศเหล่านี้ผลิตวัคซีนโควิด-19 โดยใช้เชื้อที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นแบบอย่างทางวิชาการในการผลิตวัคซีนจึงไม่เกิดผลข้างเคียง ซึ่งหากเราเปิดหูเปิดตามองโลกบ้างจะพบว่าวัคซีนที่ได้มาตรฐานและมีความน่าเชื่อถืออันดับที่ 1-4 คือ จีน ส่วนอันดับที่ 5-7 เป็นของรัสเซีย แต่เรากลับไปซื้อวัคซีนจากบริษัทที่ใช้เชื้อเป็นในการผลิตวัคซีน และแทนที่ประเทศไทยจะเปิดเสรีในการซื้อวัคซีนเพื่อให้โอกาสผู้ประกอบการและประชาชนในการเลือกสรรวัคซีนที่ดีมาใช้ เหตุใดรัฐจึงต้องผูกขาดวัคซีนทั้งหมด

นายไพศาลกล่าวอีกว่า ในวันนี้เราไปตกลงซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกาไว้ 62 ล้านโดส ตั้งแต่ที่อย.ยังไม่ได้ตรวจคุณภาพด้วยซ้ำหมายความว่าผลของกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ได้ก่อตั้งระบบผูกขาดในการป้องกันไวรัสขึ้นทำให้ประชาชนไม่มีเสรีในการเลือกใช้วัคซีนที่ได้มาตรฐานในโลก วิธีปฏิบัติที่เป็นสากลคือในภาวะเช่นนี้ใครสามารถนำเข้าวัคซีนได้ก็ให้นำเข้ามา แต่ประเทศผู้ผลิตนั้นจะต้องรับรองคุณภาพ ซึ่งหากนำเข้ามาโดยเสรีประชาชนผู้บริโภคจะได้รับความคุ้มครองมากกว่ารัฐ เพราะผู้นำเข้าจะต้องได้รับการรับรองจากประเทศผู้ผลิตว่าวัคซีนนี้ได้รับมาตรฐานของประเทศผู้ผลิต และเมื่อนำเข้ามาแล้วผู้นำเข้าและโรงพยาบาลที่ทำการฉีดวัคซีนมีหน้าที่รับผิดชอบต่อประชาชนผู้ใช้วัคซีนตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีสิทธิ์ที่จะเรียกค่า เสียหายได้เต็มจำนวน ซึ่งหากให้นำเข้าวัคซีนโดยเสรี ประเทศ ประชาชน และรัฐบาลจะได้ประโยชน์และจะมีวัคซีนที่เพียงพอ

นายไพศาลกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีการผูกขาดชุดตรวจ นับตั้งแต่มีการระบาด โควิด-19 เราซื้อเครื่องตรวจมาเป็น 10 ล้านชิ้น แต่ตอนนี้ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนและได้ใช้หรือไม่ ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้พระราชทานรถตรวจโควิดด้วยและยังคงใช้อยู่ในทุกวันนี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในขณะที่ชุดตรวจที่ซื้อมานั้นตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งชุดตรวจนี้นำเข้าจากประเทศจีนในราคา 200 บาทแล้วมาคิดค่าตรวจกับประชาชนถึง 800 บาท สร้างภาระให้กับประชาชน อีกทั้งการเปิดไทม์ไลน์เป็นการสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน ซึ่งการเปิดไทม์ไลน์นั้นไม่สามารถเชื่อถือได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งทุกคนที่ได้ไปสถานที่ตรงตามไทม์ไลน์นั้นก็แห่กันไปตรวจ นี่จึงเป็นการตอบสนองต่อลัทธิผูกขาดชุดตรวจ ทั้งยังมีการผูกขาดการรักษา ไม่บอกประชาชนว่าหากรักษาไปตามอาการก็สามารถหายได้ภายใน 3-8 วัน อย่าตื่นตระหนก อย่าไปซื้อยามากินเอง และบอกวิธีกักตัวในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก เพียงเท่านี้ประเทศไทยก็จะกลับสู่สถานการณ์ปกติโดยไว

นายไพศาลกล่าวอีกว่า ฉะนั้น ตนขอเรียกร้องให้นำเข้าวัคซีนและชุดตรวจโดยเสรีที่ประเทศผู้ผลิตรับรอง และนำยาค็อกเทนที่ใช้ได้ผลกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงใช้พลาสมาที่สภากาชาดไทยซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ ขอให้ประกาศชื่อยาแผนปัจจุบันและแผนไทยที่ประชาชนสามารถซื้อมากินเองได้ และยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้บ้านเมืองกลับมาสู่สถานการณ์ปกติเช่นเดิม

ยืนหน้าคุก – กลุ่มราษมัมร่วมทำกิจกรรม ยืน หยุด ขัง ด้วยการยืนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง 12 นาที เรียกร้องให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดีการเมือง ที่ด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถนนงามวงศ์วาน เมื่อวันที่ 25 เม.ย.

สำหรับกิจกรรมของกลุ่มราษฎร เวลา 17.12 น. หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถ.งามวงศ์วาน กทม. มีการจัดกิจกรรม ยืน หยุด ขัง เป็นเวลา 1 ชั่วโมง 12 นาที เคียงข้างราษมัม ไปร่วมยืนทวงความยุติธรรมให้ผู้ถูกคุมขัง เช่นเดียวกับที่หน้าศาลฎีกา สนามหลวง มีการทำกิจกรรมยืนหยุด ขัง เรียกร้องสิทธิประกันตัวของผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ด้วยเช่นกัน

ร่วมยืน – กลุ่มเสรีชนคนกาฬสินธุ์ และชมรมใจเดียวกันกาฬสินธุ์ ร่วมจัดกิจกรรม ‘ยืน หยุด ขัง’ 1 ชั่วโมง 12 นาที เรียกร้องปล่อยตัวแกนนำ ผู้ชุมนุมทางการเมืองออกจากเรือนจำ ที่ลาน หน้าศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อ 25 เม.ย.

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 17.00 น. มีกลุ่มบุคคลจำนวนกว่า 30 คน โดยใช้ชื่อกลุ่มว่าเสรีชนคนกาฬสินธุ์ และชมรมใจเดียวกันกาฬสินธุ์ รวมตัวกัน พร้อมนำพวงหรีดมาไว้อาลัย ป้ายข้อความต่างๆ และภาพวาดแกนนำมาชุมนุมกันที่บริเวณลานหน้าศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ ปล่อยตัวนายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ หัวหน้ากลุ่มการ์ดวีโว่ หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ อายัดตัวมาจาก สน.ประชาชื่น เพื่อนำตัวมาดำเนินคดี มาตรา 112 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร พ.ร.บ.คอมพ์ มาตรา 14(3) พร้อมกับส่งตัวฝากขัง โดยศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากตามข้อหามีความผิดร้ายแรง ตาม ม.112 ที่เป็นการกระทำลบหลู่สถาบันกษัตริย์, มีพฤติกรรมกระทำการเช่นนี้มาหลายครั้ง เกรงว่าจะกระทำการซ้ำอีก และเกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน พร้อมส่งตัวเข้าไปในเรือนจำ จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา

ยืนหยุดขัง – กลุ่มพลเมืองโต้กลับจัดกิจกรรมยืน หยุด ขัง 1 ชั่วโมง 12 นาที ต่อเนื่องเป็นวันที่ 33 เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังจากการทำกิจกรรมทางการเมือง บริเวณริมถนนราชดำเนินใน หน้าศาลฎีกา สนามหลวง เมื่อวันที่ 25 เม.ย.

เพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นัดชุมนุม อยู่ หยุด ขัง หน้า ศาลฎีกา ระบุว่า พวกเราจะไม่ไปไหนจนกว่าเพื่อนเราจะได้รับการประกันตัวทุกคน เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ 25 เม.ย.เป็นต้นไป จากกรณีที่การฝากขังเพื่อรอพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆของเราหลายคนนับตั้งแต่ ก.พ.เป็นต้นมา เพื่อนของเราหลายคนนั้นยังไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิด ก็นำพวกเขาไปฝากขังเสียแล้ว อันเป็นผลให้พวกเขานั้นไม่มีโอกาสในการจะต่อสู้คดีอย่างเท่าเทียมในชั้นศาล พวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงแค่ผู้ถูกกล่าวหา และยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ด้วยเหตุนี้พวกเราเองที่ไม่เห็นด้วยกับความ อยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเรา พวกเราในฐานะเพื่อนผู้ทนไม่ได้กับความอยุติธรรมดังกล่าว จะขอออกมาต่อสู้กับเพื่อนทั้งหลายที่ยังอยู่ในคุก พวกเราจะปักหลักอยู่หน้าศาลฎีกาจนกว่ากระบวนการยุติธรรมจะกลับมาอยู่ในฐานะตาชั่งที่ยุติธรรม และเป็นการรวมตัวเพื่อกดดันปล่อยเพื่อนเราออกมา

นับตั้งแต่วันนี้ 25 เม.ย. เป็นต้นไปพวกเราจะทำการปักหลักเพื่อรอให้เพื่อนเรา จนกว่าเขาจะได้รับความยุติธรรมนั้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน