ศาลห้ามยุ่งเหยิงพยาน
ให้ผู้ใหญ่บ้านกำกับดูแล
ทนายฮึ่ม-ฟ้องกลับตร.
‘แม่ชมพู่’ขอจนท.คุ้มกัน

ศาลให้ประกันตัว ‘ลุงพล’ ระหว่างสอบสวนคดี ‘น้องชมพู่’ สั่งห้ามยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านเป็น ผู้กำกับดูแลหากผิดเงื่อนไขถูกปรับ 1.8 แสน และเพิกถอนประกัน เจ้าตัวเปิดใจน้ำตาคลอสะอื้นไห้ คิดถึงน้องชมพู่ ขอให้ไปอยู่ในภพที่ดีกว่า เตรียมทำพิธีเรียกขวัญ ส่วน ‘ทนายตั้ม’ ท้าเปิดหลักฐานเด็ด ไม่ใช่แค่ ‘ดีเอ็นเอ’ ฮึ่ม ดำเนินคดีตร.ที่เซ็นชื่อในบันทึกจับกุมและออกหมายจับ ทำเกินกว่าเหตุ ทั้งที่ไปมอบตัว ด้าน ‘แม่ชมพู่’ หวั่นไม่ปลอดภัย ขอให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองด้วย รู้สึกกลัว ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองและพยาน

ได้ประกัน – ‘ลุงพล’ นายไชย์พล วิภา ผู้ต้องหาคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ พร้อม ‘ป้าแต๋น’ ภรรยา และทนายตั้ม เดินออกจากศาลจังหวัดมุกดาหาร หลังได้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 1.8 แสนบาท เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.

เมื่อเวลา 07.20 น. วันที่ 4 มิ.ย. ตำรวจ สภ.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ควบคุมตัวนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาคดีน้องชมพู่ ไปยื่นคำร้องฝากขังศาลจังหวัดมุกดาหาร ระหว่างถูกคุมตัวมาขึ้นรถมีแฟนคลับ หรือเอฟซีลุงพลที่ตามมาให้กำลังใจตะโกนให้ลุงพลสู้ๆ ขณะที่ลุงพลชูสองนิ้วและพยักหน้า

สำหรับคำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2563 ช่วงเวลา 09.00-09.45 น. ผู้ต้องหาพาตัวน้องชมพู่ เด็กหญิงอายุ 3 ปี 2 เดือน ลูกสาวของนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา และนายอนามัย วงศ์ศรีชา ไปในขณะเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 73 หมู่ 2 ต.กกตูม โดยปราศจากเหตุอันสมควร จากนั้นนำน้องชมพู่ไปซุกซ่อน และทอดทิ้งไว้ที่ป่าท้ายหมู่บ้านอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม ทางขึ้นเขาภูเหล็กไฟเพียงลำพังโดยปราศจากผู้ดูแล แล้วไปทำธุระรับส่งพระ หลังเกิดเหตุชาวบ้านช่วยกันออกติดตามหาตัวน้องชมพู่ แต่ไม่พบตัว

คำร้องฝากขังระบุว่าภายหลังเมื่อผู้ต้องหาเสร็จธุระส่งพระ จึงย้อนกลับมานำตัวน้องชมพู่ซึ่งยังไม่เสียชีวิตและพยายามเดินหาทางกลับบ้านขึ้นไปซุกซ่อน และปล่อยทอดทิ้งไว้บนเขาภูเหล็กไฟเพียงลำพังอีกครั้ง ให้พ้นไปเสียจากตนโดยปราศจากผู้ดูแลเป็นเหตุให้น้องชมพู่ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เพราะเป็นเด็กมีอายุเพียง 3 ปี 2 เดือน ไม่สามารถออกจากบริเวณเขาภูเหล็กไฟที่ถูกปล่อยทอดทิ้งไว้ได้ จนกระทั่งหมดแรงและเสียชีวิตบนเขาภูเหล็กไฟในเวลาต่อมา

จากนั้นผู้ต้องหาเข้าไปกระทำการแก่ศพน้องชมพู่ และสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ โดยถอดเสื้อผ้าจัดท่าทางของศพ เพื่อให้เข้าใจว่ามีการประทุษร้ายทางเพศ และใช้ของแข็งมีคมตัดสับฟันไปที่เส้นผมของเด็ก เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ อันเป็นการกระทำการแก่ศพ และสภาพแวดล้อมบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป โดยได้พบศพอยู่บน เขาภูเหล็กไฟชั้นที่ 5 ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านกกกอกไปประมาณ 1.3 กิโลเมตร ในวันที่ 14 พ.ค.2563 เวลาประมาณ 19.00 น.

ต่อมาตำรวจจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดมุกดาหาร นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา และพฤติการณ์แห่งการ กระทำความผิดให้ผู้ต้องหาทราบ ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 306 มาตรา 308 และมาตรา 317 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 ทวิมีอายุความดำเนินคดี 15 ปี

พนักงานสอบสวนรับตัวผู้ต้องหาไว้ดำเนินคดีเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. สอบสวนและควบคุมตัวผู้ต้องหามาโดยตลอดจะครบ 48 ชั่วโมง ในวันที่ 4 มิ.ย. แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนพยานเพิ่มเติมในคดีอีก 15 ปาก รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขออนุญาตฝากขังผู้ต้องหาครั้งเเรกเป็นเวลา 12 วัน เนื่องจากคดีนี้มีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวไปเกรงผู้ต้องหาจะหลบหนี และไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายประการอื่น จึงขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา

ด้านนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ ลุงพล กล่าวว่าทำเรื่องขอยื่นประกันตัว โดยให้เหตุผลต่อศาลว่าลุงพลไม่มีพฤติการณ์หลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติการณ์ข่มขู่ หากแม่น้องชมพู่คัดค้านประกัน ก็จะเบิกพยานมาไต่สวนเพื่อให้ศาลเห็นว่าลุงพลไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง พร้อมยินดีใส่กำลังอิเล็กทรอนิกส์ข้อเท้า โดยเตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 500,000 บาท และโฉนดที่ดินของแฟนคลับลุงพล มูลค่าเกือบ 2,000,000 บาท

ต่อข้อถามถึงกรณีการให้สัมภาษณ์ของทนาย อาจเข้าข่ายยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน นายษิทรากล่าวว่า ไม่จริง และที่ตำรวจบอกว่ามีหลักฐานเด็ดนั้น ก็ขอให้นำออกมา เพราะก่อนหน้านี้ตำรวจก็บอกว่ามีหลักฐานเด็ด แต่เปิดมาเป็นดีเอ็นเอ พอแย้งไปก็ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน

ต่อมาศาลพิเคราะห์คำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน คำร้องคัดค้านปล่อยตัวชั่วคราวของพนักงานสอบสวนและของผู้เสียหายแล้ว เห็นควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาระหว่างสอบสวน หากผิดสัญญาปรับ 180,000 บาท กำหนดเงื่อนไขห้ามหลบหนี ข่มขู่หรือยุ่งเหยิงกับพยาน หลักฐาน ก่อเหตุอันตรายประการอื่น ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และให้แต่งตั้งให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านกกตูม เป็นผู้กำกับดูแลผู้ต้องหา เพื่อให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดโดยเคร่งครัด หากผิดข้อกำหนดเงื่อนไข ศาลจะพิจารณาสั่งเพิกถอนปล่อยชั่วคราว หรือ มีคำสั่งตามที่เห็นสมควร

แม่น้องชมพู่ – นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ เปิดใจกังวลความปลอดภัยของครอบครัว หลังศาลให้ประกันตัว ‘ลุงพล’ ผู้ต้องหาคดีการเสียชีวิตของลูกสาว โดยร้องขอตำรวจช่วยดูแลความปลอดภัยด้วย เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.

ขณะที่นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ กล่าวภายหลังศาลให้ประกันลุงพลว่า รู้สึกกลัว ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับตนและพยาน ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น อยากขอให้เจ้าหน้าที่มาช่วยดูแลความปลอดภัย จะใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิม แต่ต้องระวังมากขึ้น ทุกคนต้องการความคุ้มครอง ยืนยันเรื่องจะสู้ต่อไป

ต่อมาเวลา 18.20 น. นายษิทรา ทนายความ พร้อมด้วยลุงพล และนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น ภรรยาลุงพล เดินออกจากอาคารศาล มีแฟนคลับมอบช่อดอกไม้เป็นกำลังใจให้ลุงพลด้วย จากนั้นนายษิทราให้สัมภาษณ์ว่าตำรวจและแม่น้องชมพู่ยื่นคัดค้านประกันตัว โดยฝ่ายผู้คัดค้านมีพยาน 3 ปาก คือแม่น้องชมพู่ ตำรวจ และชาวบ้าน โดยเบิกความยืนยันไม่เคยข่มขู่กันมาก่อน ส่วนตำรวจเบิกความว่าลุงพลไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายษิทรากล่าวว่าขณะที่ตนยืนยันลุงพลไม่มีพฤติกรรมหลบหนี เพราะทราบว่าออกหมายจับวันที่ 2 มิ.ย. ดังนั้นการที่ยื่นคำร้องต่อศาลว่าลุงพลหลบหนี จึงเป็นความเท็จ หลังจากนี้จะดำเนินคดีกับตำรวจที่ขอหมายจับ เพราะถือว่าคำร้องเป็นเท็จ ที่ระบุว่าลุงพลจะหลบหนี และไปยุ่งกับพยานหลักฐาน โดยดำเนินการเฉพาะตำรวจที่เซ็นชื่อในบันทึกจับกุมและออกหมายจับ เพราะกระทำเกินความจำเป็น ให้ข่าวว่าเป็นการจับกุม ทั้งที่เราไปมอบตัว

“วันอังคารหน้า ลุงพลและป้าแต๋นจะไปพบคณะกรรมาธิการที่รัฐสภา เพื่อให้ข้อมูลประเด็นถูกออกหมายจับ และควบคุมลุงพลที่สำนักงานแห่งชาติ ทั้งที่เรายินดีไปมอบตัว แต่กลับใส่กุญแจมือ” ทนายลุงพลกล่าว

ต่อข้อถามถึงรายละเอียดในสำนวนที่ระบุลุงพลพาน้องชมพู่ไปซ่อน ก่อนพาขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ ทนายลุงพลกล่าวว่าอ่านพฤติกรรมในสำนวนตำรวจแล้ว ยืนยันไม่ใช่เรื่องจริง

ขณะที่ลุงพลกล่าวว่าขอบคุณศาล จะสู้ทุกอย่างตามกระบวนการ บอกได้คำเดียวว่าดีใจที่มีโอกาสได้ออกมาต่อสู้คดี ศาลมีความยุติธรรมมาก ต้องขอบคุณ ตนไม่มีพฤติกรรมหลบหนี มีพฤติกรรมธรรมดา ทุกอย่างธรรมดา มียูทูบเบอร์มาไลฟ์สดถ่ายทอดกันตลอด เป็นพฤติกรรมเปิดเผย

ผู้สื่อข่าวถามถึงความรู้สึกที่ต้องกลายเป็นผู้ต้องหา ลุงพลนิ่งไปสักพักและน้ำตาคลอ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “มันก็เหมือนบทเพลงที่ผมร้อง คิดถึงอยู่เสมอ”

 

ต่อข้อถามถึงสาเหตุที่ร้องเพลงในห้องขังโรงพักเมื่อคืน ผู้ต้องหาคดีน้องชมพู่กล่าวว่า รู้สึกคิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่เกิดขึ้น เลยร้องเพลงออกมา คิดถึงน้องชมพู่ ขอให้น้องไปอยู่ในภพที่ดีกว่า จากนี้เตรียมไปทำพิธีเรียกขวัญตามความเชื่อของชาวภูไทต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้เจอกับแม่น้องชมพู่หรือไม่ ลุงพลกล่าวว่าเจอ แต่ไม่ได้พูดอะไรกัน เรายังหวังดีกับญาติเหมือนเดิม นับจากวินาทีนี้คือให้อภัยทุกคน แต่จะกลับมาเหมือนเดิมต้องใช้เวลา

จากนั้นเวลา 20.00 น. ลุงพลและป้าแต๋นเดินทางกลับถึงบ้านกกกอก ต.กกตูม โดยทันทีที่ลงจากรถลุงพลจุดธูปสักการะพ่อปู่ยศสุวรรณนาคา ที่ลานพญานาคข้างบ้าน ท่ามกลางบรรดาแฟนคลับและยูทูบเบอร์ต่างสวมกอดแสดงความยินดี ก่อนลุงพลทำพิธีกรรมข้ามไฟ เชื่อว่าเป็นการปัดเป่าขจัดสิ่งชั่วร้าย จากนั้นพ่อแม่ลุงพลราดน้ำลงบนตัวลูกชาย และทั้งหมดก็เดินเข้าบ้านไป เพื่อทำพิธีรับขวัญ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน