ฝ่ายค้านอัดรบ.
ตุกติกแก้รธน.

ภท.-ปชป.-ชทพ. นัดถกแก้รธน.ก่อนยื่นสภาในนาม 3 พรรคร่วมรัฐบาล พปชร.โอดถูกกล่าวหามาตลอดไม่จริงใจ ก้าวไกลเตือนเพื่อนส.ส. อย่าหลงเกมพลังประชารัฐ ชี้ชงแก้รธน.แค่ ปะผุฉบับคสช. หวังต่ออายุให้ ‘บิ๊กตู่’ เพื่อไทยหวั่นรัฐบาลล้มกระดานอีก ท้ากองทัพเรือทำโพลถามชาวบ้านต้องการให้ซื้อเรือดำน้ำ หรือไม่ อัดนายกฯ สอบตกแจงพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านในสภา จี้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ป.ป.ช.สั่งทุกจังหวัดตรวจสอบเสาไฟฉาว

พปชร.เมินเพื่อไทยค้านถกใหญ่

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ว่า การเตรียมความพร้อมจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคพลังประชารัฐวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ที่จ.ขอนแก่น ตนได้ประสานขออนุญาตและประชุมร่วมกับจังหวัดและสาธารณสุขจังหวัดเรียบร้อยแล้ว โดยการประชุมเป็นไปตามมาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กำหนดในการป้องกันแพร่ระบาดโควิด-19 และรับผิดชอบในเตรียมความพร้อมสถานที่จัดงาน การคมนาคม การเดินทาง ที่พัก ส่วนรายละเอียดอื่นๆ กรรมการบริหารพรรค เป็นผู้ดำเนินการ

ส่วนที่พรรคเพื่อไทย (พท.) คัดค้านการประชุม เนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ ทางพรรคได้จัดประชุมที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น สามารถรองรับคนได้เป็นหมื่นคน และการประชุมครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมเพียง 350-400 คน มีกำหนดระยะห่างเกินมาตรฐานที่ศบค. กำหนด และยังมีความเข้มงวดมาตรการป้องกันด้านสาธารณสุข อาจพอๆ กับมาตรการการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ยันไม่เกี่ยวเตรียมเลือกตั้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การประชุมพรรคครั้งนี้จะเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคชุดใหม่เพื่อรองรับการเลือกตั้งหรือไม่ นายเอกราชกล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะรับผิดชอบเพียงเรื่องพื้นที่จัดงานให้เป็นไปตามที่ศบค.กำหนด ยังไม่มีสัญญาณให้เตรียมพร้อมเลือกตั้ง แต่ถ้ามีปรับโครงสร้างพรรคใหม่เป็นการเปลี่ยนตามระบบของพรรคการเมือง ที่จะขับเคลื่อน แต่ไม่ได้มีสัญญาณว่าเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อการเลือกตั้งภายในกรอบเวลา 1 ปีหรืออะไร

“จากที่ได้สอบถามผู้ใหญ่ทุกคน ต่างบอกว่ารัฐบาลอยู่ครบเทอม แต่ถึงแม้ยังไม่มีสัญญาณเลือกตั้ง เราก็เตรียมพร้อมไว้ตลอดและลงพื้นที่ต่อเนื่อง ถ้าวันนี้จะมีการเลือกตั้งใหม่เราก็พร้อม ฉะนั้นตรงนี้คงไม่ต้องส่งสัญญาณอะไรมา ถ้าจะมีการเลือกตั้งภายใน 60 วัน พรรคก็พร้อมอยู่ตลอด ผู้สมัครทุกคนเราทำงานการเมืองในพื้นที่มาทุกปี ไม่ใช่เริ่มมาทำในช่วงที่จะมีการเตรียมการเลือกตั้งโดยรอบนี้ถือว่ามีความพร้อมมาก” นายเอกราชกล่าว

‘วิรัช’ปัดขนสมาชิกโคราชร่วมวง

นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ว่า ตนจะเข้าร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับหนังสือเชิญอย่างเป็นทางการ เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน จ.นครราชสีมา

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่สมาชิกส่วนใหญ่ที่จะเข้าร่วมประชุมเดินทางมาจากจ.นครราชสีมา ได้อำนวยความสะดวกให้สมาชิกดังกล่าวเดินทางมาเข้าร่วมประชุมหรือไม่ นายวิรัชกล่าวว่า ไม่ทราบ โคราชมีตั้ง 7 เขต วันนี้ยังตอบไม่ได้เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน ต่อข้อถามว่าทางสมาชิกได้พูดคุยถึงเรื่องการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคหรือไม่ นายวิรัชกล่าวว่า ไม่รู้จริงๆ ยังไม่ได้คุยกัน

เมื่อถามว่ายืนยันว่าจะประชุมรัฐสภาใน วันที่ 22-23 มิ.ย.เพื่อพิจารณาญัตติแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ใช่หรือไม่ นายวิรัช กล่าวว่า เรื่องนี้ถามไปยังวุฒิสภา รัฐบาล และฝ่ายค้าน โอเคกันหมด

‘ไพบูลย์’ยันพปชร.จริงใจแก้รธน.

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค ด้านกฎหมาย พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นวันประชุมร่วมรัฐสภาต้องรอนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นผู้กำหนด แต่เบื้องต้นน่าจะมีการประชุมในวันที่ 22-23 มิ.ย. ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ยื่นต่อประธานรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 5 ประเด็น 13 มาตรา คิดว่าน่าจะได้รับความเห็นชอบให้ผ่านตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ คือ วาระ 1 ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง

ส่วนที่มีบางพรรคไม่เห็นด้วยกับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ มองว่าเป็นสิทธิและความเห็นของสมาชิกรัฐสภา แต่ทั้งหมดเมื่อถึงกระบวนการพิจารณาลงมติแล้ว ถ้ามติเสียงของสมาชิกรัฐสภาได้ตามเงื่อนไขในวาระที่ 1 ก็ผ่าน เท่าที่ดูเชื่อว่าการแก้ไขระบบเลือกตั้งให้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ตอบสนองตรงกับความต้องการของสมาชิกรัฐสภาเสียงส่วนใหญ่ที่จะเห็นชอบ

“พรรคพลังประชารัฐมีความเป็นห่วงเพราะถูกกล่าวหาตลอดว่าไม่จริงใจหรือจริงจังในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 ประเด็น 13 มาตรา หนึ่งในนั้นคือบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อแสดงให้เห็นถึงตั้งใจและจริงใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นายไพบูลย์กล่าว

3 พรรครัฐบาลนัดถกก่อนยื่นญัตติ

ที่เขตบางเขน กรุงเทพฯ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้รัฐธรรมนูญในส่วนของพรรคว่า พรรคยืนยันแนวทางในการ ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป โดยประเด็นสำคัญที่ได้ยกร่างเรียบร้อยแล้วมี 6 ประเด็น ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว และพรรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีเพิ่ม 1 ประเด็น ในสัปดาห์นี้พรรคประชาธิปัตย์จะได้หารือร่วมกันระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เพื่อร่วมกันพิจารณาว่าควรมีการปรับปรุงแก้ไขตรงไหนบ้าง ก่อนที่จะยื่นต่อประธานรัฐสภาในนามของพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคต่อไป

หากพรรคพลังประชารัฐจะเข้าร่วมด้วยก็ยินดีให้เข้าร่วม ส่วนจะมีพรรคการเมืองใดเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในแต่ละประเด็นนั้นก็เป็นเรื่องที่แต่ละพรรคการเมืองจะเป็น ผู้พิจารณา พรรคประชาธิปัตย์มีหลักในการพิจารณาว่าจะสนับสนุนร่างไหนหรือไม่ เป็นที่ชัดเจนว่าร่างนั้นจะต้องนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น ไม่ใช่แก้แล้วถอยหลังเข้าคลอง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่สนับสนุน

ก.ก.กระตุกอย่าหลงเกมพปชร.

ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงว่าพรรคก้าวไกลเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของพรรคพลังประชารัฐคือการต่ออายุระบอบ คสช. ที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐได้เตะถ่วงและขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และการแก้ไขประเด็นอื่นๆ ทั้งที่เสนอโดยส.ส.และประชาชนมาโดยตลอด ทว่าปัจจุบันกลับมาแสดงบทบาทนำในการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราเสียเอง

พรรคก้าวไกลจึงมีความเห็นดังนี้ 1.การเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของพรรคพลังประชารัฐ แม้จะมีเนื้อหาปลีกย่อยบางส่วนดูเหมือนจะดี เช่น การแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเพียงการทำให้เกิดความสับสน ปะผุให้แก่รัฐธรรมนูญฉบับคสช.

2.เป้าหมายที่แท้จริงมีเพียงมี 2 ประการ คือประการแรกแก้ไขระบบเลือกตั้ง ซึ่งคสช.เชื่อมั่นว่าจะเป็นขนมล่อให้นักเลือกตั้งสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ และหากเปลี่ยนไปใช้ระบบการเลือกตั้งแบบคู่ขนานได้ดี โดยมีส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 400 คน และลดส.ส.บัญชีรายชื่อลงเหลือ 100 คน จะทำให้พรรคพลังประชารัฐได้เปรียบในการเลือกตั้ง

ประการที่สอง คือการเสนอแก้บทบัญญัติมาตรา 144 การเสนอบทบัญญัติมาตรา 185 โดยยกเลิกเนื้อหาความรับผิดชอบของส.ส.และส.ว.ที่พยายามแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขรายการพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย

3.การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐ มีเป้าหมายที่แท้จริงอยู่ที่การเบี่ยงเบนประเด็นออกจากการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ยกเลิกอำนาจส.ว.ในการเลือกนายกฯ และเปิดช่องให้ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเข้าไปเบียดบังนำงบประมาณของประเทศมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองได้นั้น จึงเป็นเพียงการต่ออายุให้แก่ระบอบคสช.

หลอกปชช.-ต่ออายุให้‘บิ๊กตู่’

นายชัยธวัชกล่าวว่า ตอนนี้มีกระแสข่าวว่าอาจมีการเสนอให้ประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 22 มิ.ย. หรือวันที่ 29 มิ.ย.เป็นการประชุมวาระพิเศษ โดยยกวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาพิจารณาก่อน แทนที่จะพิจารณาวาระที่ค้างอยู่คือร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งจะต้องมาก่อนการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา หากพรรคการเมืองฝ่ายไหนก็แล้วแต่ไปยอมตกลงที่จะเปลี่ยนวาระการประชุมถือว่าเป็นการสมคบคิดเพื่อหลอกลวงประชาชน พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีการประชุมกันในวันที่ 14 มิ.ย. พรรคก้าวไกลจะนำเรื่องดังกล่าวนี้เข้าสู่ที่ประชุมด้วย

ส่วนการแก้ไขในรายมาตรา พรรค ก้าวไกลขอให้มุ่งเน้นไปสู่การปิดสวิตช์ส.ว. ยกเลิกอำนาจส.ว.ในการเลือกนายกฯ เป็นอันดับแรก การไปร่วมเล่นเกมที่ส.ส.พรรคพลังประชารัฐนำมาล่อโดยไม่สามารถยกเลิกอำนาจของส.ว.ในการเลือกนายกฯ ย่อมมีความหมายเพียงการต่ออายุพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น

พท.ยก 5 ข้อ-แก้มีคุณภาพ

นายนพดล ปัทมะ ประธานคณะกรรมการนโยบายและวิชาการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า นอกจากเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว เราต้องหาทางออกให้ประเทศที่ยั่งยืนด้วยการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆ จะเสนอร่างรัฐธรรมนูญต่อสภาในเร็วๆ นี้ โดยพรรคเพื่อไทยจะเสนอหลายประเด็น ซึ่งสองประเด็นสำคัญคือแก้ไขระบบเลือกตั้งกลับไปใช้บัตร 2 ใบ และการแก้ไขตัดอำนาจ ส.ว.และให้สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้เห็นชอบตัวนายกฯ ซึ่งแนวทางนี้มีหลายพรรคเห็นด้วย ส่วนการแก้จะสำเร็จหรือไม่คงต้องรอดูการพิจารณาของรัฐสภา

ตนมี 5 เหตุผลที่ควรเสนอแก้ 2 ประเด็นข้างต้นคือ 1.การเลือกตั้งบัตร 2 ใบทำให้ประชาชนมีตัวเลือกว่าจะเลือกพรรคและเลือกตัวคน ไม่ต้องถูกบีบให้กาใบเดียว ทำให้สะท้อนเจตจำนงของประชาชนได้ตรงจุด 2.การใช้บัตร 2 ใบไม่ได้เอื้อให้พรรคใด ทุกพรรคมีสิทธิแข่งขันเท่าเทียม 3.การแก้ให้ ส.ส. เป็นผู้ให้ความเห็นชอบตัวนายกฯ เพราะประชาชนเป็นผู้เลือก ส.ส. เคารพหลักการ 1 คน 1 เสียงหรือ วัน แมน วัน โหวต ทำให้ทุกพรรคแข่งขันทางการเมืองและเข้าสู่อำนาจอย่างเท่าเทียม

4.เราเรียกร้องความรักความสามัคคีในหมู่คนไทย แต่กติกาที่ไม่เป็นธรรมในบางเรื่อง เป็นอุปสรรคในการสร้างความเป็นธรรมและความปรองดอง 5.การแก้ข้างต้นจะทำให้มีฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง การเมืองมีเสถียรภาพ มีประสิทธิภาพแก้ปัญหาต่างๆ ให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีมากขึ้น ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญควรแก้ให้มีคุณภาพ มีมาตรฐานและมีความเป็นประชาธิปไตยให้มากขึ้น

‘ยุทธพงศ์’เชื่อรบ.หวังล้มอีก

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะยื่นแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับตามมาตรา 256 ที่เคยทำเหมือนเมื่อปีที่แล้ว โดยไม่แตะหมวด 1 และ 2 และการแก้รายมาตรา เช่น สิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยในหมวดที่ 3 แก้บัตรเลือกตั้งสองใบ แก้มาตรา 272 ปิดสวิตช์ ส.ว.เลือกนายกฯ เป็นต้น ส่วนรายละเอียดทั้งหมด ผู้นำฝ่ายค้านและเลขาธิการจะมีการประชุมร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านและแถลงอีกครั้ง

เรายืนยันมุ่งมั่นแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ขณะที่รัฐบาลมีท่าทีไม่จริงใจแก้รัฐธรรมนูญ ตอนนี้มีร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติค้างอยู่ในสภา ปรากฏว่าท่าทีของวิปรัฐบาลบอกว่าวันที่ 22 มิ.ย.ที่จะมีการประชุมร่วมรัฐสภา จะเอาเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาก่อน ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญได้ต้องไปทำประชามติก่อน แต่กลับไม่พิจารณา พ.ร.บ.ประชามติที่ยังค้างอยู่ก่อน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจะใช้เทคนิคเหมือนคราวที่แล้วทำให้เรื่องล้มไปอีก

ส่วนกระแสข่าวยุบสภานั้น โดยไม่แก้รัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยพร้อมสำหรับการเลือกตั้งและมั่นใจว่าได้ ส.ส.เพิ่มมากขึ้น

ถามม้าตอบช้าง – นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พร้อมด้วยนายจิรพงษ์ ทรงวัชรภารณ์ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย แถลงวิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้เทคนิคถามม้าตอบช้าง เลี่ยงตอบกรณีพ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.

ท้าทัพเรือทำโพลซื้อเรือดำน้ำ

นายยุทธพงศ์ ในฐานะโฆษคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 กล่าวถึงความคืบหน้าของการพิจารณา ว่า กมธ.เริ่มประชุมเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. เริ่มจากภาพรวมเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะพิจารณาตั้ง อนุกมธ.รวม 8 คณะในวันที่ 16 มิ.ย. และสัปดาห์นี้จะพิจารณางบของกระทรวงการคลังต่อ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ก่อนหน้านี้กองทัพเรือ (ทร.) ได้เปิดเพจเรือดำน้ำทางเฟซบุ๊ก “เรือดำน้ำไทย Thai Submarine” โดยยอมรับว่าตั้งงบซื้อเรือดำน้ำใหม่ 2 ลำ จำนวน 22,500 ล้านบาท อยู่ในงบปี 2565 อ้างว่ามีความจำเป็น เพราะเคยมีเรือดำน้ำประจำการมาก่อนตั้งแต่ปี 2481 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาถึงตอนนี้มีความจำเป็นเพราะเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ทางทะเล แต่ตอนนี้มีวิกฤตเศรษฐกิจ คนอดอยาก และการแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้เราไม่มีเงินจะซื้อ ต้องไปกู้เงินมา โดยปี 2565 กู้ 7 แสนล้านบาท และสัปดาห์ที่ผ่านมากู้อีก 5 แสนล้านบาท ถามว่าเรือดำน้ำสำคัญอย่างไรกว่าปากท้องและวัคซีนประชาชน

“หากกองทัพเรือมั่นใจว่าเรือดำน้ำเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน ขอท้าให้กองทัพเรือทำโพลสอบถามประชาชน ว่าในภาวะเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ที่จะซื้อเรือดำน้ำใหม่อีก 2 ลำ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมีปัญหาว่ากมธ.คัดค้านหรือมีอคติกับกองทัพเรือ แต่วันนี้ประเทศไม่มีงบประมาณ เป็นความเดือดร้อนของประชาชน อีสานบ้านตนตอนนี้วัวยังติดเชื้อ ไม่มีเงินช่วยเขาเลย ดังนั้นกู้เงินมาแล้วก็ต้องเอามาช่วยประชาชนก่อน” นายยุทธพงศ์กล่าว

อัดนายกฯสอบตกแจงเงินกู้

นายยุทธพงศ์กล่าวว่า ส่วนการอภิปรายพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท ที่ผ่านการอภิปรายของสภาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบไม่ตรงคำถาม ใช้เทคนิคถามม้า ตอบช้าง ไม่ตอบสาระสำคัญ

พรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายว่าเหมือนตีเช็คเปล่าให้นายกฯ 5 แสนล้าน โดยไม่มีรายละเอียดการใช้เงิน มีเนื้อหาเพียง 3 บรรทัดว่า เพื่อแก้ไขเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19 ใช้ในการแพทย์และสาธารณสุข 3 หมื่นล้านบาท ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและเกษตรกร 3 แสนล้านบาท และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 1.7 แสนล้านบาท ขณะที่เงินกู้เก่า 1 ล้านล้านบาท ก็ยังเหลืออยู่ 2.9 แสนล้านบาท

ดังนั้น ที่ฝ่ายค้านเสนอให้ออก พ.ร.บ.งบกลางปีเพื่อให้ตรวจสอบการใช้งบได้ ก็ไม่ยอมทำ ตอนนายกฯ มาถึงสภา ก็ไม่ตอบคำถาม แถมมาก็ยังมาพูดข่มขู่ว่าพวกพูดข้างนอกให้ระวัง ตนถือว่าสอบตกเพราะชี้เแจงไม่ได้เลย ส่วนที่บอกว่าไม่โง่หรอกที่จะกู้ถึง 60% ก็ไม่อธิบาย ไปพูดสำนวนโวหาร สรุปไม่ตอบคำถามเรื่องวัคซีนเลย ไม่ตอบว่าจะเอาเงินกู้ไปทำอะไร

ตอบผิดปัญหาใหญ่ 4 ข้อ

นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ ตอบการอภิปรายเรื่องพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ในสภา พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจผิด 4 ประเด็นที่จะเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศในอนาคต ดังนี้ 1.พล.อ.ประยุทธ์สร้างหนี้ให้ประเทศจำนวนมาก แต่ประเทศไม่ได้พัฒนา กู้เงินเพื่อมาแจกอย่างเดียว จนหลายฝ่ายเกรงว่าจะทำให้ประเทศล่มสลายได้ และหนี้สาธารณะจะพุ่งเกินกว่า 60% อย่างแน่นอน วันไหนที่หนี้สาธารณะเกิน 60% ของจีดีพี ประชาชนเข้าใจได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์แสดงความโง่ตามคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์เอง ยิ่งทำให้ความมั่นใจของประเทศลดต่ำลงจากการมีผู้นำที่โง่

2.ที่พล.อ.ประยุทธ์อ้างว่ากำลังสร้างเศรษฐกิจใหม่ อยากให้มองย้อนหลังตลอด 7 ปี ล้มเหลว เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมาก มีแต่บริษัทเจ๊งและเลิกกิจการจำนวนมาก

แนะอ่านสื่อนอกชี้บริหารศก.ดิ่ง

3.ที่พล.อ.ประยุทธ์ถาม ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาเรื่องอนาคตว่ารู้จักไหม พล.อ.ประยุทธ์ต้องถามตัวเองมากกว่า ว่าอะไรที่เป็นอนาคตของประเทศไทย และทำไมคนหนุ่มสาวและคนฉลาดคนเก่งจำนวนมากถึงอยากย้ายออกไปอยู่ประเทศอื่นเป็นล้านคนแล้ว

4.ที่พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าไม่เคยโกหก น่าจะเป็นเรื่องโกหกครั้งใหญ่ หากจำกันได้พล.อ.ประยุทธ์โกหกมาตลอดตั้งแต่ก่อนจะมีการปฏิวัติ พล.อ.ประยุทธ์เคยยืนยันว่าจะไม่ปฏิวัติ บอกขอเวลาไม่นานแต่ใช้เวลากว่า 5 ปีกว่าจะมีเลือกตั้ง นอกจากจะโกหกเองแล้วยังปล่อยให้พรรคพวกโกหกด้วย จากคำพูด เช่น มันคือแป้ง นาฬิกายืมเพื่อน ไม่ได้ไปเที่ยวผับทองหล่อ

“อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ไปอ่านบทความ “Thailand’s long descent into economic darkness” ในสื่อหลักของญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชีย ที่ระบุชัดเจนถึงความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยดำดิ่งสู่ความมืดมิด ไม่เห็นแสงสว่างในปลายถ้ำ ขณะที่ทั้งโลกเห็นแสงสว่างกันแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่รู้ตัวจะยิ่งทำให้อนาคตของประเทศไทยมืดมิดมากขึ้น” นายกฤษฎากล่าว

จี้ยุบสภาให้ปชช.ตัดสินใจ

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศปูพรมฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติว่า สถานการณ์เป็นแบบเดียวกับประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ทำงานแบบไม่ฉุกเฉิน ประกาศให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ แต่ปูพรมฉีดได้วันเดียว รุ่งขึ้นอีกวันต้องเก็บพรมเพราะวัคซีนหมด คนไทยได้ฉีดวัคซีนแค่ 5-6 เปอร์เซ็นต์ จากที่ประกาศตั้งเป้าจะเร่งฉีดให้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ของประชากร 65 ล้านคน ถึงวันนี้พล.อ.ประยุทธ์สารภาพแล้วว่าการเป็นนายกฯ ไม่ใช่งานง่าย โดยเฉพาะสถานการณ์วิกฤตจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 จนต้องเอ่ยปาก ขอโทษประชาชน 2-3 รอบ

“ถ้าพล.อ.ประยุทธ์จะรอยุบสภาเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นคงต้องรออีกนาน เพราะการแก้วิกฤตไม่ใช่แค่ฉีดวัคซีนได้ 70 เปอร์เซ็นต์ แล้วปัญหาจะจบ ยังมีโจทย์หินงานยากฟื้นฟูเศรษฐกิจรออยู่ ประชาชนเดือดร้อนกัน ถ้วนหน้า แต่รัฐบาลเยียวยาแบบชิงโชค พล.อ.ประยุทธ์อาจเข้าใจผิดว่าที่อยู่มาได้ 7 ปีเพราะอดทนสูง จะหวานอมขมกลืนแค่ไหน ก็ทู่ซี้สืบทอดอำนาจต่อไปเรื่อยๆ ไม่ไหวก็ลาออก ถ้ามั่นใจว่าจะได้กลับมา ก็รีบยุบสภาเลือกตั้งใหม่ให้ประชาชนตัดสินใจ” นายอนุสรณ์กล่าว

ป.ป.ช.แถลงคืบหน้า 15 คดีสำคัญ

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 14 มิ.ย. สำนักงาน ป.ป.ช. จัดกิจกรรมผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ช. พบสื่อมวลชน ที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ พร้อมกับมีการรายงานความคืบหน้า 15 คดีสำคัญ ได้แก่ คดีการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยปี 2556, คดีการปราศรัยของกลุ่ม นปช. ปี 2557, คดีทุจริตในการสร้างฝายแม้ว, คดีการอนุญาตเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการเหมืองแร่ทองคำชาตรีเหนือ, คดีทุจริตการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ภาคสอง, คดีทุจริตการซื้อขายมันสำปะหลังแบบรัฐต่อรัฐ, คดีทุจริตเงินทอนวัด

คดีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 และอัลฟ่าหก ,คดีทุจริตสร้างสนามกีฬาฟุตซอล ,คดีทุจริตในการจัดหาที่ดินเพื่อปลูกปาล์มและผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศอินโดนีเซีย ,คดีทุจริตในการซื้อขายเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินโบอิ้ง ของบริษัทการบินไทย ,คดีทุจริตในการออกโฉนดที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขารวก-ป่าเขาเมือง ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ, คดีทุจริตในการออกโฉนดที่ดิน ต.เขากะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด และคดีทุจริตในการออกโฉนดที่ดินทับซ้อนเขาเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเตียน และป่าเขื่อนลั่น อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา

สั่งตรวจสอบเสาไฟประติมากรรม

นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการเรียกร้องให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ในการจัดทำโครงการจัดซื้อเสาไฟฟ้ารูปประติมากรรมกินรี และการสร้างเสาไฟประติมากรรมในจังหวัดอื่นๆ ที่มีลักษณะเดียวกันว่า เมื่อมีข่าวหรือมีข้อมูลปรากฏออกมาเช่นนี้ จึงได้กำชับให้ ป.ป.ช.จังหวัดแต่ละจังหวัดลงไปตรวจสอบ

ส่วนที่ อบต.ราชาเทวะ ได้สั่งการไปแล้วเช่นกัน ทราบว่า ป.ป.ช.จังหวัดได้ลงพื้นที่ไปแล้ว ส่วน ป.ป.ช.จังหวัดอื่นๆ ที่มีการก่อสร้างเสาไฟประติมากรรมในลักษณะเดียวกัน ได้กำชับให้เข้าไปตรวจสอบเช่นกันว่าเคยมีการร้องเรียนเข้ามาหรือไม่ มีข้อผิดปกติหรือไม่ และเข้าไปตรวจสอบเบื้องต้นก่อนที่จะรวบรวมข้อมูล หลักฐาน แล้วตั้งเรื่องขึ้นมาพิจารณาหากเห็นสมควร “ไม่ว่าจังหวัดไหนที่มีข่าวออกมา ขอให้ ป.ป.ช.จังหวัดเข้าไปตรวจสอบให้หมด โดยที่ผ่านมา ป.ป.ช.แต่ละจังหวัดได้เข้าไปตรวจสอบเรื่องต่างๆ อยู่แล้ว

ยธ.ดันกม.เจเอสโอซีในรบ.นี้

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม(ยธ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการของศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน (JSOC) ว่า ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายเร่งจัดทำร่างกฎหมาย JSOC เพื่อรองรับกลไกการทำงานของศูนย์ให้มีระบบ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะใช้รูปแบบของกฎหมายประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐ แล้วนำมาปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย ด้วยแนวคิดที่ว่าถ้าหากสังคมรู้ว่าคนร้ายอยู่ในสังคม สังคมจะปลอดภัย

การดำเนินการของศูนย์ JSOC จะติดตามกลุ่มผู้ต้องขังที่พ้นโทษโดยอยู่ใน 7 กลุ่มความผิดร้ายแรงและเป็นที่หวาดกลัวของสังคม คือ ฆ่าข่มขืน ฆ่าข่มขืนเด็ก ฆาตรกรโรคจิต ฆาตรกรต่อเนื่อง ปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ ฆ่าสังหารหมู่ และนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ รวมถึงผู้ต้องขังใหม่ที่อยู่ในข่ายต้องเฝ้าระวัง โดยตัวร่างกฎหมายฉบับนี้ได้เร่งให้ร่างให้เสร็จภายในเดือนมิ.ย.นี้ และเร่งส่งให้ครม.และรัฐสภาพิจารณาออกเป็นกฎหมายให้ได้ในรัฐบาลชุดนี้

“กฎหมาย 1 ฉบับใช้ระยะเวลาในการจัดทำถึง 1 ปีกว่า ซึ่งผมคิดว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นฉบับสุดท้ายที่จะทำในวาระนี้ โดยเมื่อร่างกฎหมายเสร็จจะต้องเร่งทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และชี้แจงกับประชาชนถึงประโยชน์ของกฎหมายฉบับนี้ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งสาระสำคัญหลักคือการเฝ้าระวังและสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม” นายสมศักดิ์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน