อีกคู่สเปนฟัดโครเอเชีย
โคนมถล่มเวลส์ขาด4-0
‘อิตาลี’หืดจับถึงต่อเวลา
เฉือนออสเตรีย-เข้า8ทีม

ลุ้นฟุตบอลยูโรวันนี้ เป็นคิวเตะรอบ 16 ทีม กระทิงดุสเปน เจอตาหมากรุก โครเอเชีย เผยสถิติสเปนดีกว่าเล็กน้อย แถมไม่มีนักเตะเจ็บ ขณะที่ฝรั่งเศส แชมป์กลุ่มเอฟ ปะทะ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ดีที่สุดของกลุ่มเอ แต่ก็ประมาทไม่ได้ ส่วนผลฟุตบอลคืน 26 มิ.ย. ‘โคนม’เดนมาร์ก ถล่ม ‘มังกรแดง’เวลส์ 4-0 เข้ารอบ 8 ทีม ขณะที่อิตาลีหืดจับเจอออสเตรีย ทำอะไรไม่ได้ใน 90 นาที ไปคว้าชัยช่วง ต่อเวลาพิเศษ

กระทิงดุเจอโครเอเชีย

วันที่ 27 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 28 มิ.ย. การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 รอบ 16 ทีมสุดท้าย มีเตะ 2 คู่ คู่แรกเริ่มเวลา 23.00 น.ตามเวลาประเทศไทย “ตาหมากรุก” โครเอเชีย รองแชมป์กลุ่มดี เจอกับ “กระทิงดุ”สเปน แชมป์กลุ่มอี เตะกันที่ปาร์เกน สเตเดียม กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

คู่นี้เคยเจอกันมาทั้งหมด 8 ครั้ง สเปนทำได้ดีกว่าเล็กน้อยด้วยการชนะ 4 นัด ส่วนโครเอเชียชนะ 3 นัด และเสมอกัน 1 นัด เกมล่าสุดที่พบกันคือในศึกยูฟ่า เนชันส์ ลีก เมื่อปี 2018 โครเอเชียชนะสเปน 3-2

ผลงานในทัวร์นาเมนต์นี้ที่ผ่านมา โครเอเชียเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะรองแชมป์กลุ่มดีด้วยการแพ้อังกฤษ 0-1 เสมอ สาธารณรัฐเช็ก 1-1 และชนะสกอตแลนด์ 3-1 ด้านสเปนเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะรองแชมป์กลุ่มอีด้วยการเสมอสวีเดน 0-0, เสมอโปแลนด์ 1-1 และชนะสโลวะเกีย 5-0

ความพร้อมเกมนี้ โครเอเชียต้องเช็กความฟิตบอร์นา บาริซิช เพียงรายเดียว ด้านสเปนไม่มีผู้เล่นบาดเจ็บ หรือติดโทษแบน คาดว่าโครเอเชียจะวางแผน 4-2-3-1 โดมินิก ลิวาโควิช : ซิเม เวอร์ซัลจ์โก, โดมากอย วิดา, ดูเย ชาเลตา-ชาร์, ยอสโก กวาร์ดิโอล : ลูกา โมดริช, มาร์เซโล โบรโซวิช : โยซิป เบรกาโล, นิโคลา วลาซิช, อิวาน เปริซิช : อันเต เรบิช

ส่วนสเปนคงวางหมาก 4-3-3 อูไน ซิมอน : เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา, เปา ตอร์เรส, อายเมอริก ลาปอร์กต์, จอร์ดี อัลบา, โกเก, เซร์คิโอ บุสเกตส์, เปดรี กอนซาเลซ : เคราร์ด โมเรโน, ปาโบล ซาราเบีย, อัลบาโร โมราตา

ตราไก่ปะทะสวิตเซอร์แลนด์

ส่วนอีกคู่เตะเวลา 02.00 น.ตามเวลาประเทศไทย “ตราไก่” ฝรั่งเศส แชมป์กลุ่มเอฟ เจอกับ “นาฬิกา”สวิตเซอร์แลนด์ อันดับสามกลุ่มเอ ที่สนามเนชันแนล อารีนา กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย

คู่นี้เคยเจอกันมาทั้งหมด 8 ครั้ง ฝรั่งเศสเหนือกว่าชนะ 3 นัด สวิตเซอร์แลนด์ชนะ 1 นัด และเสมอกันไป 4 นัด เกมล่าสุดที่พบกันคือศึกยูโร 2016 เสมอกัน 0-0

ผลงานในทัวร์นาเมนต์นี้ที่ผ่านมาฝรั่งเศสผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่มเอฟ ด้วยการชนะเยอรมนี 1-0, เสมอฮังการี 1-1 และเสมอโปรตุเกส 2-2 ด้านสวิตเซอร์แลนด์ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะอันดับ 3 ของกลุ่มเอ ด้วยการเสมอเวลส์ 1-1, แพ้อิตาลี 0-3 และชนะตุรกี 3-1

ความพร้อมเกมนี้ฝรั่งเศสต้องเช็กความฟิตของลูกาส์ ดีญ, โตมาส์ เลอมาร์, อาดริยอง ราบิโอต์ และมาร์กุส ตูราม ว่าจะหายจากอาการบาดเจ็บทันหรือไม่ ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ไม่มีผู้เล่นบาดเจ็บ หรือติดโทษแบน คาดว่าฝรั่งเศสจะวางแผน 4-3-1-2 อูโก โยริส : แบงฌาแมง ปาวาร์, ราฟาเอล วาราน, เปรสเนล คิมเปมเบ, ลูกัส แอร์กน็องเดซ : เอ็นโกโล ก็องเต, ปอล ป๊อกบา, โกรองแตง โตริสโซ : อองตวน กรีซมันน์ : คีลิยาน เอ็มบัปเป, คาริม เบนเซมา

ส่วนสวิตเซอร์แลนด์คงวางหมาก 3-4-1-2 ยานน์ ซอมเมอร์ : นิโก เอลเวดี, มานูเอล อาคานจี, ริคาร์โด โรดริเกซ : ซิลวาน วิดเมอร์, กรานิต ชากา, เรโม ฟรอยเลอร์, สตีเวน ซูเบอร์ : แชร์ดาน ชากิรี : บรีล เอ็มโบโล, ฮาริส เซเฟโรวิช

โคนมถล่มเวลส์4-0

สำหรับผลการแข่งขันเมื่อคืนที่ 26 มิ.ย. คู่แรก เวลา 23.00 น.ที่สนามโยฮัน ครัฟฟ์ อารีนา ประเทศเนอร์แลนด์ “มังกรแดง” เวลส์ ลงสนามพบกับ “โคนม” เดนมาร์ก

สถิติที่ผ่านมาทั้งสองทีมเคยเจอกันมาแล้ว 10 ครั้ง เวลส์ ชนะ 4 ครั้ง และ เดนมาร์ก ชนะ 6 ครั้ง หนล่าสุดเจอกันในฟุตบอลเนชันส์ ลีก เมื่อปี 2018 เดนมาร์ก เฉือนชนะไป 2-1

ก่อนเกมจะเริ่มขึ้น แกเร็ธ เบล มอบเสื้อทีมชาติเวลส์ ที่สกรีนชื่อของ คริสเตียน อีริกเซน พร้อมลายเซ็นจากนักเตะทีมชาติเวลส์ ให้กับ ซิมง เคียร์ กัปตันทีมชาติเดนมาร์ก เพื่อนำไปให้กับ อิริกเซน เพื่อนร่วมอาชีพของพวกเขา

เริ่มเกม นาทีที่ 9 เป็น เวลส์ ที่ได้ทักทายก่อน ในจังหวะแกเร็ธ เบล ได้กระชากบอลเข้าเขตโทษ ก่อนซัดด้วยซ้าย บอลพุ่งเลยเสาไกลออกหลังไปนิดเดียว

เข้าสู่ช่วงนาทีที่ 20 เกมเริ่มเป็นของเดนมาร์กที่ครองเกมได้เหนือกว่า และพยายามบุกเข้าทำ กระทั่งนาทีที่ 27 แคสเปอร์ โดลเบิร์ก ได้บอลหน้าเขตโทษ ก่อนซัดด้วย ขวา บอลพุ่งเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ให้เดนมาร์ก ขึ้นนำ 1-0

จากนั้นเกมยังเปิดแลกกันสนุก เดนมาร์กยังคงครองเกมได้มากกว่าชัดเจน แต่สุดท้ายไม่มีสกอร์เพิ่ม จบครึ่งแรก เดนมาร์กยังรักษาความได้เปรียบไว้ได้

ครึ่งหลังเปิดฉากเพียง 3 นาที เดนมาร์กได้ประตูหนีห่างอย่างรวดเร็ว ในจังหวะบุกขึ้นมาครั้งแรก มาร์ติน เบรธเวต พาบอลขึ้นมาทางขวา ก่อนจ่ายตัดเข้ากลางประตู ยานนิก เวสเตอร์การ์ด แนวรับเวลส์ สกัดบอลไม่ดี บอลไปเข้าทาง แคสเปอร์ โดลเบิร์ก ที่ยืนดักรออยู่ในเขตโทษยิงจ่อๆ ไม่มีพลาด เดนมาร์ก นำ 2-0 พร้อมกับเป็นประตูที่ 2 ของเจ้าตัวในเกมนี้ด้วย

จากนั้นเวลส์ที่สกอร์ตามหลัง พยายามตั้งเกมบุกหวังทวงประตูคืน ทว่ายังไม่ดีพอจะผ่านแนวรับโคนม ขณะที่ เดนมาร์กรอโอกาสสวนกลับได้อย่างยอดเยี่ยม กระทั่งช่วงท้ายเกม ก่อนหมดเวลา โยอาคิม เมห์เล ได้หลุดเข้าไปในเขตโทษ ล็อกเข้าซ้าย ก่อนยิงเต็มข้อ บอลพุ่งเข้าประตูให้เดนมาร์กหนีห่าง 3-0

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แอนเดรียส คอร์เนลิอุส เตะบอลต่อให้ มาร์ติน เบรธเวต ยิงจ่อๆ ไม่เหลือ เข้าประตู ผู้ตัดสินเช็กวีเออาร์ ให้ก่อนชี้เป็นประตูปิดฝาโลงของเดนมาร์ก จบเกม เดนมาร์ก เอาชนะ เวลส์ 4-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ไปรอพบผู้ชนะคู่เนเธอร์แลนด์-สาธารณรัฐเช็ก

อิตาลีฉลุย – มัตเตโอ เปสซินา ตัวสำรองทีมชาติอิตาลี ยิงประตูออสเตรีย ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ศึกยูโร 2020 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จบเกมอิตาลี เฉือนชนะ 2-1 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีม (ภาพ-รอยเตอร์)

อิตาลีชนะหืดช่วงต่อเวลา

อีกคู่ ที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้าย อิตาลีลงสนามพบออสเตรีย เริ่มเกมอิตาลีเป็นฝ่ายครองเกมบุกได้มากกว่า และสร้างโอกาสพังประตูได้อยู่เรื่อยๆ นาที 17 สปินาซโซลา พาบอลมาสุดเส้นฝั่งซ้าย ก่อน ปาดมาถึง บาเรลลา ที่อยู่นอกกรอบวิ่งมายิงไซด์ก้อยด้วยขวาจังหวะเดียว แต่บอลยังไปติดเซฟของผู้รักษาประตูออสเตรีย

นาที 32 อิตาลีเกือบได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง จากการพลิกหาจังหวะยิงของ ชิโล อิมโมบิเล แต่บอลพุ่งไปชนสามเหลี่ยมออกไปอย่างน่าเสียดาย จบครึ่งแรกทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้เสมอ 0-0

ครึ่งหลังเกมเริ่มเปิดมากขึ้น ทั้งสองทีมผลัดกันรุกรับอย่างสนุน นาที 65 ดาวิด อลาบาชิงโหม่งชงมาถึง มาร์โค อาร์เนาโตวิช ที่เสาสอง ก่อนจะโหม่งย้อนส่งบอลเข้าไปตุงตาข่าย แต่หลังจากเช็กวีเออาร์อยู่พักใหญ่ ผู้ตัดสินก็ยกให้เป็นลูกล้ำหน้า

หลังจากนั้นทั้งสองทีมยังเปิดเกมผลัดกันรุกรับไปมา แต่จังหวะสุดท้ายไม่เด็ดขาดพอ จบ 90 นาที อิตาลี เสมอออสเตรีย 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษ

เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ เพียงแค่นาที 95 เท่านั้น อิตาลีมาได้ประตูนำจนได้ จากจังหวะ เลโอนาร์โด สปินาซโซลา ยกบอลข้ามมาให้ เฟเดริโก เคียซา ตัวสำรองที่ลงมาแทน โดเมนิโก เบราร์ดี ในนาที 84 สอดเข้าไปรับบอลในเขตโทษ ก่อนจะเอาบอลลงและแตะด้วยขวา แล้วซัดด้วยซ้ายเต็มข้อ บอลพุ่งเข้าไปตุงตาข่ายสวยงาม ให้อิตาลีขึ้นนำ 1-0

หลังได้ประตูออกนำ อิตาลี ยังได้ลุ้นประตูต่อเนื่อง นาที 104 ลอเรนโซอินซินเญ ปั่นฟรีคิกเกือบเสียบคาน แต่นายด่านออสเตรียยังบินมาปัดไว้ได้ อย่างไรก็ตามนาทีต่อมา อิตาลี มาได้ประตูหนี เป็น 2-0 สำเร็จ จากจังหวะจ่ายยัดเข้ามาในกรอบเขตโทษก่อนจะเป็น มัตเตโอ เปสซินา ตัวสำรองที่ลงมาแทน บาเรลลา นาที 60 โฉบเข้าไป กดเต็มข้อหายเข้าไปตุงตาข่าย

จากนั้น ออสเตรีย ที่ยังคงฮึดสู้มาพังประตูไล่มาเป็น 1-2 จากลูกโหม่งของ ซาซา คาไลชิช แต่ก็ทำได้แค่นั้น จบ 120 นาที อิตาลี เฉือนชนะออสเตรีย 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ไปรอพบผู้ชนะระหว่าง เบลเยียม กับ โปรตุเกส

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน