ที่ดวลชนะจุดโทษสวิส
‘มันชินี’ชมลูกทีมแกร่ง
ไล่บดชนะเบลเยียม2-1
เอ็นริเกโวกระทิงแชมป์

‘อัซซูรี่’ทำได้สมราคา เข่นปีศาจแดงดำแห่งยุโรปเบลเยียมไป 2-1 ลิ่วไปตัดเชือกในรอบรองฯ กับทีมกระทิงดุ-สเปนที่เอาชนะสวิสผู้เล่น 10 คนจนถึงฎีกาต่อเวลาและดวลจุดโทษเอาชนะไป 4-2 ขณะที่ ‘อูไน ซิมอน’ ผู้รักษาประตู‘กระทิงดุ’ ที่สวมบทฮีโร่พาทีมหักด่านทีม‘นาฬิกา’ เตือนเพื่อนร่วมทีมให้เตรียมตัวสำหรับนัดต่อไป ส่วน‘โค้ชหลุยส์ เอ็นริเก’ ชมลูกทีมทำได้ตามที่ซ้อมมา มั่นใจทีมสเปนมีโอกาสสูงลุ้นแชมป์ ด้าน ‘โรแบร์โต มันชินี’ ซูฮกแข้งอัซซูรี่เล่นดีสมควรชนะเบลเยียม ปลื้มไม่แพ้ติดต่อกัน 32 นัดแล้ว

ทะลุตัดเชือก – ลอเรนโซ อินซินเญ กองหน้าอิตาลี ปั่นด้วยเท้าขวา บอลพุ่งเสียบเสาเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ศึกฟุตบอลยูโร 2020 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่อารีนา มิวนิก ประเทศเยอรมนี จบเกมชนะเบลเยียม 2-1 ทะลุเข้ารอบรองไปเจอกับสเปน

การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สเตเดียม ประเทศรัสเซีย คู่เวลา 23.00 น. ทีม “นาฬิกา” สวิตเซอร์แลนด์ พบกับ “กระทิงดุ” สเปน

สำหรับสถิติที่ผ่านมาทั้งสองทีมเคยพบกันมาแล้ว 8 ครั้ง สวิตเซอร์แลนด์ชนะ 1 ครั้ง เสมอกัน 3 ครั้ง และสเปนเอาชนะไปได้ 4 ครั้ง หนล่าสุดเจอกันในฟุตบอลเนชันส์ ลีก เมื่อปี 2020 เสมอกันไป 1-1 ขณะที่เส้นทางในฟุตบอลยูโรครั้งนี้สวิตเซอร์แลนด์เข้ารอบมาเป็นอันดับ 3 ของกลุ่มเอ รอบแบ่งกลุ่ม 3 นัด เสมอเวลส์ 1-1, แพ้อิตาลี 0-3, และชนะตุรกี 3-1 ก่อนจะมาทำผลงานพลิกความคาดหมายด้วยการเขี่ยฝรั่งเศส แชมป์โลก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยในเวลาเสมอกัน 3-3 และเป็นสวิตเซอร์แลนด์ที่ดวลจุดโทษชนะไปได้ 5-4

ด้านทีม “กระทิงดุ” เข้ารอบมาเป็นอันดับสองของกลุ่มอี ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม เสมอสวีเดน 0-0, เสมอ โปแลนด์ 1-1 และชนะสโลวะเกีย 5-0 ส่วนรอบ 16 ทีมสุดท้ายเอาชนะโครเอเชีย ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 5-3 หลังจากเสมอกันใน 90 นาที ด้วยสกอร์ 0-0

เริ่มเกมเพียง 8 นาที สเปนออกนำรวดเร็ว 1-0 ในจังหวะเตะมุม บอลเลยหลุดมาฝั่งซ้าย มาถึงจอร์ดี อัลบา ที่ยืนรออยู่นอกกรอบ ก่อนตั้งป้อมยิงไกลบอลแฉลบเดนิส ซาคาเรีย แนวรับสวิสเข้าประตูไป จากนั้นเกมยังคงดำเนินไปอย่างสูสี สวิสที่สกอร์ตามหลังมีโอกาสลุ้นประตูตีเสมอหลายครั้ง ขณะที่สเปนก็มีโอกาสได้ประตูหนีห่าง แต่สุดท้ายจังหวะสุดท้าย ไม่ดีพอ ทำให้จบครึ่งแรกสเปนยังนำสวิตเซอร์แลนด์ 1-0

ในเกมครึ่งหลังเปิดฉากเพียงนาทีเดียว สเปนได้ลุ้นอีกครั้งในจังหวะบุกขึ้นมาทางขวาของอัลบาโร โมราตา ก่อนจ่ายตัดไปทางซ้าย มาถึงปาโบล ซาราเบีย ได้ยิง แต่ก็ยัง ไม่ดีพอ บอลไปเข้ามือนายด่านสวิส จากนั้นเกมเป็นไปอย่างสูสี เข้าสู่นาทีที่ 64 สวิสได้ลุ้นอีกครั้งในจังหวะบุกขึ้นไปทางริมเส้นฝั่งซ้าย สตีเวน ซูเบอร์ จ่ายต่อเข้าไปในเขตโทษให้รูเบน บาร์กัส ตัวสำรองที่ถูกส่งลงสนามมาจิ้มปลายเท้า แต่โดนไม่ถนัด บอลยังไม่หนีมืออูไน ซิมอน นายด่านสเปน นาทีที่ 68 แนวรับสเปนพลาดเองสกัดบอลไปชนกันเอง บอลมาเข้าทางเรโม ฟรอยเลอร์ จ่ายต่อให้แชร์ดาน ชากิรี หลุดเข้าไปในเขตโทษ ก่อนยิงเล่นทางเน้นๆ เข้าประตูไปให้สวิตเซอร์แลนด์ตามตีเสมอได้สำเร็จ 1-1

นาทีที่ 78 สวิสเหลือผู้เล่น 10 คน หลัง เรโม ฟรอยเลอร์ ไปสไลด์เปิดปุ่มใส่เคราร์ด โมเรโน ผู้ตัดสินมองเป็นจังหวะเล่นอันตรายให้เป็นใบแดงโดยตรงไล่ออกจากสนามทันที เช้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย สเปนที่ได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่นพยายามบุกเข้าใส่ ขณะที่สวิสถอยไปตั้งรับและรอโอกาสสวนกลับ สุดท้ายไม่มีสกอร์เพิ่ม ครบ 90 นาที เสมอ 1-1 ต้องไปเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ กลับมาสู้กันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษเพียง 2 นาที สเปนพลาดโอกาสได้ประตูในจังหวะขึ้นเกมทางซ้ายจอร์ดี อัลบา จ่ายตัดเข้ากลาง ไปถึงเคราร์ด โมเรโน ได้ชาร์จ แต่บอลยังไม่ตรงกรอบ จากนั้นสเปนพับสนามบุกเป็นชุด จบ 105 นาที ยังเสมอ 1-1

ช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งหลังสวิสลงไปตั้งรับแบบเต็มตัวแล้วรอโอกาสสวนกลับอย่างใจเย็น ขณะที่สเปนยังคงตั้งหน้าตั้งตาบุกต่อ ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีสกอร์เพิ่ม ครบ 120 นาทียังเสมอกัน 1-1 ต้องหาผู้ชนะจากการดวล จุดโทษ ปรากฏว่าสเปนแม่นกว่าเอาชนะไป 3-1 สกอร์รวม 4-2 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปได้สำเร็จเป็นทีมแรก

สำหรับเกมนี้ทั้งคู่เสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งอูไน ซิมอน เซฟไป 2 ลูก ทำให้สเปนชนะ 3-1 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ โดยมือกาวรายนี้รับรางวัลสตาร์ ออฟ เดอะ แมตช์ไปครองด้วย

ซิมอนกล่าวว่า “ฟุตบอลก็เป็นเช่นนี้ เราสมควรเป็นผู้ชนะ แต่มันก็เป็นเวลาที่เราต้องลืมความรื่นเริงนี้โดยเร็ว เพราะเราจะต้องเจอกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งในเกมถัดไป เราต้องชนะเลิศยูโรหนนี้ให้ได้”

ทางด้าน แชร์ดาน ชากิรี กองกลาง สวิตเซอร์แลนด์กล่าวว่า “ผมภูมิใจในทีม จุดโทษเป็นเรื่องของโอกาส 50-50 ผมรู้สึกประหม่าเมื่อดูการยิงจุดโทษ ผมคิดว่าเรา แค่ขาดโชคไปบ้างในวันนี้”

ยานน์ ซอมเมอร์ ผู้รักษาประตูสวิตเซอร์แลนด์ที่เซฟไป 1 จุดโทษ แต่ไม่อาจช่วยทีมรอดพ้นความปราชัยได้กล่าวว่า “ผมรู้สึกภูมิใจในทีมชุดนี้ ภูมิใจสิ่งที่เราทำสำเร็จที่นี่ โดยมีผู้คนทั้งประเทศหนุนหลังเราอยู่”

ส่วนหลุยส์ เอ็นริเก นายใหญ่ “กระทิงดุ” สเปน เผยหลังเกมยูโร 2020 รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่เสมอ “นาฬิกา” สวิตเซอร์แลนด์ ในเวลา 120 นาที 1-1 ก่อนชนะจุดโทษ 3-1 โดยโวว่าไม่ได้ตื่นตระหนกในการดวลเป้าเลยแม้แต่น้อย

เอ็นริเกกล่าวว่า “นี่เป็นการดวลจุดโทษที่ผมรู้สึกสงบใจสุดเท่าที่เคยเผชิญมา เพราะเราทำได้ตามที่ซ้อมกันไว้ ผมเคยบอกแต่แรกแล้วว่าเราอยู่ในกลุ่ม 7-8 ทีมที่มีลุ้นแชมป์ ตอนนี้เรากลายเป็น 4 ทีมสุดท้ายในเส้นทางแล้ว”

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ที่สนามฟุตบอลอารีนา มิวนิก ประเทศเยอรมนี คู่ดึกเวลา 02.00 น. “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” เบลเยียม ลงสนามพบ “อัซซูรี่” อิตาลี

สถิติที่ผ่านมาทั้งสองทีมเจอกันมาแล้ว 11 ครั้ง เบลเยียมเอาชนะไปได้ 3 ครั้ง เสมอกัน 4 ครั้ง และ อิตาลีชนะไป 4 ครั้ง หนล่าสุดเจอกันในยูโร 2016 อิตาลีชนะ 2-0 เส้นทางในยูโร 2020 เบลเยียมคว้าแชมป์กลุ่มบีด้วยการชนะรัสเซีย 3-0, ชนะเดนมาร์ก 2-1 และชนะฟินแลนด์ 2-0 ส่วนรอบ 16 ทีมสุดท้าย เฉือนชนะแชมป์เก่าอย่างโปรตุเกส 1-0

ฟากทีมชาติอิตาลีผลงานดีไม่แพ้กัน รอบแบ่งกลุ่มคว้าแชมป์กลุ่มเอ ด้วยการชนะตุรกี 3-0, ชนะสวิตเซอร์แลนด์ 3-0 และชนะเวลส์ 1-0 ส่วนรอบ 16 ทีมสุดท้าย ชนะออสเตรียในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 หลังจากเสมอกันใน 90 นาที 0-0

ผู้เล่น 11 ตัวจริง เบลเยียม โรเบร์โต มาร์ติเนซ เฮดโค้ชของทีมส่งผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนาม ประกอบด้วย ผู้รักษาประตู : ธิโบต์ กูร์กตัวส์ กองหลัง : โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์, โธมัส แฟร์มาเลน, ยาน แฟร์ตองเกน, โธมาส์ มูนิเยร์ กลาง : ยูรี ตีเลอมันส์, อักเซล วิตเซล, ธอร์กาน อาซาร์, เควิน เดอ บรอยน์ กองหน้า เฌเรมี โดคู ยืนคู่ โรเมลู ลูกากู

ขณะที่อิตาลีของ โรแบร์โต มันชินี ส่ง 11 ตัวจริง ประกอบด้วย ประตู : จานลุยจิ ดอนนารุมมา กองหลัง : โจวานนี ดิ ลอเรนโซ, เลโอนาร์โด โบนุชชี, จอร์โจ คิเอลลินี, เลโอนาร์โด สปินาซโซลา กองกลาง : นิโคโล บาเรลลา, จอร์จินโญ, มาร์โก แวร์รัตติ, เฟเดริโก เคียซา กองหน้า : ชิโร อิมโมบิเล คู่ ลอเรนโซ อินซินเญ

เริ่มเกมเบลเยียมครองเกมเหนือกว่าเล็กน้อย นาทีที่ 14 กลับเป็นอิตาลีได้ลุ้นจากจังหวะ ฟรีคิกทางซ้าย มาร์โก แวร์รัตติเปิดบอลโด่งไปกลางประตู บอลแฉลบเลโอนาร์โด โบนุชชี เข้าประตูไป ทว่าผู้ตัดสินฟังวีเออาร์แล้วเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน อิตาลียังไม่ได้ประตูออกนำ

จากนั้นเกมเป็นไปอย่างสูสี นาทีที่ 21 เควิน เดอ บรอยน์พาบอลขึ้นมาเองก่อนซัดไกล บอลพุ่งไปที่เสาไกลเกือบจะมุดเสาอยู่แล้ว ทว่าจานลุยจิ ดอนนารุมมา นายด่านอิตาลียังบินปัดออกหลังไปได้อย่างยอดเยี่ยม

เกมเปิดแลกกันดุเดือด นาทีที่ 25 โรเมลู ลูกากูหลุดเข้าไปในเขตโทษของอิตาลีแล้วสับขาหลอกก่อนหลอกยิงเล่นทางไปที่เสาไกล บอลพุ่งเรียดตรงกรอบทว่าจานลุยจิ ดอนนารุมมา นายด่านอิตาลีก็ยังไม่ให้ผ่าน เข้าสู่นาทีที่ 30 อิตาลีได้ลุ้นจากฟรีคิก เลโอนาร์โด สปินาซโซลาเปิดโด่งไปหน้าประตู เหมือนจะไม่มีอะไรแต่แนวรับเบลเยียมสกัดบอลไม่ขาด บอลไปเข้าทางมาร์โก แวร์รัตติ แตะต่อให้ นิโคโล บาเรลลา หลุดเข้าเขตโทษไปซัดเต็มข้อ บอลพุ่งเข้าประตูให้อิตาลีออกนำ 1-0

ลิ่วตัดเชือก – นิโคโล บาเรลลา (คนที่ 2 จากซ้าย) กองกลางทีมชาติอิตาลี วิ่งดีใจหลังยิงประตูขึ้นนำทีมชาติเบลเยียมได้ ในศึกฟุตบอล ยูโร 2020 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่สนามอารีนา มิวนิก ประเทศเยอรมนี จบเกมอิตาลีชนะ 2-1 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 3 ก.ค.

จากนั้นเบลเยียมที่ประตูตามหลังเปิดฉากบุกหวังทวงประตูคืน แต่ก่อนหมดเวลา 2 นาทีเป็นอิตาลีที่ได้ประตูหนีห่าง ลอเรนโซ อินซินเญได้บอลจากทางซ้ายกระชากเข้ามาในเขตโทษก่อนปั่นด้วยซ้ายบอลพุ่งมุดเสาไกลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม อิตาลีขยับหนีห่าง 2-0

ถัดมานาทีเดียว ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษของเบลเยียมในจังหวะโจวานนี ดิ ลอเรนโซ แนวรับอิตาลีไปเบียด เฌเรมี โดคู ล้มในเขตโทษ ผู้ตัดสินเช็กวีเออาร์ยืนยันเป็นจุดโทษ โรเมลู ลูกากูรับหน้าที่สังหารไม่พลาด เบลเยียมตามหลังอิตาลี 1-2 ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังเกมยังสูสี นาทีที่ 61 เบลเยียมได้ลุ้นในจังหวะสวนกลับเร็ว เฌเรมี โดคู ใช้ความเร็วกระชากขึ้นมา ก่อนจ่ายต่อไปถึง เควิน เดอ บรอยน์ พาบอลเข้าเขตโทษ ก่อนตบเข้ากลางประตู โรเมลู ลูกากูได้ชาร์จแต่บอลยังไปติดขาเลโอนาร์โด สปินาซโซลา แนวรับอิตาลีที่ยืนอยู่บนเส้นประตูพอดี เบลเยียมยังไม่ได้ประตูตีเสมอ ถัดมานาทีที่ 68 อิตาลีขึ้นมาได้เสียวบ้าง ลอเรนโซ อินซินเญได้หลุดขึ้นไปทางซ้าย ก่อนจะยิงไกล บอลพุ่งตรงกรอบ ธิโบต์ กูร์กตัวส์ นายด่านเบลเยียมต้องออกแรงปัดอีกครั้ง ช่วงเวลาที่เหลือ เกมยังเปิดแลกกันสนุก ทว่าสุดท้ายไม่มีสกอร์เพิ่ม ทำให้จบเกมอิตาลีเอาชนะเบลเยียม 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปพบกับสเปน ที่เอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ไปก่อนหน้านี้

โรแบร์โต มันชินี ชมเปาะลูกทีมอิตาลีเล่นกันได้ท็อปฟอร์มทุกคน คู่ควรแก่ชัยชนะเหนือเบลเยียมอย่างแท้จริง ชนิดที่ไม่รู้สึกว่าโดนคุกคามเลยด้วยซ้ำ

กุนซือ “อัซซูรี่” เผยว่าลูกทีมเล่นกันได้ท็อปฟอร์ม คู่ควรแก่ชัยชนะเหนือ “ปีศาจแดง” เบลเยียม 2-1 ศึกยูโร 2020 รอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม

มันชินีกล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าเรามีช่วงเวลาที่ปั่นป่วนเกิดขึ้นในเกมนี้ คุณจำเป็นต้องให้ทุกคนเล่นได้ยอดเยี่ยมเพื่อเอาชนะทีมอย่างเบลเยียม และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมนี้ เรายิงได้ 2 ประตู และน่าจะยิงเยอะกว่านี้ด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเราสมควรชนะเกมนี้อย่างยิ่ง”

ขณะที่ ลอเรนโซ อินซินเญ กองหน้าอิตาลีเจ้าของรางวัลสตาร์ ออฟ เดอะ แมตช์ ประจำเกมนี้กล่าวว่า “ผมคิดว่าทุกคนในทีมต่างเล่นกันได้ยอดเยี่ยม ผมมีความสุขที่ยิงเข้าในลักษณะนั้นได้ แต่นี่ถือเป็นชัยชนะร่วมกันของทุกคน”

ด้าน โรเบร์โต มาร์ติเนซ กุนซือ “ปีศาจแดง” เบลเยียม ชี้ลูกทีมมีปัญหากับการเล่นในครึ่งแรก แม้จะพยายามฮึดครึ่งหลังก็ไม่ทัน ส่งผลให้พ่ายต่อ “อัซซูรี่” อิตาลี 1-2 ศึกยูโร 2020 รอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม

มาร์ติเนซกล่าวว่า “เราไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ครึ่งแรกได้ดีเท่าอิตาลี แม้จะพยายามสู้เพื่อกลับมาในครึ่งหลัง แต่โชคร้ายที่ต้องมีทีมหนึ่งเป็นฝ่ายชนะ และนั่นก็เป็นเรา กระนั้นผมก็ภูมิใจกับทัศนคติและความมุ่งมั่นของทีม”

นอกจากนั้นชัยชนะอิตาลีครั้งนี้ทำให้ทีมไม่แพ้ติดต่อกัน 32 นัด เป็นสถิติสูงสุดอันดับ 3 ตลอดกาล ตามหลังบราซิล (1993-1996), สเปน (2007-2009) ซึ่งไร้พ่าย 35 นัดเท่ากัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน