บางพลีโกลาหล
บ้านเรือนพังยับ
อพยพรัศมี 10กม.
ส่งฮ.โปรย‘โฟม’
สลดกู้ภัยพลีชีพ

บึ้มวินาศ ไฟไหม้โรงงานโฟม-พลาสติกย่านบางพลีไฟท่วม ควันดำพวยพุ่งเต็มท้องฟ้า บ้านเรือนใกล้เคียงพังจากแรงอัดระเบิด บาดเจ็บหลายสิบ นักดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยเข้าผจญเพลิงถูกไฟคลอกสาหัส 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย ตั้งแต่ ตีสามผ่านมาเกิน 10 ชั่วโมงก็ยังควบคุมไม่ได้ เหตุการณ์สุดโกลาหล ระดมเจ้าหน้าที่ ส่งเฮลิคอปเตอร์โปรยโฟมและน้ำแต่ก็ยังเอาไม่อยู่ ควันและสารพิษพวยพุ่งตลอดเวลา นักวิชาการเตือนมีพิษรุนแรงต่อระบบหายใจ และก่อมะเร็ง ทั้งปนเปื้อนบริเวณกว้างย่านบางพลี สมุทรปราการ ต่อเนื่องเขตลาดกระบัง สนามบินสุวรรณภูมิ

เอาไม่อยู่ – เจ้าหน้าที่ระดมดับไฟที่กำลังโหมไหม้โรงงานเม็ดพลาสติกและโฟม ในย่านซอยกิ่งแก้ว อ.บางพลี แต่เนื่องจากเป็นสารเคมีและมีกลิ่นไหม้รุนแรง จึงทำได้ด้วยความยากลำบาก สรุปล่าสุดมีผู้บาดเจ็บ 39 ราย เสียชีวิต 1 เมื่อ 5 ก.ค.

เมื่อเวลา 03.20 น. วันที่ 5 ก.ค. เกิดเหตุระเบิดสนั่นหวั่นไหวและไฟไหม้อย่างรุนแรงที่บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด เป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก ตั้งอยู่เลขที่ 87 หมู่ 15 ซอยกิ่งแก้ว ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ต่อมาหน่วยดับเพลิง อบต.ราชาเทวะ และพื้นที่ใกล้เคียงระดมรถดับเพลิง และเจ้าหน้าที่เข้าตรวจควบคุมเพลิง อีกทั้งแรงระเบิดทำให้โรงงานพังเสียหายทั้งโรง และส่งผล ให้โรงงานใกล้เคียงระยะ 500 เมตรเสียหายอีกนับสิบโรง ตรวจสอบเบื้องต้นโรงงานที่ระเบิดมี 5-6 โกดัง โดยโกดังแรกเก็บสารเคมีน้ำหนักกว่า 50 ตัน ระเบิดไปแล้ว 20 ตัน และมีชาวบ้าน บริเวณใกล้เคียงได้รับบาดเจ็บกว่า 20 ราย

จากการสอบสวนนายสุเทพ มั่นคง อายุ 56 ปี พนักงานโรงงานให้การว่าโรงงานผลิตโฟมทุกชนิด มีพนักงานกว่า 100 คน ขณะที่เกิดเหตุมีคนงานทำงานอยู่ 9-10 คน เสียงระเบิดดังสนั่นรุนแรง พนักงานจึงรีบหนีรอดออกมาได้ ส่วนตนและเพื่อนพนักงานอีก 30 กว่าคนพักอยู่ในบ้านพักบริเวณรั้วโรงงานไม่ได้ รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ส่วนชาวบ้านที่อยู่บริเวณ ใกล้เคียงโรงงานได้รับบาดเจ็บเช่นกัน

หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถควบคุม เพลิงได้ มีกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าจำนวนมาก เจ้าหน้าที่กำลังระดมฉีดน้ำสกัดเพลิง พบผู้บาดเจ็บเป็นชาย 1 ราย ถูกซากอาคารทับ ก่อนช่วยออกมาได้และนำส่งร.พ. ส่วนชาวบ้าน ที่บาดเจ็บส่วนใหญ่ถูกแรงอัดจากระเบิด และกระจกบ้านเรือนตกใส่ นอกจากนี้ยังมีโรงงานใกล้เคียงได้รับความเสียหาย เนื่องจากแรงระเบิดมีรัศมีหลายกิโลเมตร ขนาดบ้านเรือนประชาชนในเขตลาดกระบังห่างจากจุดเกิดเหตุ 5 กิโลเมตรยังรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากระเบิด

ต่อมานายวันชัย คงเกษม ผวจ.สมุทรปราการ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางมายังที่ เกิดเหตุ และจากการประเมินสถานการณ์ คาดว่า ไม่น่าจะปลอดภัย เนื่องจากเปลวไฟยังลุกโหมรุนแรง และประชิดถังบรรจุเคมีขนาดใหญ่ของโรงงาน จึงประกาศให้ประชาชนที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร อพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเกรงว่าหากควบคุมเพลิงไม่ได้ อาจทำให้ถังเคมีขนาดใหญ่อาจระเบิดขึ้น ท่ามกลางความแตกตื่นโกลาหล โดยจัดเตรียมสถานที่ไว้ที่ลานอเนกประสงค์ข้างที่ทำการ อบต.บางพลีใหญ่ ลานดินข้างมูลนิธิร่วมกตัญญู โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ และวัดสลุด อ.บางพลี

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ขอสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ดับไฟป่าลำเลียงน้ำเข้ามาดับเพลิง รวมทั้งร.พ.จุฬารัตน์ 9 ตั้งอยู่ริมถนน กิ่งแก้วห่างจากจุดที่เกิดเหตุ 500 เมตร เร่งย้ายผู้ป่วยออกจากร.พ.กันวุ่นวาย โดยใช้รถร.พ. และรถสองแถวลำเลียงกระจายไปตามร.พ. ต่างๆ เพื่อความปลอดภัย และจากเหตุดังกล่าวพบเจ้าหน้าที่ดับเพลิงถูกไฟคลอกบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อนายกรสิทธิ์ ราวพันธ์ อายุ 19 ปี อาสาสมัครกู้ภัยดับเพลิงหน่วยสมเด็จเจ้าพระยา

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผอ.ท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ กล่าวว่าสนามบินร่วมกับวิทยุ การบินเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์ เบื้องต้นกลุ่มควันจากการระเบิดยังไม่ส่งผล กระทบต่อทัศนวิสัยต่อการทำการบิน แต่มีพื้นที่บางส่วนที่อยู่ในรัศมีอพยพ จึงให้พนักงาน ทำงานที่บ้าน แต่ยังต้องเฝ้าระวังการระเบิดระลอกสอง โดยเฉพาะถังเคมี 20,000 ลิตร เพราะอยู่ห่างจากกึ่งกลางทางวิ่งด้านตะวันตกราว 2-3 กิโลเมตร หากระเบิดจะต้องเร่งประเมินความเสียหายว่ารุนแรงมากน้อย แค่ไหน โดยเฉพาะรันเวย์ว่าแตกร้าวหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แรงสั่นสะเทือนจากเหตุระเบิดโรงงาน ทำให้อาคารผู้โดยสารเสียหายที่ประตูบานเลื่อนเข้าอาคารผู้โดยสารชั้น 1 ทุกประตูหลุดจากรางเลื่อน ทำให้ปิดไม่สนิท ส่วนประตูบานเลื่อนประตูทางออกขึ้นเครื่องที่ต้องนั่งรถต่อไปขึ้นเครื่อง ชั้น 1 ฝั่งตะวันตก และตะวันออก หลุดออกจากรางเลื่อน และเกิดสัญญาณเตือนภัยดับเพลิง ขณะนี้เจ้าหน้าที่แก้ไขใช้งานได้ปกติแล้ว

ขณะเดียวกัน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ตั้งศูนย์ ติดตามสถานการณ์ เพื่อประสานการสนับสนุน และส่งกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ พร้อมด้วย เครื่องจักรกลสาธารณภัยสนับสนุนการดับเพลิง ประกอบด้วย รถหอน้ำ 37 เมตร รถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว รถบรรทุกน้ำช่วยดับเพลิง รถเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยเพื่อขนโฟมดับเพลิง รวมถึงส่งเฮลิคอปเตอร์ เคเอ-32 จำนวน 2 ลำ เจ้าหน้าที่ชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต 10 นาย ชุดปฏิบัติการกู้ภัยสารเคมีจากกรมวิทยาศาสตร์ ทหารบก เข้าร่วมปฏิบัติการ

ไหม้ข้ามวัน – เพลิงโหมไหม้บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด โรงงานขนาดใหญ่ประกอบกิจการเม็ดพลาสติกและโฟม ซอยกิ่งแก้ว 21 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่เวลาตี 3 ไฟและควันลุกโชน มีแรงระเบิดเป็นระยะอย่างรุนแรง ทำให้บ้านพักประชาชนรอบๆ บริเวณ พังเสียหายเกือบ 100 หลัง จนต้องอพยพด่วนผู้ที่อยู่ในรัศมี 10 ก.ม. โดยรอบ และมีผู้บาดเจ็บและ เสียชีวิตด้วย ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์โปรยโฟมเพื่อช่วยดับไฟตลอดทั้งวัน เมื่อวันที่ 5 ก.ค.

ต่อมาเวลา 13.30 น. เฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินสำรวจพื้นที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ พร้อมระดมรถดับเพลิงโฟมสารเคมีขนาดใหญ่จากศูนย์ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 ปทุมธานี เขต 3 ปราจีนบุรี และเขต 16 ชัยนาท ปริมาณโฟมดับเพลิงกว่า 25,000 ลิตร รวมทั้งรถโฟมเคมีจากเทศบาลนครแหลมฉบัง เทศบาลนครเจ้าพระยาสุรศักดิ์ คลังน้ำมันบางจาก คลังน้ำมัน พีเอสพี จ.สมุทรสาคร และ จ.ชลบุรี เตรียมสำรองโฟมดับเพลิงอีกกว่า 17,000 ลิตร

ด้าน รศ.ดร.กิติกร จามรดุสิต ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมนิเวศวิทยาอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย มหิดล กล่าวว่าโรงงานที่ระเบิดเป็นโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกและพลาสติกขั้นต้นของประเทศจีน เข้ามาก่อตั้งในไทยนานกว่า 30 ปี โดยสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิต คือสไตรีน มอนอเมอร์ จัดเป็นสารก่อมะเร็ง และสาร ประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย เมื่อเกิดระเบิดแล้วเผาไหม้ สารเคมีเหล่านี้จึงเกิดการเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์ สังเกตได้จากควันไฟสีดำและสีเทา โดยการเผาไหม้ของไฮโดรคาร์บอนทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ปนกับสารที่เป็นสารอินทรีย์ระเหยง่าย เมื่อสูดดมเข้าไปจะหมดสติ วิงเวียนศีรษะ และหากสูดดมสไตรีนกับเบนซีน จะเกิดการระคายเคืองระบบหายใจ และก่อมะเร็ง

รศ.ดร.กิติกรกล่าวอีกว่าสิ่งกังวลผลกระทบ ระยะสั้น หน้ากากอนามัยที่ใช้ป้องกันโควิด ไม่สามารถป้องกันได้ เพราะเป็นสารอินทรีย์ระเหยง่าย ต้องอาศัยหน้ากากที่ป้องกันสารอินทรีย์ หากฝนตกก็จะช่วยให้ลดในส่วนของควันก๊าซ แต่จะส่งผลต่อในระยะยาว คือหากสัมผัสกับความชื้นในอากาศ หรือมีฝนตก ก๊าซที่ลอยอยู่ในอากาศและสารตกค้างเหล่านี้จะตกลงสู่พื้นดินกระจายวงกว้าง และส่งผล กระทบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยรอบเกิดการปนเปื้อนทั้งต้นไม้ แหล่งน้ำผิวดิน และไหลซึมลงแหล่งน้ำใต้ดินได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องวางแผนการบริหารจัดการไม่ให้ส่งผลกระทบในระยะยาว

เวลา 14.30 น. สถานการณ์ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลง ไฟที่ลุกไหม้ในโรงงานลุกลามขยายพื้นที่เพิ่มอีกจุด ทำให้กลุ่มควันพวยพุ่งเต็มท้องฟ้าย่านกิ่งแก้วอีกระลอก ขณะที่การปฏิบัติการทางอากาศไม่สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเข้าระดมกำลังฉีดเพลิงสกัดน้ำอีกครั้ง

ต่อมาเวลา 16.15 น. นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองอธิบดีปภ. แถลงว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว 1 บ่อ แต่ยังมีอีก 1 บ่อที่จะต้องใช้อากาศยานเข้าไประงับเหตุ ก่อนจะใช้ทีม ภาคพื้นดินเข้าตามไป หากเป็นไปตามแผน คาดจะทำให้เพลิงสงบได้ในระยะเวลาไม่นานนี้ เจ้าหน้าที่ใช้โฟมผสมน้ำรักษาอุณหภูมิจุดที่เกิด เพลิงไหม้ และระดมทีมกู้ภัยจากหลายหน่วยงาน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูอย่างใกล้ชิด

ที่รัฐสภา น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. เขตลาดกระบัง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าโรงงานที่ระเบิดมีพื้นที่ติดต่อกับเขตลาดกระบัง ทำให้ประชาชนอพยพมาอยู่ตามวัดต่างๆ ในเขตลาดกระบัง วัดละไม่ต่ำกว่า 300 คน ได้แก่ วัดลานบุญ วัดลาดกระบัง วัดสังฆราชา และวัดทิพพาวาส ได้นำอาหารส่วนหนึ่งลงไป ช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว แต่ไม่เพียงพอ จึงอยากให้ประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือนำอาหารและน้ำดื่มไปบริจาคได้ ขณะที่รัฐบาลต้องช่วยเหลือประชาชนให้ทันกับเหตุการณ์

ส่วน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าโรงแรมสถานที่กักตัว ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศได้รับผลกระทบจากเหตุโรงงานระเบิด จึงอพยพไปอยู่โรงแรมในเครือข่ายแห่งที่ 1 จำนวน 119 คน และแห่งที่ 2 อีก 63 คน และจากการสำรวจพบ ร.พ.จุฬารัตน์ 9 ของเอกชนได้รับผลกระทบ จะพิจารณาอพยพผู้ป่วยบางส่วน

นางเพ็ญศิริ โคตรภัฒน์ ผอ.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดสลุด เปิดเผยว่า ได้รับคำสั่งจากกระทรวงสาธารณสุขให้อพยพ ประชาชนที่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้บริเวณโรงงาน เบื้องต้นทั้งหมดอพยพมาพักที่ศูนย์อพยพ วัดสลุด ให้ย้ายไปที่ศูนย์อพยพวัดโฉลง และวัดบางพลีใหญ่ เนื่องจากมีการประกาศขยายรัศมี พื้นที่เสี่ยงภัย จาก 5 กิโลเมตรเป็น 10 กิโลเมตร สาเหตุจากกระแสลมเปลี่ยนทิศทาง

เย็นวันเดียวกัน ประชาชนต่างแชร์ภาพและคลิปกลุ่มควันจากไฟไหม้โรงงานย่าน กิ่งแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ที่เริ่มลอย เข้ามาปกคลุมหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ แล้ว ทั้งย่านบางนา ลาดกระบัง หัวหมาก บางกะปิ รวมถึงบริเวณแยกรัชโยธินและประชาชื่น

เสียหายหนัก – เพลิงโหมไหม้บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่เวลาตี 3 ไฟและควันลุกโชน มีแรงระเบิดเป็นระยะอย่างรุนแรง ทำให้บ้านพักประชาชนรอบๆ บริเวณพังเสียหายเกือบ 100 หลัง จนต้องอพยพด่วน มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตด้วย เมื่อวันที่ 5 ก.ค.

จากการตรวจสอบไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้สรุปความเสียหายเบื้องต้นจากเหตุระเบิดและไฟไหม้ ระบุว่าอาคารโรงงานพังเสียหายทั้งหมด มีผู้บาดเจ็บเบื้องต้น ประมาณ 30 คน และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพิ่มเติม โดยประเมินมุลค่าสินทรัพย์ในกองเพลิง เสียหายเกือบ 700 ล้านบาท บริษัทดังกล่าวยื่นคำขออนุญาตจัดตั้งโรงงานเมื่อปี 2532 ได้รับอนุญาตประกอบกิจการอย่างเป็นทางการ ในปี 2534 ด้วยกำลังการผลิตที่ 36,000 ตันต่อปี จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 30 ปีแล้ว ขยายกำลังการผลิตไปอยู่ที่ 80,000 ตันต่อปี

เวลา 19.15 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์การระเบิดและไฟไหม้โรงงาน สั่งการให้กระทรวงกลาโหมจัดส่งกำลังพลจากทุกเหล่าทัพ รวมถึงยานพาหนะ รถดับเพลิง โฟมและสารเคมี ชุดเผชิญเหตุสารเคมี อากาศยานไร้คนขับ รวมทั้งรถพยาบาล แพทย์สนามและทหารสารวัตรเข้าพื้นที่เสริมการทำงานของ จ.สมุทรปราการ รวมทั้งสั่งการ ให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติการฝนหลวงช่วยบรรเทาฝุ่นควันจากเหตุดังกล่าวด้วยแล้ว โดยหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ติดตามสภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง หากเข้าเงื่อนไขการทำฝน จะวางแผน ขึ้นบินปฏิบัติการช่วยเหลือทันที

ต่อมานายอนุชาระบุว่า นายกฯ สั่งการเพิ่มเติมว่าการทำฝนจะไม่เหมาะกับสถานการณ์ระงับเหตุในครั้งนี้ เนื่องจากอาจได้รับผล กระทบจากสารเคมีที่ปนเปื้อนได้ จึงสั่งการให้ ยกเลิกภารกิจที่เตรียมการไว้แล้ว

ขณะที่ร.พ.สมุทรปราการรายงานว่ามี ผู้บาดเจ็บรวม 39 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ส่วนความคืบหน้าในการดับเพลิงยังทำได้เพียงแค่ฉีดน้ำและโฟมหล่อเลี้ยงไว้ไม่ให้ลุกลาม เพราะไฟยังไม่ดับสนิท และยังไม่สามารถเข้าไป ด้านในได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน