สะพัดนิพิฏฐ์ลาปชป.
ร่วม4กุมาร-พรรคใหม่

‘บิ๊กตู่’ เยือนอุดรธานี 1 ธ.ค. ไปวัดป่าบ้านตาด-คำชะโนด เตรียมความพร้อมเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว และเป็นเจ้าภาพมหกรรมพืชสวนโลก 2026 ‘เสี่ยเฮ้ง’สยบลือ ลั่นไม่แปรพักตร์ไปซบเพื่อไทย ขออยู่เคียงข้างลุงตู่-ลุงป้อม ทำงานเพื่อชาติ ‘วิรัช’ ฉะคนปล่อยข่าวจ่อเข้าภูมิใจไทย ปชป.ไม่หวั่น ‘บิ๊กป้อม’ ประกาศเลือกตั้งสมัยหน้าพปชร.จะยึด 24 ส.ส.กทม. ดักคอทุกพรรคอย่าใช้อำนาจรัฐ-เงินหาเสียง เพื่อไทยมั่นใจได้ส.ส.กทม.เพิ่ม สะพัด ‘นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ’ เตรียมลาปชป. จับมือ ‘4 กุมาร’ ของสมคิด ตั้งพรรคใหม่

‘บิ๊กตู่’ เยือนอุดรธานี 1 ธ.ค.

เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีกำหนดการลงพื้นที่ตรวจราชการจ.อุดรธานี ในวันที่ 1 ธ.ค. เบื้องต้น ในช่วงเช้า ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหารดอนเมือง โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 23 จ.อุดรธานี แล้วขึ้นรถยนต์ไปยังวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ต.บ้านตาด อ.เมืองอุดรธานี เพื่อกราบนมัสการพระราชวชิรธรรมาจารย์ (หลวงพ่อสุธรรม สุธัมโม) และพระราชภาวนาวชิรากร (หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก) และตรวจความก้าวหน้าพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว)

จากนั้นเดินทางไปยังศูนย์ประชุมมณฑาทิพย์ฮอลล์ ถนนทองใหญ่ ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี เพื่อประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของจ.อุดรธานี รับฟังผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีกล่าวต้อนรับและบรรยายสรุปทิศทางการพัฒนาจ.อุดรธานี ขณะที่กระทรวงคมนาคม บรรยายสรุปความเชื่อมโยงระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ของจ.อุดรธานีกับจังหวัดในอนุภูมิภาค ลุ่มน้ำโขง (GMS)

ด้านหอการค้าจังหวัดอุดรธานีบรรยายสรุปทิศทางการค้าการลงทุนและประโยชน์ที่ชาวจ.อุดรธานี ได้จากนโยบายของรัฐบาล พร้อมกันนี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานีบรรยายสรุปการเตรียมความพร้อมของจ.อุดรธานี ในการเป็นเจ้าภาพการจัดมหกรรมพืชสวนโลก 2026 และบรรยายสรุปมุมมองนักธุรกิจรุ่นใหม่ในการพัฒนา จ.อุดรธานี

ช่วงบ่ายพล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปยัง วังนาคินทร์ คำชะโนด ต.บ้านม่วง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เพื่อตรวจความพร้อมในการเปิดเมืองเพื่อรับนักท่องเที่ยว ตามนโยบายรัฐบาล และเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในช่วงเย็น

โฆษกรบ.ย้ำอย่าเชื่อเฟกนิวส์

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ “ข้อมูลเท็จ” สหประชา ชาติ (ยูเอ็น) ให้ประเทศไทยแก้ไขมาตรา 112 ว่า ไม่เป็นความจริง กรณีดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ชี้แจงแล้ว ดังนี้ เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2564 ไทยได้นำเสนอรายงานสิทธิมนุษยชนของไทยต่อยูเอ็น ภายใต้กระบวนการทบทวนรายงานสิทธิมนุษยชนตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 เป็นการดำเนินการตามปกติ

ยูเอ็นไม่ได้เป็นองค์การที่จะมาบังคับหรือมาขีดเส้นตายกำหนดเวลาให้ประเทศสมาชิกต้องตอบรับข้อเสนอแนะหรือต้องไปแก้กฎหมาย โดยจากการรายงานสิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก UPR เป็นที่น่าชื่นชมที่ไทยได้รับคำชมในพัฒนาการหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการลดความเหลื่อมล้ำ และการดูแลกลุ่มเปราะบาง

ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และไม่ส่งต่อข้อมูลดังกล่าว โดยขอให้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร รับข้อมูลจากหน่วยงานโดยตรง ส่วนผู้ผลิตและเผยแพร่ข่าวปลอม บิดเบือน หรือเฟกนิวส์ เสี่ยงจะถูกดำเนินคดี ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีโทษทั้งจำและปรับ จึงขอเตือนผู้ไม่ประสงค์ดีทุกคนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่ากระทำการอันจะทำให้เกิดความสับสนในสังคม

ยกระดับ – นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เยี่ยมชมการฝึกอบรมหลักสูตรทำกระชังเลี้ยงปลาในทะเล สอดรับเศรษฐกิจชีวภาพ (BCG Economy) ยกระดับรายได้ ต่อยอดอาชีพ สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนเกาะสีชัง ที่ศูนย์เรียนรู้ธนาคารสัตว์ทะเลเกาะสีชัง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 28 พ.ย.

‘เสี่ยเฮ้ง’ลั่นไม่แปรพักตร์

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า ถึงกระแสข่าวการย้ายไปอยู่ พรรค เพื่อไทย(พท.) ตามที่เป็นข่าวมั้ย ขอตอบพี่น้องสื่อมวลชน พร้อมๆกันตรงนี้เลยครับ

“ผมไม่ทราบว่าใครปล่อยข่าว และ มุ่งหวังในวัตถุประสงค์ใด ตลอดทั้งวันมีการสอบถามกันเข้ามาไม่ขาดสาย เรื่องที่ว่าผมจะย้ายพรรคการเมือง ผมขอเรียนแบบนี้ว่า ผมเป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ ตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ดูแลทุกข์สุข พี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ และเทิดทูนใน สถาบันพระมหากษัตริย์ ทุกลมหายใจ

ก่อนหน้านี้ผม ได้เคยให้คำมั่นยืนยัน มาหลายครั้งหลายหนแล้วว่า จะขอเคียงข้างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ลุงตู่) และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ลุงป้อม) ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ดังนั้นข่าวคราวการย้ายพรรคที่มีกระแสออกมาตลอดทั้งวัน ล้วนแล้วเป็นข้อมูลเท็จทั้งสิ้น ขอให้ทราบโดยทั่วกันว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ผมจะสนับสนุนนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เพียงเท่านั้น และยืนยันไม่มีทางแปรพักตร์”

‘วิรัช’ฉะคนปล่อยข่าวจ่อซบภท.

นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีกระแสข่าวว่า ครอบครัวรัตนเศรษฐ เตรียมย้ายออกจากพรรคพลังประชารัฐไปร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ว่า ยืนยันว่าครอบครัวของตน รวมถึง ส.ส.นครราชสีมา ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐและในการเลือกตั้งครั้งหน้ายังจะลงสนามเลือกตั้งในนามของพรรคพลังประชารัฐ จึงไม่ทราบว่าคนที่เต้าข่าวและปล่อยข่าวนี้ขึ้นมา เป็นกลุ่มใด หวังผลอะไรกันแน่

“ผมไม่เคยคิดย้ายออกจากพรรคพลังประชารัฐ และจะต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าร่วมกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพรรค พลังประชารัฐ แน่นอน”นายวิรัชกล่าว

พท.มั่นใจได้ส.ส.กทม.เพิ่ม

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมของพรรคเพื่อไทยในการส่งผู้สมัคร ส.ส.กทม. ภายหลังพรรคพลังประชารัฐ มอบนโยบายการทำงานภาค กทม.ให้กับว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม.ฝั่งธนบุรีเมื่อวันที่ 27 พ.ย.ว่า สัปดาห์หน้าพรรค เพื่อไทยจะมีการประชุมโซนเขตเลือกตั้งทั่วประเทศที่พรรคได้แบ่งไว้ทั้งสิ้น 21 โซน โดยกทม.มี 6 โซน การทำงานของแต่ละโซนนั้นจะทำหน้าที่เป็นแมวมองคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคในเบื้องต้น ก่อนส่งเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร

ทั้งนี้ ทุกพื้นที่มีความพร้อม ในส่วนของ กทม.ก็พร้อมเช่นเดียวกัน เดิมทีเรามีส.ส. กทม.ถึง 9 คน แต่หลังจากนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้างซึ่งไม่เป็นปัญหา ถึงอย่างไรเราก็ส่งผู้สมัครครบทุกเขตแน่นอน มั่นใจว่าจะได้ส.ส.กทม.มากขึ้นกว่าเดิม เพราะเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งต่อไปคือได้ส.ส.แบบแลนด์สไลด์จึงต้องได้ส.ส.เพิ่มขึ้นในทุกโซน

‘เก่ง’พร้อมสู้‘เมียสิระ’

ด้านนายการุณ โหสกุล ส.ส.ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนางสรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม.เขตดอนเมือง พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นภรรยานายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. เขตหลักสี่ พรรคพลังประชารัฐ ระบุคนดอนเมืองไม่ได้รับการดูแลจากส.ส.จึงอาสาไปทำหน้าที่ว่า ทุกคนมีสิทธิอาสาทำงานให้ประชาชน ใครจะอาสาเข้ามาทำงานช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ดอนเมืองตนยินดี เพราะกว่าครึ่งชีวิตที่ตนทำหน้าที่ผู้แทนเป้าหมายสำคัญคือให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น

เมื่อมีคนอาสาจะมาทำงานให้ประชาชน จึงถือเป็นเรื่องดี ขอยกย่องคนที่ทำดีโดยไม่หวังผลประโยชน์ และอยากให้คนที่มีความพร้อมเข้ามาทำงานการเมืองให้ประชาชน มากขึ้นไม่ว่าจะในพื้นที่ใดก็ตาม เพราะการทำงานรับใช้ประชาชนคือหัวใจหลักของประชาธิปไตย เมื่อถึงวันเลือกตั้งประชาชนจะเป็นคนตัดสินเองว่าอยากได้ใครเป็นผู้แทน

“สิ่งที่อยากจะฝากคือ อยากเห็นนักการเมืองที่ทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่เข้ามาแล้วมาโจมตีคนอื่น ที่สำคัญคนทำหน้าที่ผู้แทนประชาชนต้องไม่กร่าง ไม่ข่มขู่ข้าราชการหรือประชาชน ต้องไม่อ้างตำแหน่งของตัวเองไปแสวงหาผลประโยชน์หรือให้ท้ายธุรกิจผิดกฎหมาย เพราะหัวใจหลักของคนทำงานการเมืองคือต้องยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง” นายการุณกล่าว

ไม่เชื่อ‘บิ๊กป้อม’เอา‘น้องตู่’จริง

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุจะแยกกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ คือต้องตายจากกันเท่านั้นว่า เราต้องคิดว่าการที่พล.อ.ประวิตรพูดแบบนั้น ต้องการอะไร ตนไม่เชื่อว่าจริงๆ แล้วพล.อ.ประวิตรจะเอาพล.อ.ประยุทธ์จริง การพูดแบบนี้จึง ยิ่งพูด ยิ่งพัง เพราะถ้าเป็นการพูดเอาใจพล.อ.ประยุทธ์จริง แต่จะทำให้ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐช้ำใจ กลัวสอบตก และจะเป็นการเร่งเวลาทำให้คนในพรรคพลังประชารัฐแตกกลุ่มไปอยู่พรรคอื่นเร็วยิ่งขึ้น และจะทำให้เราเห็นภาพการยุบสภาเร็วขึ้นอีก

“ที่ผ่านมาพล.อ.ประวิตรทำทุกอย่างย้อนแย้งกันมาตลอด ในขณะที่พูดว่าเอาพล.อ.ประยุทธ์ แต่การกระทำจะให้ น้ำหนักส.ส.ในพรรคมากกว่า และไฟเขียวให้ส.ส.ในพรรคเขย่าพล.อ.ประยุทธ์มาโดยตลอด แต่ที่พล.อ.ประวิตรต้องพูดเอาใจพล.อ.ประยุทธ์แบบนี้เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐยังไม่พร้อมให้เกิดการยุบสภา แล้วเข้าสู่การเลือกตั้งใน ขณะนี้เท่านั้น”

ปชป.ไม่หวั่นพปชร.จะยึดกทม.

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และรองหัวหน้าพรรครับผิดชอบพื้นที่ กทม. ให้สัมภาษณ์ถึงการที่พล.อ.ประวิตร ประกาศกวาด ส.ส. กทม. ให้ได้ 24 ที่นั่ง ว่า ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่พรรคการเมืองต่างๆ ประกาศว่าจะกวาด ส.ส. ให้ได้มากเท่าไหร่ก็ได้ บางพรรคอาจจะได้ตามที่ประกาศไว้ บางพรรคอาจจะไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วอยู่ที่วันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งว่าประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะมอบความไว้วางใจให้ใคร ซึ่งไม่ได้หวั่นไหวอะไรในคำประกาศของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตนคงไม่ประกาศว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้กี่ที่นั่งใน กทม. แต่กำลังมุ่งมั่นทำงานหนักเพื่อให้ประชาชนกลับมาสนับสนุนเรา

ส่วนการเตรียมผู้สมัคร ส.ส.กทม. นั้น ขณะนี้พรรคเตรียมผู้สมัครไว้จำนวนหนึ่งแล้ว มีทั้งอดีต ส.ส.กทม. และว่าที่ผู้สมัครใหม่ที่กำลังเร่งทำงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วกทม. ร่วมกับอดีตสมาชิกสภากรุงเทพ มหานคร (ส.ก.) และว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. ที่พรรคพิจารณาไว้พร้อมแล้วเพื่อลงสนามเลือกตั้งท้องถิ่นของกทม. คือการเลือกตั้ง ส.ก. และผู้ว่าฯ กทม. ที่กำลังจะมีขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ดักคอใช้อำนาจรัฐ-เงินหาเสียง

ด้านนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ รองประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) และคณะทำงานเพื่อเตรียมการยกร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พรรคร่วมรัฐบาล กล่าวว่า ทุกพรรคมีสิทธิ์ที่จะประกาศ แต่พรรคไหนจะได้ส.ส.จำนวนเท่าไรอยู่ที่ประชาชนเป็นคนตัดสินใจ ตนเคารพประชาชนและมั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่เป็นสถาบันทางการเมือง เราก็เป็นที่หวังพึ่งของประชาชนตลอดมา ฉะนั้นเข้าใจว่าในกทม. พรรคประชาธิปัตย์จะต้องได้ส.ส.เพิ่มแน่นอน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ให้ไปสู้กันในสนามการเลือกตั้งว่าประชาชนจะเลือกใครใช่หรือไม่ นายชินวรณ์กล่าวว่า คนจะดูนโยบาย ดูพรรคการเมือง ดูตัวบุคคลประกอบกัน ซึ่งต้องเคารพในฐานะที่เราเป็นนักประชาธิปไตย เป็นผู้ที่มาจากการเลือกตั้งก็ต้องเคารพเสียงของประชาชน เพียงแค่เป็นห่วงอย่างหนึ่งคือทุกพรรคต้องเคารพกฎกติกาในการเลือกตั้ง ต้องไม่ไปทำอะไรที่ใช้อำนาจรัฐหรือใช้อำนาจเงินมาเป็นปัจจัยสำคัญในการหาเสียง

ยันไม่เอาไพรมารีโหวต

นายชินวรณ์กล่าวว่า สำหรับการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) หรือกฎหมายลูก ว่าการเลือกตั้งส.ส.และพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ของพรรคประชาธิปัตย์ในประเด็นเรื่องการ คำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) จะเอาความชัดเจนตามรัฐธรรมนูญ ที่มีการระบุชัดเจนแล้วว่าจะเป็นสัดส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนบัญชีรายชื่อคือ 100 คน ฉะนั้นหากได้ร้อยละ 60 ก็จะได้ ส.ส. 60 คน ที่เหลือหากพรรคการเมืองใดมีเศษมากที่สุดก็จะได้ส.ส.พรรคนั้นไป

ส่วนเรื่องไพรมารีโหวต ซึ่งขณะนี้มีความคิดเห็นเดิมคือ ไม่เห็นด้วยกับไพรมารีโหวตเพราะคิดว่าการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนควรมาจากระบบพรรคการเมือง เพื่อทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่ระบบที่ทำตามบท เฉพาะกาลในคราวที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติได้จริงและเป็นเรื่องการจัดทำไพรมารีโหวตแบบจอมปลอมคือ ให้เสนอมา 100 ชื่อแล้วให้เลือกตัวเองและส่งชื่อตัวเองไป ซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นภาระกับพรรคการเมืองโดยไม่ใช่เหตุ ในขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปแต่จะไปคุยกับคณะทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรที่จะลดขั้นตอนที่ซับซ้อนเหล่านี้ให้ออกไปได้มากที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเสนอร่างให้กับนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ช่วงใด นายชินวรณ์กล่าวว่า ตอนนี้ได้มอบหมายให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคไปเสนอร่างมาเข้าที่ประชุมคณะทำงานในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นหากเห็นพ้องต้องกันเป็นส่วนใหญ่ก็จะเสนอร่างในนามของพรรคร่วมรัฐบาล โดยที่ตกลงกันไว้จะเสนอเป็นร่างฉบับเดียว เพื่อให้เป็นเอกภาพและคาดว่าปลายเดือนธ.ค.น่าจะลงชื่อร่วมกันได้

ตั้งคณะทำงานถกร่างกม.ลูก

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาร่างพ.ร.ป.ทั้งสองฉบับ ซึ่งมีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นประธานที่ปรึกษา และตนเป็นประธานคณะทำงาน มี น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ เป็นเลขานุการ คณะทำงานทั้งหมด 7 คน และคณะที่ปรึกษาอีก 6 คน โดยคณะทำงานจะดำเนินการยกร่างพ.ร.ป. ทั้งสองฉบับ มีการประสานงานกับคณะทำงานของวิปรัฐบาล เพื่อพูดคุยแสวงหาความเห็นพ้องต้องกันในหลายประเด็นสำคัญ

ในส่วนของพรรค การประชุม ส.ส.เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้พิจารณาในประเด็นสำคัญของร่างพ.ร.บ.ทั้งสองฉบับ ไปบ้างแล้ว เช่น วิธีการคำนวณคะแนน การใช้เบอร์ของผู้สมัครและพรรคการเมือง การเพิ่มเติมในเรื่องการป้องกันการทุจริตการเลือกตั้ง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง เช่น เรื่องไพรมารีโหวต ค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงสมาชิกพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดและสาขาพรรค และเรื่องอื่นๆ ขณะนี้คณะทำงานอยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทั้งสองร่าง และจะนัดประชุมอีกครั้งในสัปดาห์นี้ เพื่อนำประเด็นต่างๆ มอบให้กับนาย ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช ไปประชุมร่วมกับคณะทำงานของวิปรัฐบาลต่อไป

เพื่อไทยแจงเนื้อหาคล้ายกกต.

นายชูศักดิ์ ศิรินิล คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรค เพื่อไทย ในฐานะประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค กล่าวว่า เนื้อหาในร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย จะคล้ายกับร่างของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งวิธี คำนวณส.ส. ที่รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมมีเนื้อหาแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมปี 2554 โดยวิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต้องนำคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อมาหารด้วยหนึ่งร้อยตามส.ส.บัญชีรายชื่อ แล้วไปดูคะแนนของแต่ละพรรคว่าจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ กี่คน จะคิดส.ส.แบบพึงมีไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้แบบนี้

ส่วนกรณีถ้าได้ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ถึงหนึ่งร้อยคน ควรให้พรรคที่มีคะแนน เศษมากที่สุดไม่จำเป็นว่าพรรคนั้นต้อง มีส.ส.หรือไม่ ส่วนเรื่องเบอร์ที่ใช้ในการเลือกตั้ง ก็ให้ใช้เบอร์เดียวทั้งประเทศ โดยใช้เบอร์จากการสมัครส.ส.บัญชี รายชื่อเป็นตัวตั้ง

สำหรับร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น มีคำถามว่าไพรมารีโหวตยังต้องทำอยู่หรือไม่ เมื่อรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ที่กำหนดให้เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกําหนดนโยบาย และการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งยังคงมีอยู่ หมายความว่าต้องรับฟังความคิดเห็นสมาชิกในการส่งผู้สมัคร ดังนั้นไพรมารีโหวตยังต้องมีอยู่ แต่เราจะเสนอวิธีการให้มีความคล่องตัวมากขึ้น เช่น จังหวัดไหนมีสาขาพรรค มีตัวแทนพรรค ไม่ว่าจะกี่เขตก็ตามให้ส่งผู้สมัครได้ทั้งจังหวัด โดยสัปดาห์นี้จะนำเนื้อหาเข้าหารือกับแกนนำพรรค และหารือในที่ประชุม ส.ส.ก่อนจะยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

หึ่ง!‘นิพิฏฐ์’จับมือ‘4 กุมาร’ตั้งพรรค

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “I shall return (ฉันจะกลับมา)” โดยมีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นพร้อมให้กำลังใจนายนิพิฏฐ์เป็นจำนวนมาก และเรียกร้องให้กลับมาลง สมัครส.ส.พัทลุงอีกครั้ง ขณะที่นายนิพิฏฐ์ได้ตอบกลับความคิดเห็นช่วงหนึ่งว่า “ทำสงครามครั้งสุดท้าย เพื่อคนพัทลุง พี่จะสมัครหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง แต่ขอส.ส.พัทลุง ทั้ง 3 คน 3 เขต เพื่อพัทลุง อย่าให้เลือกเพื่อให้คนนั้นคนนี้ ได้เป็นส.ส. แต่ต้องเลือก เพื่อคนรุ่นลูก รุ่นหลาน”

รายงานข่าวเปิดเผยว่า นายนิพิฏฐ์เตรียมไปยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ต้นเดือนธ.ค.นี้ และจะไปจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ร่วมกับกลุ่ม 4 กุมารของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน อดีตรมว.คลัง และอดีตหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พลังงาน และอดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โดยเป็นพรรคที่ชูแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการฟื้นฟูพื้นที่ภาคใต้ และแก้ปัญหาปากท้องประชาชน

ว่าที่ผู้สมัครก.ก.พ้นขีดอันตราย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กของ นายอดิศักดิ์ สมบัติคำ หรือ จ่าตา ว่าที่ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) เขต 1 มหาสารคาม แจ้งเมื่อช่วงค่ำวันที่ 27 พ.ย. ว่า นายอดิศักดิ์ อยู่ในห้องไอซียู เนื่องจากมีคนร้ายบุกใช้มีดตะขอยาวฟันคอ อาการสาหัส รอผ่าตัดที่โรงพยาบาลมหาสารคาม

เวลา 12.00 น. วันที่ 28 พ.ย. นาย ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนี้ นายอดิศักดิ์ ออกจากห้องไอซียูแล้ว ไปอยู่ในห้องปลอดเชื้อ แต่ยังไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ เท่าที่ทราบคือผู้ก่อเหตุเหมือนจะมีประวัติเคยเข้ารับการรักษาทางจิต แต่เท่าที่พูดคุยกับทีมงานของนายอดิศักดิ์ที่มีการสอบถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ พฤติการณ์ของผู้ก่อเหตุคือมีการเตรียมการมา มีการพันหน้าพันตามาพอสมควร ดังนั้น คงยังด่วนสรุปไม่ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่มีอาการทางจิต ซึ่ง เจ้าหน้าที่ต้องสอบสวนเรื่องนี้อย่างชัดเจน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องกำชับลูกพรรคอย่างไร เพราะการเมืองจะร้อนแรงมากขึ้น นายชัยธวัช กล่าวว่า คงต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะเข้าช่วงการเลือกตั้ง ผู้สมัครทุกคนต้องระวังตัวอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ

พ.ต.อ.เจษฎา เปรมโต ผกก.สภ.นาเชือก จ.มหาสารคาม กล่าวว่า พนักงานสอบสวนยังไม่ได้สอบปากคำทั้งผู้ก่อเหตุและผู้เสียหาย ซึ่งผู้ก่อเหตุที่คลุ้มคลั่งก็ ต้องไปดูว่า มีประวัติได้รับการรักษาที่ โรงพยาบาลจิตเวชหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อหาใดๆ ต้องรอให้ทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ต้องหา ออกจากโรงพยาบาลก่อน และเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องดำเนินการต่อไป แต่เบื้องต้นยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง

คาดเป็นเรื่องการเมือง

ต่อมา นายอะดิศักดิ์ ได้ออกจาก โรงพยาบาลแล้ว พร้อมเดินทางไปเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล และนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่บ้านเกิดในต.หนองเรือ อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม และให้สัมภาษณ์ว่า วันเกิดเหตุตนกำลังคุยธุระกับเพื่อนอยู่ที่โรงโม่ปูน จู่ๆ ผู้ก่อเหตุก็ได้เดินเข้ามาทำร้ายตนเองพร้อมกับอาวุธมีดตะขอ โดยพยายามทำร้ายตน และฟันเข้าที่ลำคอของตน

จากนั้นได้เกิดการต่อสู้กันขึ้น เนื่องจากตนตัวใหญ่กว่าจึงหลบทันแล้ววิ่งออกมาที่ถนนหน้าโรงโม่ปูน เพื่อให้คนช่วยพาโรงพยาบาลรักษาอาการบาดเจ็บ ซึ่งตนได้รับบาดเจ็บที่ลำคอยาวประมาณ 20 เซนติเมตร และต้องเย็บถึง 120 เข็ม ตนได้ขอหมอออกจากโรงพยาบาล เพื่อมาใช้สิทธิเลือกตั้งอบต. เพื่อไม่ให้ตนเสียสิทธิทางการเมืองในการลงสมัคร ส.ส. สมัยหน้า

สำหรับผู้ก่อเหตุ ตนไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่เคยเห็นหน้าอยู่ในตลาดสดเทศบาลตำบลนาเชือก ไม่เชื่อว่าคนร้ายจะมาทำร้ายตนด้วยอาการจิตเวช หรืออาการหึงหวง เพราะที่ผ่านมา ตั้งแต่ตนลงสนามการเมืองมักมีชายลึกลับเฝ้าติดตามอยู่ตลอด จึงไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ตัดประเด็นใดประเด็นหนึ่งออก และให้ความสำคัญกับคดีให้ถึงที่สุด

จากนั้นร้อยเวรเจ้าของคดี ได้เดินทางมาถึง เพื่อสอบปากคำนายอดิศักดิ์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน