หนุ่มบุกกระทรวงร้องรมว.ยุติธรรม ขอความเป็นธรรมภรรยาซดพิษฆ่าตัวตาย หลังศาลฎีกายกฟ้องแพ้คดีพี่เขยขืนใจที่ต่อสู้มานาน 3 ปี คาใจอาจมีพยานเท็จ หลักฐานปลอม เลขานุการรัฐมนตรีรับเรื่องส่งต่อเจ้ากระทรวง ยันไม่ก้าวล่วงคำพิพากษา แต่จะยกเป็นกรณีศึกษาเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมศึกษาเพื่อหาทางแก้ไข

เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ที่ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากชายอายุ 32 ปี ที่ต้องการร้องขอความเป็นธรรมต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กรณีภรรยา อายุ 29 ปี กินยาฆ่าตัวตายเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ก่อนเสียชีวิตในวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง หลังต่อสู้คดีถูกพี่เขยขืนใจมานาน 3 ปี แต่สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องผู้ถูกกล่าวหา โดยมีนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความชื่อดัง และประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พาเข้าร้องเรียน

ครอบครัวต้องการให้ตรวจสอบคดีว่ามีพยานปากใดเบิกความเท็จหรือให้การเท็จในคดี หรือมีพยานหลักฐานปลอมหรือไม่ และเหตุใดศาลฎีกาจึงมีคำสั่งยกฟ้องโจทก์ และขอให้ตรวจสอบข้อกฎหมายว่ามีมาตรการใดในการช่วยเหลือผู้เสียหายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดี ในกรณีคดีถึงที่สุดแล้ว เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิต

ด้านว่าที่ร้อยตรีธนกฤตเปิดเผยว่า ในนามของเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยหลังเกิดเรื่องในส่วนของกระทรวงยุติธรรมเข้าไปช่วยเยียวยาสิทธิค่าตอบแทนในคดีอาญาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตแล้ว แต่คงต้องพิจารณาทบทวนบทเรียนเกี่ยวกับช่องว่างของกฎหมายที่มีอยู่ โดยจะนำเรียน รมว.ยุติธรรม เพื่อให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือศึกษาร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไข

“คดีดังกล่าวเจ้าพนักงานสอบสวนต้องดูว่าพยานหลักฐานในคดีครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ อย่างไร เหตุใดศาลฎีกาจึงมีคำสั่งยกฟ้องเพราะครอบครัวผู้ตายยังติดใจ แต่ผมคงไม่ขอก้าวล่วงอำนาจศาล อย่างไรก็ตาม อยากให้กฎหมายเด็ดขาดและศักดิ์สิทธิ์จริงและอยากให้เคสดังกล่าวเป็นกรณีศึกษา ซึ่งผมอยากให้นักกฎหมาย ศาล ทนาย และอัยการ ที่มีความชำนาญเข้ามาช่วยกันแก้ไข เพื่อหาวิธีลงโทษคนทำผิดให้หนักที่สุด” ว่าที่ร้อยตรีธนกฤตกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า จุดเริ่มต้นคดีฟ้องร้องดังกล่าว เกิดเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2562 ครอบครัวผู้เสียชีวิตใน จ.สุพรรณบุรี จัดงานเลี้ยงสังสรรค์เนื่องในวันสงกรานต์ และตั้งวงดื่มสุรากันภายในครอบครัว กระทั่งนั่งดื่มเหล้าสักพักสาวผู้เสียชีวิตเมา สามีจึงพาไปนอนในตัวบ้าน โดยภายในบ้านก็มีคนอยู่ จากนั้นไปเก็บของที่ด้านล่างบ้าง เมื่อเข้ามาที่ห้องไม่พบภรรยาจนเดินไปดูที่ห้องน้ำเห็นนอนฟุบหน้าร้องไห้ ก่อนเผยว่ามีคนเข้ามาลวนลามและจำหน้าได้

จากนั้นแจ้งความและรอบแรกในข้อหาถูกกระทำชำเรา เจ้าหน้าที่มาเก็บหลักฐานที่บ้าน และพบว่าดีเอ็นเอที่ตกในกางเกงตรงกับนายดำ (นามสมมติ) พี่เขยของสามี แต่หลักฐานไม่เพียงพอศาลชั้นต้นตัดสินให้มีความผิดในข้อหากระทำอนาจาร แต่อีกฝ่ายสู้คดีความต่อและขอประกันตัวไป จนเรื่องถึงศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนโทษตามศาลชั้นต้น จำเลยหาขอสู้คดีความต่อ กระทั่งศาลฎีกาตัดสินให้ยกฟ้องผู้ต้องหา โดยวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีพิรุธและยังมีความสงสัยว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย

สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวโดยสรุป ระบุว่า พนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์ บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 62 เวลากลางคืน จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารผู้อื่น และให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา

เนื่องจากผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยา ศาสตร์ไม่พบเชื้ออสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหาย แต่พบหลักฐานว่ากางเกงของผู้เสียหายที่ใส่ในคืนเกิดเหตุ เมื่อนำไปตรวจพิสูจน์แล้วพบดีเอ็นเอของจำเลย โดยไม่พบอสุจิ จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 (เดิม) ลงโทษ จำคุก 3 ปี และให้จำเลยชำระเงินแก่ผู้เสียหาย 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่เกิดเหตุ จนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า ผู้เสียหายให้การในชั้นสอบสวนว่า ขณะผู้เสียหายรู้สึกตัวขึ้นมามองเห็นจำเลยกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ต่างกับที่ให้การในชั้นศาลว่าขณะเกิดเหตุจำเลยทำอะไรกับผู้เสียหายบ้าง ผู้เสียหายไม่ทราบและผู้เสียหายอ้างว่าไม่รู้สึกตัว และที่สามีของผู้เสียหายให้การว่านำกางเกงที่เป็นหลักฐานมาดมดูแล้วได้กลิ่นเหมือนอสุจิผู้ชายนั้น ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ไม่พบคราบอสุจิของจำเลยที่กางเกง ดังกล่าว และไม่พบผลตรวจดีเอ็นเอของผู้เสียหายในกางเกงดังกล่าวเลย

พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีพิรุธและยังมีความสงสัยว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย โดยขึ้นคร่อมบนตัวผู้เสียหายและหลั่งน้ำอสุจิบนร่างกายผู้เสียหายหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยฐานกระทำอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 (เดิม) และยกคำร้องของผู้ร้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

วันเดียวกัน พี่เขยที่เป็นคู่กรณีผู้ถูกกล่าวหาเผยว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหากันมาก่อน แต่พอมีเรื่องกันก็ไม่เคยพูดคุยกันอีกเลย เรื่องที่เกิดขึ้นในงานวันสงกรานต์ ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะอยู่กับภรรยา แม่ยาย และหลานด้วย เพิ่งจะทราบเรื่องหลังจากที่เกิดเหตุแล้ว แต่ตอนแรกผู้ตายไม่ได้บอกว่าตนเป็นคนทำ แต่สงสัยทุกคนในบ้าน หลังจากเกิดเรื่องเจ้าหน้าที่เข้ามาเก็บหลักฐานของผู้ต้องสงสัยทุกคน

แต่ดีเอ็นเอที่พบในกางเกงที่นำไปตรวจตรงกับของตนพอดี ผู้ตายจึงปักใจว่าตนเป็นคนทำ ทั้งนี้สาเหตุที่ตรวจเจอ คาดว่าทุกคนอยู่ในบ้านหลังเดียวกันมักจะซักผ้ารวมกัน และกางเกงของตนบางครั้งแฟนของตนก็เอาไปใส่ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เหมือนกับตายทั้งเป็นพยายามต่อสู้ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ก่อนที่จะไปศาลฎีกาก็ทำใจไว้แล้วถึงขั้นนอนกอดกัน 3 คนพ่อแม่ลูกแล้วร้องไห้ ตัดพ้อกับชีวิตของตัวเอง กระทั่งศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในที่สุด

ในวันที่อีกฝ่ายปีนเข้ามาในบ้านก่อเหตุเปิดแก๊สและดื่มยาฆ่าตัวตายนั้นไม่ได้อยู่บ้านขณะเกิดเหตุ แต่มีเพื่อนบ้านมาเห็นทันพอดีจึงช่วยพาส่งโรงพยาบาล จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรู้สึกเสียใจ และไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้และไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร และทำไมต้องไปทำที่หลังบ้านของผม ส่วนตัวไม่เคยคิดทำร้ายตัวเอง เพราะนึกถึงครอบครัวอยู่เสมอ และถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นวิบากกรรม เพราะอ่านใจ อ่านความรู้สึกอีกฝ่ายไม่ได้ นอกจากนี้พยายามเจรจาและทำทุกวิธีเพื่อยืนยันว่าไม่อย่างที่ถูกกล่าวหา ถึงขั้นที่พ่อตาแม่ยายต้องถือพานไปกราบเท้า และบอกว่าถ้าอยากได้อะไรก็ให้หมด เพราะทุกคนเป็นคนในครอบครัว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมจนศาลตัดสินและมาเกิดเรื่องในที่สุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน