ทุจริตบ้านเอื้อฯ‘3ป.’หม่ำชื่นมื่นตู่-ป้อมโชว์ปึ้ก!

ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษายืนจำคุก‘วัฒนา เมืองสุข’ 99 ปี ส่งตัวเข้า เรือนจำทันที ปิดฉากคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทรอดีตรมว.พม.ลั่นเตรียมถวายฎีกา พี่น้อง‘3 ป.’ โชว์ปึ้กอีก ตั้งวงหม่ำข้าวกลางวันที่มูลนิธิ ป่ารอยต่อฯ ‘ตู่-ป้อม’โชว์สวมกอดกันแน่น ‘ชลน่าน’เผย 7 มี.ค.ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน เตรียมซักฟอกรัฐบาล ก้าวไกลลั่นจะทำทุกทางคว่ำให้ได้ ศาลปกครองสูงสุดรับคำขอพิจารณาใหม่ คดีค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้าน ‘พีระพันธุ์’แจงเริ่มสู้คดีใหม่ในศาลชั้นต้น ยึดข้อกฎหมายคดีขาดอายุความแล้ว ชี้เป็น ผลงานโบแดงรัฐบาล

‘วัฒนา’ฟังอุทธรณ์คดีบ้านเอื้อ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 4 มี.ค. องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิพากษาอุทธรณ์คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ(กคช.) หมายเลขดำ อม.อธ. 1/2565 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และพวกรวม 14 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐาน เป็น เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11

คดีนี้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และเริ่มตรวจสอบการกระทำผิดในช่วงคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก่อนเปลี่ยนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวนต่อ กระทั่งปี 2560 ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิด นายวัฒนา พร้อมจำเลยคนอื่นๆ อีก 14 คน กรณีทุจริตเรียกรับสินบนจากบริษัท พาสทิญ่า จำกัด ผู้รับเหมาโครงการบ้านเอื้ออาทร ผ่านบริษัทและลูกจ้างบริษัท เพรซิเด้นท์เทรดดิ้ง จำกัด จำนวน 82.6 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติในการเข้าเป็นคู่สัญญากับกคช. แต่ได้มีการจ่ายสินบนเพื่อให้สามารถเข้าเป็น คู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้

นายวัฒนาให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำพิพากษาว่า วันนี้มั่นใจในการต่อสู้คดี แต่เตรียมใจไว้ 2 ด้าน และยอมรับคำพิพากษา หากไม่เป็นไปตามครรลองจะสู้คดีจนสุดทาง รวมถึงการถวายฎีกาในฐานะพสกนิกร เชื่อมั่นว่าในคดีนี้เป็นเรื่องการเมืองล้านเปอร์เซ็นต์

คุก 99 ปี – นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมต.พม.มาฟังคำพิพากษาอุทธรณ์คดีทุจริตบ้าน เอื้ออาทร โดยองค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาให้ชดใช้เงิน 89 ล้านบาท และยืนจำคุก 99 ปี ที่ศาลฎีกานักการเมือง เมื่อวันที่ 4 มี.ค.

ศาลฯพิพากษายืนจำคุก 99 ปี
คดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาเมื่อ 24 ก.ย.2563 เห็นว่าพวกจำเลยร่วมกันกระทำผิดจริง โดยนายวัฒนา จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามมาตรา 148 รวมความผิด 11 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 9 ปี รวมจำคุก 99 ปี และจำคุกเสี่ยเปี๋ยง หรือนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 4 เป็นเวลา 66 ปี แต่ตามกฎหมายให้จำคุกได้สูงสุด 50 ปี จำคุกน.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง จำเลยที่ 5 เป็นเวลา 20 ปี น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว จำเลยที่ 6 เป็นเวลา 44 ปี น.ส.รุ่งเรือง ขุนปัญญา จำเลยที่ 7 เป็นเวลา 32 ปี ปรับจำเลยที่ 8 จำนวน 2 แสนกว่าบาท และจำคุกนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง จำเลยที่ 10 เป็นเวลา 4 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3, 9, 11-14 โดยในส่วนของนายวัฒนา ได้อุทธรณ์คดี

เวลา 16.50 น. องค์คณะชั้นวินิจฉัย อุทธรณ์พิพากษาเเก้โทษริบทรัพย์ นายวัฒนา จำเลยที่ 1,4,5,6,7,8 เเละ 10 ร่วมชดใช้เงิน 89 ล้านบาท ในส่วนอาญาอุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนจำคุก 99 ปี คงจำคุกจริง 50 ปี จึงให้ออกหมายจำคุกถึงที่สุดจำเลยที่ 1 และออกหมายจับจำเลยที่ 6,7 และ 10 มาฟังคำพิพากษาวันที่ 27 เม.ย.นี้ เวลา 14.00 น.








Advertisement

นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทนายความของนายวัฒนา กล่าวว่า ทีมทนายความต้องกลับมาคิดทบทวนว่าเรามีประเด็นการดำเนินการที่ผิดพลาดตรงไหนหรือไม่ เเต่จากที่คุยกับนายวัฒนา เรายอมรับคำพิพากษา เพราะเป็นกติกาของกระบวนการยุติธรรม เเต่ไม่ได้หมายความว่านายวัฒนายอมรับว่าได้กระทำผิด นายวัฒนาฝากตนมาว่าการที่ได้ต่อสู้คดีมาตั้งเเต่ปี 2549 จนถึงวันนี้เป็นการเเสดงเจตนาให้เห็นว่าตนเองบริสุทธิ์ เมื่อสักครู่ได้คุยกันหลายเรื่องก่อนที่เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ

ตอนนี้ต้องยอมรับว่านายวัฒนาเป็นมนุษย์ประหลาดมีจิตใจที่เข้มเเข็งไม่กระทบ กระเทือนเเละไม่พูดจาก้าวล่วงต่อศาล เเต่ขอให้นายวัฒนาได้ตั้งหลักนิดนึง วันนี้ก็มียาลดความดัน ยาโรคหัวใจ เเละโรคเกี่ยวกับตับ หลังจากนี้จะประสานความเป็นอยู่ของการรับการรักษาพยาบาลตามกระบวนการของราชทัณฑ์ ในกรณีผู้ต้องขังสูงอายุ ส่วนเรื่องจะยื่นขอพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ค่อยพิจารณาต่อจากนี้

เชฟป้อม – ขบวนรถพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ออกจากทำเนียบ ไปรับประทานอาหารกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย โดยพล.อ.ประวิตรโชว์ฝีมือผัดกุ้งกระเทียมเป็นเมนูพิเศษ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เมื่อวันที่ 4 มี.ค.

‘3 ป.’ชื่นมื่น-น้องตู่โชว์กอดพี่ป้อม
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่า หลังจากช่วงเช้า เข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล และเรียกนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน และนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เข้าหารือกรณีราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้น เป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นเวลา 11.18 น. พล.อ.ประยุทธ์ และนายทหารคนสนิท ออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยรถยนต์ส่วนตัว

รายงานข่าวเปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปยังมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เพื่อรับประทานอาหารกลางวันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ตามประสาพี่น้อง 3 ป. และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์การเมืองต่างๆ โดยไม่อนุญาตให้คนอื่นอยู่ในห้องด้วย

สำหรับอาหารมื้อกลางวันของ 3 ป. อาทิ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ข้าวหมกไก่ ผัดกุ้งกระเทียม ของหวานและผลไม้ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น โดยพล.อ.ประวิตร ได้ลงมือทำผัดกุ้งกระเทียมด้วยตนเอง และระหว่างรับประทานอาหาร พล.อ.ประวิตรในฐานะพี่ชายใหญ่ ได้ตักกุ้งให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ รับประทานทานอาหารได้เยอะมากกว่าทุกครั้ง ใช้เวลาร่วมกันประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนเดินทางกลับทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้กอดกับพล.อ.ประวิตร อย่างแนบแน่น

‘สมชาย’ค้านชงครอบงำพรรคในกมธ.
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) หรือกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ให้สัมภาษณ์ว่า การพิจารณาในกมธ. ในส่วนของร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จะถกกันเรื่องบัตรเบอร์เดียวกันหรือไม่ มีวิธีการนับคะแนนอย่างไร รวมถึงประเด็นที่ ไม่เกี่ยวข้องแต่มีการนำมาแก้ไขในชั้นกมธ.

ส่วนร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง จะดูเฉพาะเรื่องไพรมารีโหวต ที่จะทำอย่างไรให้คงอยู่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องดูร่างของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นหลักก่อน แต่ต้อง ฟังเสียงของส.ส.ด้วย ตนได้เสนอว่าการทำ ไพรมารีโหวตควรจะผ่อนปรนได้บางระดับ และต้องมีพัฒนาการเป็นระยะๆ เช่น การเลือกตั้งสมัยถัดไปจะทำไพรมารีโหวตแค่ไหน จะทำอย่างไร

สำหรับประเด็นอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น การให้บุคคลอื่นครอบงำพรรค หากมีการนำมาเสริมในชั้นกมธ.หรือแปรญัตติเพิ่ม จะคัดค้านและต้องถกเถียงกันต่อไป ส่วนเรื่องการยุบพรรค ซึ่งมีประเด็นต่างๆ เป็นจำนวนมากและไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งนั้น สามารถทำร่างเสนอเข้ามาใหม่ได้เมื่อเปิดประชุมสภา วันที่ 22 พ.ค. เพื่อตั้งกมธ.ขึ้นมาพิจารณาเฉพาะเรื่องใหม่ อย่าเสนอมาปนกันในครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นตนจะคัดค้าน ตนจะเห็นด้วยกับประเด็นที่จะทำให้การเลือกตั้งเดินหน้าไปได้ แต่ครั้งนี้อยากทำให้เสร็จและไม่อยากทำให้สับสน แม้ไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ แต่หากมีประเด็นเข้ามาก็จะต้องถกเถียงกัน ซึ่งอาจจะใช้เวลานานขึ้นอีกหลายเดือน หรืออาจจะพิจารณาไม่เสร็จก็ได้

ฝ่ายค้านดันพรรคเดียวเบอร์เดียว
ด้านนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.ป.เกี่ยวกับการเลือกตั้ง กล่าวว่า กรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้เป็นประธานกมธ. จะทำให้โอกาสที่คุยกันให้ใช้บัตรเลือกตั้งเบอร์เดียวสูงขึ้น ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านยืนหยัดผลักดันให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบเบอร์เดียวต่อไป

ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ใช่พรรคหลัก ก็สนใจบัตร 2 ใบเบอร์เดียว ส่วนที่เหลือยังไม่ได้ตรวจสอบว่ามีความเห็นอย่างไร แต่เบื้องต้น อยากได้เบอร์เดียวทั้งประเทศกันทั้งนั้น ดังนั้น เราจะผลักดันเต็มที่ เพราะถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะต้องทำให้ประชาชนสับสนและยุ่งยาก

เมื่อถามถึงการตั้งข้อสังเกตว่า บัตร 2 ใบเบอร์เดียว จะเปิดทางให้บางพรรคกินรวบ นายธีรัจชัยกล่าวว่า การกินรวบมีประเด็นซ้อน มาเยอะ พรรคขนาดใหญ่จะได้ประโยชน์ ส่วนพรรคขนาดกลาง และพรรคขนาดเล็ก อาจจะได้ประโยชน์ไม่สูง แต่ไม่ใช่ว่าพรรคใหญ่จะได้เปรียบเสมอไป เพราะประชาชนจะเป็น ผู้ประเมินผลงานและนโยบายที่พรรคนั้นเสนอ

ก.ก.ซุ่มทำการบ้านศึกซักฟอก
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการนัดหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อยื่นญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ว่า พรรคได้พูดคุยกันเบื้องต้นแล้วและเน้นย้ำกับส.ส.ทุกคนว่าหากยื่นญัตติแล้วต้องพร้อมอภิปราย ซึ่งช่วงการปิดสมัยประชุมสภาเรานำข้อมูลที่มีอยู่เดิมมาทำให้สมบูรณ์ขึ้นและแสวงหาข้อมูลเพิ่มด้วย และพรรคร่วมฝ่ายค้านต้องคุยกันเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าจะยื่นญัตติเมื่อใด และต้องประเมินสถาน การณ์ทางการเมืองเป็นระยะ โดยยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจอยู่ไม่รอด ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าจะเลือกอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อใดและอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำนวนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) ที่ยัง สะวิงอยู่ถึง 18 เสียง จะส่งผลต่อการโหวตอภิปรายหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ตัวชี้วัดสำคัญอย่างหนึ่งคือ การที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พลังประชารัฐไม่ได้เป็นประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.ป.เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีปัญหาเรื่องเสียงในสภาอย่างไร คือไม่สามารถล็อกเสียงได้อีกแล้ว ผลจึงออกมาเป็นว่านายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้เป็นประธานกมธ.

ประกอบกับสถานการณ์ของรัฐบาลที่ไม่สามารถคุมอะไรได้แล้ว จึงทำให้รัฐบาลอ่อนแอลง ตนไม่ทราบว่ารัฐบาลมีเสียงอยู่ในมือเท่าใด แต่อาจตอบอีกแบบว่ารัฐบาลเองก็ไม่รู้ว่าเสียงตัวเองมีอยู่เท่าใด เพราะต้องดูเสียงกันหน้างานแบบรายสัปดาห์

ทำทุกวิถีทางคว่ำรัฐบาล
ต่อข้อถามว่าในสมัยประชุมสภาช่วงเดือนพ.ค.นี้ จะมีกฎหมายสำคัญหลายฉบับเข้าสู่การพิจารณา ถือเป็นช่วงเสี่ยงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า กฎหมายแต่ละฉบับที่จะเข้าสภามีความสำคัญแตกต่างกัน หากเป็นกฎหมายที่ไม่ได้มีความสำคัญมากก็จะเป็นจุดที่ท้าทายรัฐบาล เพราะสภาอาจไม่ยอมผ่านกฎหมายให้ แต่ถ้ากฎหมายฉบับนั้นมีความสำคัญกับประชาชนก็เป็นไปได้ที่ทุกฝ่ายอาจยอมให้ผ่าน จุดสังเกตหนึ่งคือ ตอนนี้รัฐบาลไม่ค่อยส่งกฎหมายมาให้สภาพิจารณา คงกังวลว่ามือที่จะยกมีไม่เพียงพอ จนนำไปสู่การล้มรัฐบาลได้

เมื่อถามว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะใช้โอกาสช่วงที่เสียงของรัฐบาลไม่มั่นคงเพื่อล้มรัฐบาลหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านพยายามทำทุกวิถีทางที่จะคว่ำรัฐบาลอยู่แล้ว เพราะเชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่ควรอยู่ต่อไป ซึ่งได้เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกหรือยุบสภามาโดยตลอด แต่จะคว่ำรัฐบาลได้สำเร็จหรือไม่ ปัจจัยหลักๆ อยู่ที่เรื่องภายในของรัฐบาลเอง ที่กร่อนและเต็มไปด้วยสนิม ตนก็สงสัยว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยื้อต่อไปอีกทำไม ควรจะยอมๆ เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้

‘ชลน่าน’เผยนัดประชุม 7 มี.ค.
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 คาดว่าจะคุยกันเบื้องต้นสัปดาห์หน้า ซึ่งฝ่ายค้านอาจยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือบ้างแต่ไม่ใช่เรื่องหลัก เพราะเรื่องหลักที่จะพูดคุยกันในการประชุมวันที่ 7 มี.ค. คือเรื่องฝ่ายค้านพบประชาชนที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 มี.ค. แต่คงมีการฝากประเด็นนี้ให้แต่ละพรรคได้ไปดำเนินการจัดเตรียมข้อมูล และเตรียมการนำเสนอในการประชุมครั้งต่อๆ ไป เพราะต้องใช้เวลาพอสมควรในการรวบรวมเนื้อหา เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี

ขณะนี้เรามีข้อมูลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเบื้องต้นในมือแล้ว ตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จภายในเดือนเม.ย. ขณะเดียวกันต้องดูสถานการณ์และความจำเป็น เช่น อาจจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. การเลือกตั้ง ส.ก. หรือเรื่องกฎหมายลูกที่จะเข้ามา หากมีประเด็นเหล่านี้แทรกขึ้นมาอาจต้องรอให้มีจังหวะ และทำเรื่องการอภิปรายหลังเรื่องเหล่านี้

ผู้สื่อข่าวถามถึงความขัดแย้งภายในรัฐบาลผ่านการลงมติเลือกประธาน กมธ.พิจารณากฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเครื่องชี้วัดเชิงประจักษ์ ว่าในพรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียงได้ ยิ่งช่วงใกล้การเลือกตั้ง แต่ละพรรคก็ยิ่งเร่งแสดงจุดยืนของตัวเองเพื่อให้ประชาชนเห็น เรื่องอะไรที่เขาจะต้องเสี่ยงเขาก็ไม่เสี่ยง

เมื่อถามว่าในอนาคตจะจับมือกันล้มรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ได้หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า จะตีความไปลึกถึงขนาดนั้นได้หรือไม่ ต้องดูข้อมูลข้อเท็จจริงและสถานการณ์ เพราะอย่างพรรคภูมิใจไทย อยู่บนสถานการณ์ว่าเขาได้หรือไม่ได้อะไร ครั้งนี้พรรคภูมิใจไทยไม่อยากได้นายไพบูลย์ และเคยมาคุยว่าให้พรรคเขาเป็นประธานกมธ. แต่คนก็รับไม่ได้ ก็มีทางเลือกคือการเสนอคนขึ้นมาจาก ครม.

‘จุรินทร์’เปิดตัวผู้สมัครสมุทรสาคร
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ จ.สมุทรสาคร นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อม น.ต.สุธรรม ระหงษ์ ผอ.พรรค นายกุลวัชร หงษ์คู อดีตนายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร พบปะสมาชิกพรรคในการประชุมใหญ่สามัญตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ เขตเลือกตั้งที่ 1 และ 2 บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีสมาชิกต้อนรับและขอถ่ายภาพจำนวนมาก พร้อมให้กำลังใจและสนับสนุนนายจุรินทร์ให้ได้เป็น นายกฯ คนต่อไป และสนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะ

นายจุรินทร์กล่าวว่า เลือกตั้งครั้งหน้า จ.สมุทรสาคร มีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 4 เขต เนื่องจากมีประชากรเพิ่มขึ้น ขณะนี้มีผู้เสนอตัวลงสมัครในนามพรรคแล้วอย่างน้อย 4 คน ประกอบด้วย นายนิติรัฐ สุนทรวร อดีต ส.ส.สมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์, นาย ชวพล วัฒนพรมงคล นักการเมืองรุ่นใหม่ เป็นรองนายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร รองประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสาคร, นาย ภูดิส แก้วตระกูลโชติ วิศวกรหนุ่ม อดีตรองนายก อบต.ท่าทราย และนายธนวัฒน์ ทองโต (ส.จ.ช้าง) ทนายความ

การที่พรรคมีการเตรียมตัวว่าที่ผู้สมัครหรือผู้สนใจ ถือเป็นความพร้อมส่วนหนึ่ง ส่วนเรื่องนโยบายและเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่ส่วนกลางจะเป็นผู้ดำเนินการ แต่มีการเตรียมการสำหรับนำเสนอไว้แล้ว รวมถึงการเตรียมนโยบายระดับภาคด้วย สำหรับ จ.สมุทรสาคร 4 คนนี้ ถือเป็นบุคคลที่มีศักยภาพพร้อมเป็นผู้แทนราษฎร “วันนี้เราได้เพชรน้ำดี 4 เม็ด จาก จ.สมุทรสาคร ที่เสนอตัวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของพรรคตามขั้นตอนกฎหมาย ขอให้พวกเราช่วยกัน ส่งเสริมสนับสนุนให้ทั้ง 4 คนได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นส.ส.ในอนาคตต่อไป และมีการแบ่งเขตเป็น 4 เขต ตามที่ทุกคนคาดหวัง”

รัฐบาลเฮ!ชนะคดีโฮปเวลล์
วันเดียวกัน ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ในคดีคำร้องที่ 394-396/2564 ระหว่าง กระทรวงคมนาคม ผู้ร้องที่ 1 และการรถไฟแห่งประเทไทย (รฟท.) ผู้ร้องที่ 2 กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้คัดค้าน ที่กระทรวงคมนาคม และรฟท. อุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลางที่ไม่รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ไว้พิจารณานั้น เป็นให้รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ไว้พิจารณา เท่ากับสั่งรื้อคดีค่าโง่ โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้านบาท

ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า จากคำพิพากษาในคดีดังกล่าวที่ศาลปกครองสูงสุดเคยวินิจฉัยว่า บริษัท โฮปเวลล์ฯ รู้ว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ม.ค.2541 อันเป็นวันที่ได้รับหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาจากกระทรวงคมนาคม เมื่อสัญญาระหว่างคู่พิพาทไม่ได้กำหนดเรื่องระยะเวลาการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการไว้โดยเฉพาะ การเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ จึงกระทำได้ภายในอายุความการฟ้องคดีต่อศาล เมื่อข้อพิพาทได้เกิดขึ้นก่อนที่ศาลปกครองเปิดทำการ การนับอายุความการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการ คือ วันที่ 9 มี.ค.2544 เมื่อบริษัท โฮปเวลล์ฯ ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อ วันที่ 24 พ.ย.2547 อันเป็นการยื่นภายในกำหนดระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญา ข้อพิพาทนี้จึงเป็นข้อพิพาท ที่เสนอต่อคณะอนุญาโตตุลาการภายในระยะเวลาโดยชอบแล้ว

ทั้งนี้ แม้ว่าคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวจะไม่ได้ระบุถึงที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดโดยตรง แต่ก็เริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ศาลปกครองเปิดทำการตามที่กำหนดในมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2545

ศาลฯมีคำสั่งรับคำขอพิจารณาใหม่
ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มติที่ ประชุมใหญ่ฯ เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องคดีปกครองดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และโดยที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ดังนั้นการที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ตามแนวทางที่กำหนดโดยมติที่ประชุมใหญ่ฯ จึงเป็นกรณีที่ข้อกฎหมายที่ศาลปกครองสูงสุดใช้ในการทำคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ซึ่งทำให้ผลแห่งคำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นกระทรวงคมนาคม และรฟท. จึงชอบที่จะ ขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมี คำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ได้ ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

แม้ว่ามาตรา 212 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวงแต่ไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญข้างต้น มิได้มีผลเป็นการห้ามมิให้คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียในคดีนำผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564 มาใช้เป็นข้ออ้างในการขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีนี้ใหม่แต่อย่างใด ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของกระทรวงคมนาคม และรฟท.ไว้พิจารณา

‘พีระพันธุ์’ชี้ผลงานโบแดง
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้ารับฟังการอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุดว่า หลังศาลปกครองสูงสุดให้พิจารณาคดีใหม่ กระบวนการก็จะกลับไปพิจารณาใหม่ ซึ่งเราโต้แย้งว่าคดีขาดอายุความ ส่วนการบังคับคดีจะต้องงดการบังคับคดีตามที่ศาลปกครองสูงสุดสั่ง

สำหรับตนถือเป็นข่าวดี เพราะอย่างน้อยที่ต่อสู่กันมาไม่รู้กี่ปีเราไม่เคยประสบความสำเร็จเลย นี่เป็นครั้งแรก ต้องขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการเมือง รัฐมนตรีคมนาคม และนายกฯ ที่ให้โอกาสพวกเราทำงานต่อสู้กันอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นตัวอย่างในการร่วมมือกันทำงาน และทำให้เห็นสิ่งที่ดีๆ ทางการเมืองเหมือนกัน หากใช้การเมืองในการทำให้เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองในการร่วมมือกัน ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลนี้

ด้านนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ กล่าวว่า หลังจากนี้ต้องกลับมาพิจารณาคดีใหม่เริ่มที่ศาลปกครองชั้นต้น ซึ่งประเด็นปัญหาใน ข้อเท็จจริงจบไปแล้ว เท่ากับว่าวันนี้จะมีเฉพาะประเด็นข้อกฎหมายเท่านั้น ต้องรอว่าศาลปกครองกลางจะกำหนดนัดอย่างไร ต้องถือเป็นโอกาสประเทศไทย เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่มีลักษณะคล้ายแบบนี้

เมื่อถามว่าโอกาสที่จะไม่ต้องจ่ายเงินมีเยอะหรือไม่ นายนิติธรกล่าวว่า ในขณะนี้คิดว่าเราทำให้เห็นชัดเจนมาโดยลำดับ ทั้งศาล ประชาชน และรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ และรมว.คมนาคมก็เต็มที่ ฉะนั้นเรื่องนี้คงไม่เป็นปัญหาอะไร ถ้าตอบโดยอิงข้อกฎหมายคิดว่าเราน่าจะประสบผลสำเร็จ

รฟท.พร้อมเดินหน้าตามกฎหมาย
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวว่า มองว่าเรื่องนี้ยังไม่จบกระบวนการยุติธรรม แต่เป็นเรื่องดี เนื่องจากช่วยเปิดโอกาสให้ภาครัฐได้ดำเนินการต่อสู้คดีใหม่ได้อีกครั้ง และมั่นใจว่าครั้งนี้เราจะชนะคดีแน่นอน ซึ่งประเด็นที่จะนำมาต่อสู้หลังจากนี้ อาทิ เรื่องอายุความของคดี มติจากคณะรัฐมนตรี การจดทะเบียนวัตถุประสงค์ บริษัท โฮปเวลล์ฯ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเรื่องการลงนามในสัญญา ผู้ลงนามไม่ใช่บริษัทที่ได้รับสัมปทาน เป็นต้น

ด้านนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรฟท. เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะต้องเตรียมความพร้อมในการเดินหน้าต่อไปตามกฎหมาย ซึ่งยืนยันว่ากระทรวงคมนาคม และรฟท.มีความพร้อมในเรื่องนี้ และพร้อมปรับตัวกับให้เข้ารูปคดีที่เกิดขึ้นจนถึงที่สุดต่อไป ส่วนตัวมั่นใจว่าการต่อสู้คดีในครั้งนี้ เราจะได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมในครั้งต่อไป ส่วนหลังจากนี้ภาครัฐจะต้องจ่ายค่าโง่ให้กับบริษัทโฮปเวลล์ฯ หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถตอบได้ ต้องรอให้เป็นไปตามคำสั่งศาล พิจารณาตามกระบวนการอีกครั้งต่อไป

‘บิ๊กตู่’ถกโผทหารรอบสุดท้าย
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. เวลา 14.50 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารชั้นนายพลกลางปี ร่วมกับ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทสส. พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผบ.ทอ. เพื่อพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายทหารกลางปีรอบสุดท้าย

สำหรับตำแหน่งที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษคือ 5 เสือ ทร. เนื่องจากมีกระแสข่าวว่า พล.ร.อ.สมประสงค์ได้เสนอโยกย้ายสลับตำแหน่งข้ามหน่วย โดยดึง ‘บิ๊กจอร์ช’ พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ รองเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย มาดำรงตำแหน่ง ผช.ทร. และส่ง พล.ร.อ.สุทธินันท์ สมานรักษ์ ผช.ผบ.ทร.ไปเป็นรอง เสธ.ทร.แทน

การพิจารณาปรับย้ายครั้งนี้ตกเป็นที่วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความขัดแย้งระหว่าง พล.ร.อ.สมประสงค์ กับ ‘บิ๊กลือ’ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ อดีตผบ.ทร. จากการโยกย้ายในอดีต จนเป็นที่จับตามองว่าจะมีการล้างบางทหารสาย ‘บิ๊กลือ’ หรือไม่ ในที่สุดจึงส่ง พล.ร.อ.สุทธินันท์ ไปกองบัญชาการกองทัพไทย

ส่วนผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย (ผบ.ศรภ.) แทน พล.ท.วัฒนะ พลจันทร์ ผบ.ศรภ.คนปัจจุบัน ที่ได้ขยับไปติดยศ พล.อ.ก่อนเกษียณในเดือนก.ย.นี้ คือ พล.ต.ทวีศักดิ์ มณีวงศ์ เตรียมทหารรุ่น 24 รอง ผบ.ศรภ. หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีชื่อคนภายนอก ศรภ.เป็นแคนดิเดตหลายคน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน