สาวลูกทีมพรรคกับเมียไฮโซนัทเจ้าตัวเผยถึงช็อกชี้ไม่ใช่เรื่องจริงอดีตนศ.สาวแฉถูกกักขัง-ขืนใจ

แถลงโต้ปมฉาวอนาจาร-ลวนลามนักศึกษาสาว18 ยืนยันไม่เป็นความจริง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ‘ปริญญ์ พานิชภักดิ์’ เผยรู้สึกช็อกกับข้อกล่าวหา พร้อมต่อสู้คดี ตามกระบวนการ ชิงประกาศลาออกจาก ทุกตำแหน่งในพรรค ด้านทนายตั้มรุดติดตามคดีที่โรงพักหลังจากเหยื่อเข้าแจ้งความ เผยมีหญิงสาวอีกนับสิบรายตกเป็นเหยื่อ ด้านอดีตนักศึกษาสาวเผยเคยถูกบังคับขืนใจด้วย เช่นกัน แต่ไม่กล้าแจ้งความ ซ้ำกักขังไม่ไห้กลับบ้านข้ามคืน ถูกรังควานจนต้องหนีไปอยู่ออสเตรเลีย ด้านเมียไฮโซนัทก็โดนด้วย ถูกลวงขืนใจ พร้อมเปิดตัวเข้าแจ้งความดำเนินคดีอีกคน

จากกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม โพสต์เฟซบุ๊กระบุมีรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ มีพ่อดังระดับโลก ก่อเหตุลวนลาม หญิงสาวที่มาปรึกษาความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ โดยที่ไม่สมยอมด้วย ตามที่เป็นข่าวอย่าง แพร่หลายนั้น

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 14 เม.ย. ที่ สน.ลุมพินี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เข้าพบตำรวจ สน.ลุมพินี เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีนักศึกษาสาววัย 18 ปี แจ้งว่าถูกรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ พรรคหนึ่ง ลวนลามกอดจูบ หลังหลอกมาคุยเรื่องงานและสอนหุ้น ที่ร้านอาหารชั้นดาดฟ้าในซอยสุขุมวิท 11

นายษิทรากล่าวว่า คดีนี้เกิดเมื่อคืนวันที่ 11 เม.ย.แล้วผู้เสียหายมาแจ้งความวันที่ 12 เม.ย.และทราบว่าพนักงานสอบสวนได้ภาพจากกล้องวงจรปิดในร้านมาแล้ว นอกจากนี้ ก็ได้คุยกับเหยื่อเพิ่มเติมจนทราบข้อเท็จจริงบางอย่าง ซึ่งทราบว่าแม่ของเหยื่อก็ชอบพรรคการเมืองนี้ด้วย เพราะเป็นคนพูดจาดี แต่พอเกิดเรื่องก็เสียความรู้สึกจนต้องมาพบตน ยิ่งพอมีข่าวออกไป ก็มีเหยื่ออีก 3 คนติดต่อเข้ามา ซึ่งมีอายุประมาณ 18 ปีทั้งหมด รายหนึ่งอยู่ที่ จ.ราชบุรี แม่ทำงานในพรรคเดียวกันกับผู้ถูกกล่าวหา อีกรายถูกข่มขืน จนต้องหนีไปประเทศอังกฤษ อีกรายโดนลวนลาม ซึ่งเหยื่อบางรายถูกพาขึ้นคอนโดฯ ส่วนตัวด้วย ทั้งนี้ตนก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง เพราะตลอดเวลาที่เหยื่อพูดก็แสดงอาการร้องไห้ตลอดเวลา แม้จะขัดขืน พยายามหลบหลีก แต่นักการเมืองคนนี้ก็ยังจะทำ แม้คน ในร้านจะเยอะ แต่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งเหยื่อทั้งอายและกลัวจึงไม่กล้าขอความช่วยเหลือ

“หากรองหัวหน้าพรรคคนนี้ไม่กลัวความผิด แล้ววานนี้จะพยายามโทรศัพท์ไปขอโทษ ผู้เสียหายและแม่เขาทำไม ก็อยากให้ออกมาปฏิเสธ เพราะเชื่อว่าจะนำแช็ตขอบคุณของแม่เขาก่อนที่จะทราบเรื่องมาแสดงให้สังคมทราบ” ทนายตั้มกล่าว

นายษิทรากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เชื่อว่า มีเหยื่อรวมแล้วเกิน 10 คน ในจำนวนนี้ ถูกข่มขืนไม่ต่ำกว่า 5-6 คน โดยมีพฤติกรรมในลักษณะนี้มาตั้งแต่ปี 2556 และล่าสุดเมื่อปีก่อน ทำให้ต้องหนีไปต่างประเทศ หรือเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งทราบว่าสถานที่ในการก่อเหตุนั้น จะใช้ร้านอาหารแห่งนี้นัดพบหลายครั้ง โดยคนก่อเหตุมักจะข่มขู่เหยื่อ อ้างว่าพ่อกูเป็นใคร และมีรสนิยมชอบเหยื่อที่มีอาการขัดขืน ทั้งนี้ ขอให้เหยื่อรายอื่นๆ หากถูกกระทำ ในลักษณะนี้ให้มาแจ้งความเอาผิด เพราะโทษของคดีนี้มาอายุความถึง 20 ปี ส่วนตัวไม่กลัวจะถูกฟ้อง เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง

ด้าน พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผกก.สน.ลุมพินี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวผ่านโทรศัพท์ว่า ได้สอบปากคำผู้เสียหายหลังรับแจ้งความเมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมาไปแล้ว ส่วนรายละเอียดความคืบหน้าของคดีนั้น รายละเอียดยังคงอยู่ในสำนวน ไม่สามารถเปิดเผยได้

น.ส.เอ (นามสมมติ) หนึ่งในเหยื่อที่เคยถูกละเมิดทางเพศ เปิดเผยกับ “ข่าวสดออนไลน์” ว่า เหตุของตนเกิดขึ้นเมื่อ 15 ปี ก่อนตอนเป็น นักศึกษาปริญญาตรี กำลังทำโปรเจ็กต์จบ โดยได้เข้าธนาคารแห่งหนึ่ง พบกับนักการเมืองคนนี้ ซึ่งมีตำแหน่งในนั้น ซึ่งตนรู้สึกว่าเขาเป็นผู้บริหารที่น่าเคารพ ทั้งยังเสนอตัวช่วยงาน จนวันนัดคุยงาน เขาอ้างว่าไม่สะดวกออกมาจากที่พัก ตนก็มองแค่ว่าต้องการทำงานให้จบเท่านั้น จึงเดินทางไป แต่เขา ไม่ได้คุย และเอาแต่ร้องเพลงคาราโอเกะ อย่างเดียว ก่อนจะเข้ามาก่อนจูบ ตนก็ผลักออก เพราะตกใจ เขาก็ไม่ยอม ก่อนจะพุ่งเข้ามาพยายามปล้ำ จนถูกข่มขืน

น.ส.เอกล่าวอีกว่า จากนั้นเขาก็คุยทำนองว่า นี่ไม่ใช่การข่มขืน บอกว่าจะคบกับตน ไม่ได้หนีไปไหน ทั้งยังอ้างพ่อตัวเองใหญ่โต เป็นที่รู้จัก ซึ่งรัฐบาลยุคนั้นก็เคารพนับถือบุคคลคนนี้ และพ่อตนกำลังจะได้รับการเสนอชื่อดำรงตำแหน่งสำคัญขององค์กรหนึ่ง จึงเกิดความกลัว เพราะเขาพูดติดตลกทำนองว่าถ่ายคลิปวิดีโอไว้ ทำให้ตนต้องเก็บเรื่องเงียบไว้ตลอดครึ่งปี ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านไป “เขามีนิสัยค่อนข้างขี้โมโห เหมือนเป็นโรคไบโพลาร์ มีความหยาบคาย และข่มขู่มาตลอด ถ้าเขาอยากเจอต้องไปเจอ ไม่งั้นจะถูกด่าอย่างหยาบคาย ก็ไม่ทราบจะทำยังไง”

น.ส.เอเล่าอีกว่า มีวันหนึ่งเขาเรียกให้ไปหาตอนดึก ตนก็กลัว ต้องโกหกพ่อแม่ว่า จะไปเที่ยวกับเพื่อน ก่อนนั่งรถแท็กซี่ออกมา แต่ทำโทรศัพท์หล่นหายในรถและไม่ได้คืน ปรากฏว่าคืนนั้นเขาไม่ยอมให้กลับบ้าน ตนก็ขอ ติดต่อพ่อแม่ เขาก็ไม่ให้ และขังตนไว้ในห้องจน 17.00-18.00 น.ของอีกวัน จนพ่อแม่กังวลมาก ซึ่งครอบครัวตนไม่เคยทราบเรื่องนี้เลย อ้างว่าไปหาเพื่อนเท่านั้น เพราะสมัยนั้นสังคมมองว่าการถูกข่มขืนเป็นเรื่องน่าอาย

น.ส.เอกล่าวต่อว่าอย่างไรก็ตาม ตนพยายาม ขอเลิกแต่ไม่เป็นผล เขาบอกว่าถ้าจะเลิก ก็เลิกเอง ตนเคยให้พี่สาวเคลียร์ แต่ไม่สำเร็จ กระทั่งพ่อตนให้ไปอยู่ประเทศออสเตรเลีย จึงจะขาดการติดต่อกับเขาไป เพราะเปลี่ยนอีเมล์และโทรศัพท์ แต่พี่สาวบอกว่าเขาเคยโทร.มาหาที่บ้านด้วย อย่างไรก็ตาม คนในวงการหุ้นทราบเรื่องเขากันหมด แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ เกรงว่าอนาคตเขาอาจมีตำแหน่งใหญ่โตในองค์กรหรือรัฐบาลได้

วันเดียวกัน นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชธิปัตย์โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “พี่น้อง สื่อมวลชนโทรศัพท์มาถามผมเยอะมาก ทั้งสอบถามผ่านในกล่องข้อความในทวิตเตอร์ ในเฟซบุ๊กว่าจะแถลงข่าวเรื่องรองหัวหน้าพรรค หรือไม่ ผมตอบไม่ได้จริงๆ ครับ ผมไม่ทราบว่าเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แต่ถ้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ขอย้ำในหลักการสำคัญว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายและความถูกต้องของบ้านเมือง “ผิดว่าไปตามผิดถูกว่าไป ตามถูกครับ” นายราเมศกล่าว

ด้านนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค, หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย, ผอ.การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ยืนยันว่า ตนไม่ได้มีพฤติกรรมเช่นนั้น และไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น ตนรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป และไม่ได้ทำในสิ่งที่มีการกล่าวหา ทั้งนี้เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นประโยชน์กับใคร ดังนั้นจะขอชี้แจงทีเดียวโดยการแถลงข่าว ขอเวลาภายในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้จะออกมาชี้แจง อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่ได้คุยกับ นักกฎหมายหรือกับใคร

ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายปริญญ์ แถลงกรณีข่าวที่เกิดขึ้นว่ารู้สึกช็อกและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโซเชี่ยล และตนยืนยันความบริสุทธิ์ใจเพราะหลายข้อกล่าวหาทั้งหมด ตนปฏิเสธ และไม่ใช่เรื่องจริง หลายคนที่รู้จักตนก็รู้ว่าไม่ใช่คนอย่างนั้น ซึ่งเชื่อมั่นใจความบริสุทธิ์ใจนี้ ถึงแม้เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะเป็นข้อกล่าวหา ที่เกี่ยวกับตนโดยตรงในโซเชี่ยล แต่กระทบกับการทำงานในหน้าที่ภารกิจของประชาธิปัตย์ ที่มีตำแหน่งอยู่

“ผมรู้สึกต้องรับผิดชอบกับการทำงาน ซึ่งกระทบกับภาพลักษณ์การทำงานของผม ผมจึงตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบ ที่ผมคิดว่าใช้เวลาที่มีอยู่ตอนนี้และอนาคต เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และพร้อมเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเจ้าหน้าที่ในเรื่องความบริสุทธิ์ของผม และไม่อยากให้กระทบงานของพรรค จึงขอลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่วันนี้ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและพิสูจน์ความจริง” นายปริญญ์กล่าว

เมื่อถามถึงข้อกล่าวหาล่าสุดระบุว่ามีเหยื่อนับสิบรายที่ถูกข่มขืนด้วย ตรงนี้จะต่อสู้ หรือฟ้องกลับอย่างไร นายปริญญ์กล่าวว่า ตนยืนยันอย่างที่พูดว่าช็อกและตกใจจริงๆ จากใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะโดนข้อกล่าวหาอย่างนี้ เพราะไม่ใช่คนอย่างนั้น และเป็นเรื่องที่ไม่จริง ดังนั้นยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อที่จะได้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ คุณพ่อว่าอย่างไรบ้าง เพราะเป็นคนมีชื่อเสียง นายปริญญ์กล่าวว่า คุณพ่อ คุณแม่ ทุกคน ก็รักลูกตัวเอง เป็นห่วงเป็นใยอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ เป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปชี้แจง และจริงๆ แล้วหลายอย่างตนคงขอไปชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงดีกว่า ส่วนการฟ้องกลับนายษิทราหรือไม่นั้น ตนไม่อยากมองเรื่องฟ้องกลับหรืออะไรตอนนี้ ถ้าใครไปแจ้งความเท็จ หรือไปทำอะไรที่ผิดไว้อนาคตก็ต้องเห็นกัน แต่คิดว่าสำคัญที่สุดคือใก้กระบวนการยุติธรรม ได้ทำงานดีกว่า ตอนนี้ถ้าเล่ารายละเอียดก็จะไปกระทบผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นถ้าตนพูดกับเจ้าหน้าที่โดยตรงก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดและเป็นธรรมที่สุด ตนเชื่อว่าอาจจะใช้เวลาแต่ว่าเวลาก็จะพิสูจน์ความเป็นธรรม พิสูจน์ความจริงได้

เมื่อถามว่ามองว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ นายปริญญ์กล่าวว่า ตนไม่อยากจะพูดว่าไปเกี่ยวกับเรื่องอะไรหรืออย่างไร แค่คิดว่าสิ่งที่โดนกล่าวหาไม่ใช่ความจริงและตนก็พร้อม พิสูจน์ พร้อมที่จะตอบรายละเอียดความจริงในทุกข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น

ต่อข้อถามว่ารู้จักผู้หญิงคนนั้นหรือไม่ นายปริญญ์กล่าวว่า ทุกเรื่องอนุญาตจริงๆ เพราะคิดว่าเป็นธรรมที่สุดกับทุกฝ่ายและ จะเกิดความเป็นธรรมขึ้น ถ้าตนให้ข้อมูล อย่างตรงไปตรงมากับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจริงๆ

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ผู้ใหญ่ในพรรคว่าอย่างไรบ้าง นายปริญญ์กล่าวว่า ผู้ใหญ่ในพรรคปล่อยให้ตนตัดสินใจเต็มที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ก็ไม่ได้ให้คำแนะนำอะไร ท่านเคารพการตัดสินใจของตน ที่จริงตนจะชี้แจงให้สื่อทราบตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 13 เม.ย. แต่เป็นช่วงวันสงกรานต์ วันนี้วันที่ 14 เม.ย. ก็ถือว่าตนได้พูดความในใจอย่างเต็มที่ และตนก็ต้องรับผิดชอบในหน้าที่การงานของตน หากถามว่ายังอยากช่วยพรรค อยากทำงาน เพื่อสังคมหรือไม่ ก็ยังอยากทำอยู่ แต่ในเมื่อมีเรื่องมากล่าวหา ซึ่งตนปฏิเสธว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่กระทบกับภาพลักษณ์ กระทบกับการทำงาน ตนจึงต้องรับผิดชอบ และมาเคลียร์ ตัวเองให้ชัดเจนก่อน ซึ่งผู้ใหญ่ก็รับทราบ ในการตัดสินใจของผมที่ขอลาออกจากทุกตำแหน่ง

“ผมตัดสินใจลาออกเอง ความจริงตัดสินใจ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 เม.ย.แล้ว เพราะรู้สึกว่า ต้องรับผิดชอบในเชิงภาพลักษณ์ แม้ความเป็นจริงเรารู้ว่าเราไม่ได้กระทำตามข้อกล่าวหา แต่ไม่อยากให้กระทบภาพลักษณ์ กระทบการทำงานสำคัญของพรรค และหากชี้แจงได้จะกลับมาสู้การเมืองอีกหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของอนาคต เพราะที่ผ่านมาตนเองก็ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่” นายปริญญ์กล่าว

เมื่อถามว่าถ้าไม่ได้ทำจริงๆ ทำไมถึงต้องโทร.หาแม่ผู้เสียหาย นายปริญญ์กล่าวว่า การที่คุยกับแม่ผู้เสียหายก็เพื่อทำความเข้าใจกัน เป็นการแสดงเจตนาบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ ทำอะไรและไม่ได้หนีไปไหน และจะขอโทษทำให้ให้คุณแม่ไม่สบายใจ ให้คุยกันได้ ให้เจอกันได้ และตนไม่ได้หนีปัญหา เมื่อมีคนมากล่าวหาตนก็ยินดีพบปะพูดคุย ว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าต้องการจะพูดคุย ตนถึงบอกว่ารู้สึกตกใจที่เห็นโซเชี่ยลฯ เพราะตนไม่มีอะไรต้องซ่อน

ผู้สื่อข่าวพยายามถามอีกว่าทำไมจะต้องนัดน้องที่เป็นผู้เสียหายไปเจอที่โรงแรม นายปริญญ์กล่าวว่า ไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นร้านอาหารแบบเปิด มีคนแน่นร้าน และเป็นเวลาประมาณ 17.00 น. และไม่ได้เจอกันสอง ต่อสอง ช่วงเวลานั้นคนเยอะมากทั้งร้าน ทั้งนี้เชื่อว่าความจริงจะปรากฏเมื่อตนได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมส่วนรายละเอียดถ้าพูดออกไปตอนนี้ก็จะไม่เป็นผลดีกับตนเอง และผู้เสียหาย ส่วนที่น้องได้ขอความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์จริงหรือไม่นั้น นายปริญญ์กล่าวว่า ได้มาขอความรู้หลายเรื่องเลย แต่ข้อกล่าวหา ไม่ใช่ความจริง

ก่อนที่นายปริญญ์จะยกมือไหว้กับสื่อมวลชน พร้อมกล่าวต่อว่า รายละเอียดนั้นขอความกรุณาให้ตนไปชี้แจงกับพนักงานสอบสวน และเชื่อว่าความจริงจะปรากฏ เมื่อตนได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการให้สัมภาษณ์ นายปริญญ์ยกมือไหว้นักข่าวเป็นระยะๆ เมื่อถูกถามย้ำถึงรายละเอียดของรูปคดี ส่วนที่นายษิทรา มีการพูดถึงคดีที่อังกฤษนั้น นายปริญญ์ ชี้แจงว่า คดีนั้นจบไปนานแล้วและไม่ได้มีอะไรที่มากระทบกับคดีนี้

ด้านนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เขียนแสดงความเห็นถึงกรณีดังกล่าว โดยยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีกระทำการอนาจาร โดยระบุว่า “ตามที่ปรากฏข่าวว่า มีรองหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใหญ่ กระทำการ หอมแก้ม กอดจูบ จับก้น ผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมนั้น ผมขอแสดง ความเห็นทางกฎหมายประกอบกับแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ดังนี้ การกระทำอนาจาร คือ การกระทำที่ไม่สมควรในทางเพศต่อร่างกาย ของผู้อื่น หรือการกระทำต่อเนื้อตัวบุคคลที่ไม่ สมควรทางเพศ

คำว่า “อนาจาร” มีความหมายว่า เป็นการกระทำต่อเนื้อตัวบุคคลที่ไม่สมควรทางเพศ ซึ่งมิได้หมายความเฉพาะการประเวณีหรือความใคร่เท่านั้น แต่รวมถึงการกระทำให้อับอายขายหน้าในทางเพศด้วย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2547) การกระทำอนาจาร คือ การกระทำที่ไม่สมควรในทางเพศ เพียงแต่ กอดจูบลูบคลำ แตะต้องเนื้อตัวร่างกายในทางไม่สมควรก็เป็นการอนาจารแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2049/2550)

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย “จำเลยจับมือและกอดเด็กหญิงผู้เสียหายอายุ 14 ปีถือได้ว่าเป็นการใช้แรงกายภาพ ซึ่งเป็นการ ใช้กำลังประทุษร้ายตามความหมายใน มาตรา 1(6) แล้ว การกระทำของจำเลยดังกล่าว เป็นความผิดฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 278 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2503”

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการอนาจาร โดยผู้เสียหายอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ “การแสดงความเอ็นดูรักใคร่ของครูผู้ชายซึ่งมีต่อเด็กนักเรียนผู้หญิงต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกาลเทศะและใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด มิให้มีลักษณะอาการส่อไปในทางที่ไม่สมควรทางเพศได้ ซึ่งการกระทำอันไม่สมควรทางเพศ ก็ไม่จำกัดเฉพาะว่าจะต้องเป็นเรื่องในทางประเวณีหรือความใคร่เท่านั้น แม้เพียงสัมผัสใกล้ชิดเพื่อสร้างความพึงพอใจในทางเพศ ก็ถือว่าเป็นการไม่สมควรแล้ว โดยเฉพาะ หากการกระทำนั้นเกิดขึ้นในที่ลับสายตา พฤติการณ์ของจำเลยที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมา โอบไหล่โจทก์ร่วมโดยมือทาบอยู่เหนือ หน้าอกโจทก์ร่วมอย่างไม่มีเหตุผลที่สมควรต้องกระทำเช่นนั้นในขณะเมื่ออยู่กับโจทก์ร่วมตามลำพัง จึงยากจะเชื่อว่าเป็นการแสดงออก ถึงความรักที่ครูมีต่อศิษย์ตามปกติ หากเป็น การฉวยโอกาสของจำเลยที่ได้รับรสสัมผัสจากเนื้อตัวร่างกายของโจทก์ร่วมมากกว่า บ่งชี้ชัดว่าจำเลยมีความพึงพอใจในทางเพศจากการได้อยู่ใกล้ชิดสัมผัสเนื้อตัวร่างกายเด็กนักเรียนหญิงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม การกระทำ ดังกล่าวจึงเป็นการกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นไม่ยินยอมและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ คำพิพากษาฎีกาที่ 873/2563”

ถ้าข้อเท็จจริงเป็นไปตามข่าว คือ รองหัวหน้า พรรคคนดังกล่าวมีพฤติการณ์ “กอด จูบ จับก้น” โดยผู้เสียหายไม่ยินยอม โดยขู่เข็ญด้วยประการ ใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ก็ย่อมเข้าข่าย เป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ต่อมาเมื่อเวลา 17.50 น. ที่ สน.ลุมพินี นายษิทราหรือทนายตั้ม ได้พา น.ส.บี (นามสมมติ) อดีตทีมงานพรรค การเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นเหยื่ออีกคน ที่เคยถูกอดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ กระทำอนาจาร แจ้งความกับตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีเพิ่มเติม

นายษิทรากล่าวว่า หลังเกิดเรื่องก็มีเหยื่ออีก 5 คน ติดต่อเข้ามาว่าถูกลวนลามข่มขืน กรณีนี้เหตุเกิดที่ จ.เพชรบุรี ซึ่งเหยื่อทำงานในพรรคเดียวกัน เจ้าตัวเล่าว่าขณะเกิดเหตุนั้น ผู้ก่อเหตุไม่มีอาการเมาแต่อย่างใด โดยวันเดียวกันนี้ได้ประสานให้มาแจ้งความที่ สน.ลุมพินี พร้อมนำหลักฐานเป็นรูปภาพ ขณะเกิดเหตุ และเพื่อนของเหยื่อมาให้ปากคำ นอกจากนี้ ยังมีเหยื่ออีกรายที่เคยเป็นนางแบบ มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักที่เตรียมจะมาแจ้งความด้วย ซึ่งตนมีภาพที่เตรียมจะเปิดเผยอีกในวันพรุ่งนี้

นายษิทรากล่าวว่า เหตุที่เหยื่อไม่กล้าแจ้งความ เพราะหลายคนอยู่กับผู้ก่อเหตุในลักษณะ สองต่อสอง เกรงจะไม่มีหลักฐาน แต่ตนจะให้ รวบรวมสำนวนเพื่อให้เหยื่อเป็นพยานซึ่งกันและกัน ซึ่งอายุความของคดีนี้มีระยะเวลา 15 ปี อย่างไรก็ตาม ตนทราบมาว่า เหตุที่ผู้ก่อเหตุนัดพบเหยื่อหลายรายที่ร้านอาหารแห่งนี้ เพราะคอนโดฯ ผู้ก่อเหตุอยู่ใกล้กัน

น.ส.บีกล่าวว่า เมื่อปี 2563 มีช่วงหนึ่ง ที่กำลังจะเลิกงานเลี้ยง ก็นำของไปเก็บท้ายรถ คนก่อเหตุเข้ามาข้างหลัง บีบหน้าอกอย่างแรง จับก้นและล้วงของสงวน ตนปัดป้องและ บอกให้หยุด เขาก็หยุดเพราะมีคนเดินเข้ามา ตนตกใจมาก และบอกว่าเจ็บ เขาก็ขึ้นรถแล้วออกไปเลย ยืนยันว่าเรารู้จักกันในฐานะพี่น้อง เคยคุยกันปกติ ไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว โดยหลังเกิดเหตุ เขาก็ไลน์มาและโทรศัพท์มาชักชวนมาคอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ พอตนปฏิเสธไปก็ไม่ได้ชวนอีก

น.ส.บีกล่าวว่า การที่เขาแถลงข่าวในวันนี้ ตนมองว่าเป็นการโกหก ซึ่งนับแต่เกิดเหตุ ก็ไม่เคยปรึกษาคนในพรรคการเมืองดังกล่าวเลย เพราะเราเป็นแค่คนตัวเล็กๆ อาจทำอะไรไม่ได้ และเมื่อก่อนตนเป็นทีมงานพรรค แต่ได้ ลาออกมาแล้ว อยากให้ผู้ใหญ่ของพรรคเชื่อพวก ตนบ้าง ต้องคืนความยุติธรรมให้เหยื่อด้วย

จากนั้น เมื่อเวลา 18.30 น.วันเดียวกัน ที่ สน.ลุมพินี “แอนนา” น.ส.หทัยรัตน์ วิทยพูม ภรรยานายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท ได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.พงศักดิ์ การัตน์ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ลุมพินี หลังถูกอดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ลวงไปข่มขืนกระทำชำเรา

น.ส.หทัยรัตน์กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อปี 2564 ตนนัดคุยเรื่องงานกับนักการเมืองคนนี้ ตอนกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่เขาอ้างเป็นเจ้าของ และบอกว่ามีออฟฟิศอยู่ใกล้ๆ กัน กับร้าน แต่พอไปถึงกลับเป็นคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท 33 เขาก็ล็อกประตูห้องแล้วข่มขืนเลย ซึ่งตนมีน้ำหนักตัวเพียง 39 กิโลกรัม แม้จะพยายามขัดขืนก็ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งตอนเกิดเหตุนั้น ตนเพิ่งเลิกกับแฟนที่แพลน จะแต่งงานและเสียน้องชายไป ทำให้อยาก เริ่มอะไรใหม่ๆ เขาก็เข้ามาขายฝันหลอกล่อ เรื่องธุรกิจ บอกว่าให้ลองมาคุยกัน เพราะเขาบอกว่าตนมีศักยภาพ เราก็ตกหลุมไป เพราะงานนั้นเป็นการรวมตัวของนักธุรกิจ

น.ส.หทัยรัตน์กล่าวอีกว่า การเปิดเผยตัวตนในวันเดียวกันนี้ ก็เพื่อให้เหยื่อรายอื่นๆ กล้าที่จะออกมา เพราะตอนแรกตนรู้สึกเป็น ผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำอะไรไม่ได้ แต่พอทราบว่ามีผู้เสียหายอีกเยอะ เลยต้องการออกมาพูด และสามีตนก็สนับสนุน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ขู่ แต่พูดว่าเป็นใครทำอะไรในเชิงข่ม และใช้กำลังบังคับตน ซึ่งหากเขาเป็นคนปกติก็คงแจ้งความไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว

ลาออก – นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ แถลงลาออกทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์ ยันพร้อมสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความจริง กรณีโดนกล่าวหาลวนลามน.ศ.สาววัย 18 ปี ปฏิเสธไม่เคยมีพฤติกรรมดังกล่าว ที่พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 14 เม.ย.

เหยื่อโผล่อีก – นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พาเหยื่อสาวอดีตทีมงานพรรค การเมืองดัง แจ้งความต่อ สน.ลุมพินี กรณีถูกรองหัวหน้าพรรคทำอนาจาร เหตุเกิดเมื่อปี 2563 พร้อมระบุมีเหยื่ออีกหลายคนเตรียมเข้าแจ้งความเพิ่มเติม เมื่อ 14 เม.ย.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน