ลดพยุงดีเซล ปรับสูตรใหม่ แต่ไม่ลอยตัว

เล็งลดเงินอุดหนุนราคาพลังงานทั้งน้ำมันและแก๊ส จากครึ่งหนึ่ง เหลือ 1 ใน 3 กระทรวงพลังงานยอมรับแบกหนี้กองทุน ติดลบกว่าแสนล้านไม่ไหว อีกทั้งยังหาแหล่งเงินเข้ามาเสริมสภาพคล่องไม่ได้ ลุ้นกลางก.ค.สถาบันการเงินยอมให้กู้ ถกปันกำไร 6 โรงกลั่น- โรงแยกแก๊สต่ออีกวันนี้ ด้านขนส่งทางบกไฟเขียวให้รถเมล์หมวด 2 และ 3 ขึ้นค่าโดยสาร 5 สตางค์ต่อก.ม.แล้ว มีผลตั้งแต่ 4 ก.ค. ขณะที่ สมาคมกิจการรถโดยสาร ที่เพิ่งประกาศว่า มี 48 บริษัททัวร์ดังเพิ่งของดวิ่งเพิ่มเป็น 227 เส้นทาง ต้องรีบกลับลำ แจ้งให้เตรียมรถให้พร้อมกลับมาวิ่งต่อทุกเส้นทาง ด้านเอทานอลจ่อขยับเป็นลิตรละ 28 บาท ขานรับรัฐหนุนหันใช้อี 20 และอี 85 ที่ถูกกว่าเบนซิน จ๊ากอีก เบนซินขึ้นลิตรละ 50 สตางค์ ทะลุ 52.56 บาท, โซฮอล์ 95 อยู่ที่ 45.15 บาท, อี20 อยู่ที่ 44.04 บาท, โซฮอล์ 91 อยู่ที่ 44.88 บาท มีผลตั้งแต่ 29 มิ.ย.

มติครม.คุมราคาต่อ 51 สินค้า
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี 2565 จำนวน 51 รายการ ใน 11 หมวด เช่นเดียวกับ ปี 2564 จําแนกเป็น 46 สินค้า 5 บริการ คือ

1.หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กระดาษทําลูกฟูก กระดาษเหนียว กระดาษพิมพ์และเขียน 2.หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง ยางรถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถยนต์บรรทุก 3.หมวดปัจจัยทางการเกษตร กากดีดีจีเอส เครื่องสูบน้ำ ปุ๋ย ยาป้องกันหรือกําจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช รถเกี่ยวข้าว รถไถนา หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ 4.หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง 5.หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ ยารักษาโรค เวชภัณฑ์ เกี่ยวกับการรักษาโรค 6.หมวดวัสดุก่อสร้าง ท่อพีวีซี ปูนซีเมนต์ สายไฟฟ้า เหล็กโครงสร้าง รูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น

7.หมวดสินค้าเกษตรที่สําคัญ ข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ต้นพันธุ์ ท่อนพันธุ์ มันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์ ผลปาล์มน้ำมัน มะพร้าวผลแก่ และผลิตภัณฑ์ ยางพารา ได้แก่ น้ำยางสด ยางก้อน เศษยาง น้ำยางข้น ยางแผ่น ยางแท่ง ยางเครป 8.หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค กระดาษชําระ กระดาษเช็ดหน้า แชมพู ผงซักฟอก น้ำยาซักฟอก ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ผ้าอนามัย ผ้าอ้อมสําเร็จรูปเด็กและผู้ใหญ่ สบู่ก้อน สบู่เหลว 9.หมวดอาหาร กระเทียม ไข่ไก่ ทุเรียน นมผง ผลิตภัณฑ์นมพร้อมบริโภคชนิดเหลว ไม่รวมถึงนมเปรี้ยว น้ำมัน และไขมัน ที่ได้จากพืชหรือสัตว์ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ แป้งสาลี มังคุด ลําไย สุกร เนื้อสุกร หอมหัวใหญ่ อาหารกึ่งสําเร็จรูป บรรจุภาชนะผนึก อาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท 10.หมวดอื่นๆ เครื่องแบบนักเรียน และ 11.หมวดบริการ การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า บริการซื้อขาย และหรือบริการขนส่งสินค้าสําหรับธุรกิจออนไลน์ บริการทางการเกษตร บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค และบริการรับชําระเงิน ณ จุดบริการ

ทั้งนี้ ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2564 เห็นชอบกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี 2564 ซึ่งจะสิ้นสุดการบังคับใช้ในวันที่ 30 มิ.ย.2565 เพื่อเป็นการดูแลสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชน เพื่อป้องกันการกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่าย หรือกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม ไม่เกี่ยวกับกรณีราคาสินค้าหรือบริการแพงขึ้นตามกลไกตลาดปกติ

ยางพาราเริ่มราคาตก
ร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เปิดเผยถึงราคาอาหารสัตว์ว่า คน.ยังไม่ได้อนุมัติให้ผู้ผลิตปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกตามที่เสนอ แต่ยอมรับว่าผู้ผลิตอาหารสัตว์ได้แจ้งขอปรับลดส่วนลดทางการค้าที่ให้กับผู้ค้าส่ง เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

ที่ จ.กระบี่ เกษตรกรชาวสวนยางในพื้นที่ อ.เขาพนม นำน้ำยางพาราขายให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนน้ำยางสด บ้านทับพรุ หมู่ 5 ต.เขาดิน อ.เขาพนม ซึ่งวันนี้ราคาอยู่ที่ก.ก.ละ 48 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และต่ำสุดในรอบปี โดยเมื่อต้นเดือนมิ.ย.ราคาอยู่ที่ 64 บาทต่อก.ก. ซึ่งลดลงถึง 16 บาท ทำให้ชาวสวนยางพาราได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เพราะค่าสินค้าอื่นๆ กลับปรับราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งเนื้อหมู ไก่ น้ำมัน สินค้าอุปโภคต่างๆ และปุ๋ย แต่ราคาน้ำยางกลับลดลง ซึ่งสวนทางกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นต่อเนื่อง อยากฝากรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาให้ด้วย ส่วนราคาเศษยางหรือยางก้นถ้วยราคาอยู่ที่ก.ก.ละ 22 บาท ซึ่งยังไม่ปรับลดหรือขึ้นมากนัก

แย้มปรับลดอุ้มพลังงาน
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมครม. ถึงความคืบหน้าการหารือระหว่างกระทรวงพลังงานกับโรงกลั่นน้ำมัน ในการนำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะนำส่วนต่างจากค่ากลั่นเข้ากองทุนน้ำมัน และจะช่วยเหลือสนับสนุนภาคประชาชน เท่าไหร่ โดยจะนัดหารือกันอีกครั้งในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ เพื่อให้ได้ข้อสรุป โดยกระทรวงพลังงานจะดูเรื่องข้อกฎหมายต่อไป ทั้งนี้หากเป็นไปตามที่รัฐบาลคาดไว้ ทางคณะกรรมการบริหารน้ำมันเชื้อเพลิงจะออกประกาศได้ทันที โดยไม่ต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมครม.

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่มีความยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานตลาดโลก รวมถึงไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคงถึงเวลาแล้วที่ต้องทบทวนแนวทางการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศให้มีความเหมาะสมมากขึ้น จากปัจจุบันที่รัฐบาลมีนโยบายให้อุดหนุนราคาเหลือครึ่งหนึ่ง เพื่อตรึงราคาขายปลีกดีเซลไม่ให้เกิน 35 บาท/ลิตร จากก่อนหน้านี้ให้กองทุนอุดหนุน 100% เพื่อตรึงไว้ไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร

ทั้งนี้ รัฐบาลคงต้องหาเงินมาช่วยสนับสนุนกองทุน เพราะยอมรับว่าจากนี้ไปสถานะของกองทุนจะติดลบต่อเนื่องตราบใดที่รัฐบาลยังมีนโยบายอุดหนุนราคาพลังงาน ทั้งที่ยังไม่มีเงินจากแหล่งไหนเข้ามาเสริมสภาพคล่อง ขณะที่กองทุนได้ทยอยผ่อนคลายการอุดหนุนมาเป็นระยะๆ แต่ยังคงมาตรการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางต่อเนื่อง และควรเน้นความช่วยเหลือให้มากขึ้น โดยเฉพาะ พ่อค้าแม่ค้า ผู้มีรายได้ และอุตสาหกรรมภาคขนส่งที่มีผลต่อราคาสินค้าให้สามารถซื้อเชื้อเพลิงได้ในราคาถูกกว่าในตลาด

“ในระยะต่อไปอาจต้องทบทวนมาตรการให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ราคาพลังงานตลาดโลกที่ผันผวนสูงให้มากขึ้น แต่ไม่ถึงกับการปล่อยลอยตัว เพราะจะกลายเป็นการสร้างปัญหาหนักเกินไป เช่น อาจปรับลดการอุดหนุนเหลือ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของราคาเชื้อเพลิงได้หรือไม่ จากปัจจุบันอุดหนุนอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนประชาชนที่มีกำลังซื้อสูงกว่ารัฐอาจช่วยเหลือในเรื่องการให้ส่วนลดผ่านโครงการต่างๆ เช่น ชิมช้อปใช้ หรือเที่ยวด้วยกัน ต่อไปเป็นต้น” รายงานข่าวระบุ

รายงานข่าวระบุว่า ปัจจุบันกองทุนมีสถานะติดลบ 1.02 แสนล้านบาท โดยกองทุนอุดหนุนราคาดีเซล 11.07 บาท/ลิตร ไม่ให้เกิน 35 บาท/ลิตร ครึ่งหนึ่งของราคาจริงควรจะ อยู่ที่ 46.01 บาท/ลิตร ซึ่งถือเป็นการอุดหนุนในอัตราที่ลดลงจากก่อนหน้านี้ 12-13 บาท/ลิตร คิดเป็นเงินไหลออกจากกองทุนวันละประมาณ 700 ล้านบาท หรือเดือนละประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ก็ได้ปรับขึ้นกิโลกรัม (ก.ก.) ละ 1 บาททุกเดือน ทำให้กองทุนอุดหนุนแอลพีจีวันละ 47 ล้านบาท หรือเดือนละประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยกองทุนยังติดตามและประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ซึ่งจากข้อมูลจริงวันนี้ราคาดีเซลมีโอกาสปรับขึ้นไปอยู่ที่ 36 บาท/ลิตรได้ ซึ่งต้องประเมินสถานการณ์กันวันต่อวัน

ยังสรุปไม่ได้ปันกำไรโรงกลั่น
ส่วนความคืบหน้าการหาเงินมาเสริมสภาพคล่องของกองทุน เพื่ออุดหนุนราคาพลังงานว่าขณะนี้แนวทางต่างๆ อยู่ระหว่างเจรจา ซึ่งในส่วนของการขอกู้เงินจากสถาบันการเงินนั้น ได้พูดคุยถึงข้อห่วงใยต่างๆ จนบรรลุข้อตกลงทุกอย่างได้ลงตัวหมดแล้ว คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้ หรือประมาณกลางเดือนก.ค. โดยกองทุนยังยืนยันขอกู้ที่วงเงิน 20,000 ล้านบาท ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพราะมีเงินที่ฝากไว้กับกระทรวงการคลังและธนาคารกว่า 3,300 ล้านบาท และเงินที่ต้องชำระผู้ค้ามาตรา 7 หมุนเวียนใช้อีกวันละประมาณ 79.50 ล้านบาท โดยที่กองทุนไม่ได้ผิดนัดค้างชำระแต่อย่างใด

ขณะที่ความคืบหน้าเรื่องการนำกำไรส่วนเกินของโรงกลั่นมาเสริมสภาพคล่องกองทุนนั้น สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างการเจรจา อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน อัตราเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจโลก ประกอบการพิจารณาดำเนินมาตรการดูแลราคาพลังงานในประเทศ ซึ่งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานทำหน้าที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ เพื่อผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้

เอทานอลจ่อขยับลิตร 28 บาท
นายพิพัฒน์ สุทธิวิเศษศักดิ์ นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย กล่าวว่า วันที่ 1 ก.ค.นี้ คาดว่าราคาเอทานอล อ้างอิงจะปรับราคาเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 28 บาท/ลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ 26.49 บาท/ลิตร เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่างๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัตถุดิบหลักทั้งกากน้ำตาล (โมลาส) และมันสำปะหลังที่เป็นส่วนผสมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 และอี85 ซึ่งมีแนวโน้มว่าราคาเอทานอลยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3 นี้

“แม้ราคาเอทานอลจะปรับขึ้นแต่ก็ยังต่ำกว่าเบนซินมาก ที่เบนซินหน้าโรงกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 34 บาท/ลิตร จึงเชื่อว่าข้อเสนอที่ให้กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์ อี20 และอี85 เพิ่มขึ้น เพราะมีส่วนผสมของเอทานอลจะทำให้ราคาหน้าปั๊มลดลงได้ แต่ต้องหารือในภาพรวมและวางแผนล่วงหน้า เพราะปริมาณระหว่างทาง อาจมีปัญหาตึงตัวได้หากเศรษฐกิจฟื้นตัว การใช้ก็มีความต้องการสูงขึ้น” นายพิพัฒน์กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันรัฐได้นำเอทานอลมาผสมเบนซินเพื่อจำหน่ายเป็นแก๊สโซฮอล์ อี85 (ผสมเอทานอลในเบนซินพื้นฐาน 85%) แก๊สโซฮอล์ อี20 (ผสมเอทานอล 20%) และแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 (ผสมเอทานอล 10%)

48 ทัวร์ใหญ่เลิกวิ่ง 227 เส้นทาง
ด้านนายพิเชษฐ์ เจียมบุรเศรษฐ์ นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทยได้มีการแถลงเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับกรณีลดเที่ยววิ่งของ ผู้ประกอบการขนส่งเอกชนและรถร่วม บขส. ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้นั้น ปัจจุบันได้มีผู้ประกอบการขนส่งและรถร่วม บขส. กว่า 48 บริษัท ติดต่อมาที่สมาคม ว่ามีความประสงค์จะลดเที่ยววิ่งลงเช่นเดียวกันเท่าที่แจ้งมาเพิ่มเดิม ณ ขณะนี้ รวมจำนวนประมาณ 227 เส้นทาง ประกอบด้วย

1.บริษัท ไทยสงวนทัวร์ จํากัด 3 เส้นทาง 2.บริษัท สมบัติทัวร์ จํากัด 32 เส้นทาง 3.บริษัท กิตติสุนทร จํากัด 5 เส้นทาง 4.บริษัท จักพงษ์ทรานสปอร์ต จํากัด 2 เส้นทาง 5.บริษัท ลาดหลุมแก้วขนส่ง 2 เส้นทาง 6.บริษัท ชินวรเดินรถขนส่ง 1 เส้นทาง 7.บริษัท 407 พัฒนา จํากัด 9 เส้นทาง 8.บริษัท ปิยะรุ่งเรืองทัวร์ จํากัด 5 เส้นทาง 9.บริษัท ส.วิริยะทรานสปอร์ต จํากัด 2 เส้นทาง 10.บริษัท ชัยนาททัวร์ จํากัด 2 เส้นทาง 11.บริษัท ชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จํากัด 16 เส้นทาง 12. บริษัท ปักธงชัยร่วมใจเดินรถ จํากัด 2 เส้นทาง

13.บริษัท นครชัยทัวร์ จํากัด 4 เส้นทาง 14.บริษัท แอร์โคราชพัฒนา จํากัด 1 เส้นทาง 15.บริษัท นครชัย21 จํากัด 1 เส้นทาง 16.บริษัท วิศวกรเสนา จํากัด 3 เส้นทาง 17.บริษัท วัชรินทร์ทัวร์ จํากัด 1 เส้นทาง 18.บริษัท นครชัยขนส่ง จํากัด 5 เส้นทาง 19.บริษัท ราชสีห์ทัวร์ จํากัด 1 เส้นทาง 20.บริษัท โชคชัยเดินรถ จํากัด 1 เส้นทาง 21.บริษัท นครอรัญ จํากัด 1 เส้นทาง 22.บริษัท ครบุรี เดินรถ จํากัด 1 เส้นทาง 23.ราชสีมา เดินรถ จํากัด 1 เส้นทาง 24.โพนทวีชัย จํากัด 5 เส้นทาง 25.บริษัท เทพอู่ทองขนส่ง จํากัด 5 เส้นทาง 26.บริษัท นครชัยแอร์ จํากัด 29 เส้นทาง 27.บริษัท ลิกไนท์ทัวร์ จํากัด 8 เส้นทาง

28. บริษัท นครศรีร่มเย็นทัวร์ จํากัด 1 เส้นทาง 29.บริษัท เจเจอาร์ ทราเวล จํากัด (โลตัสพิบูลทัวร์) จํานวน 6 เส้นทาง 30.บริษัท รถรุ่งเรือง จํากัด (มุกดาหาร) จํานวน 3 เส้นทาง 31.บริษัท เพชรประเสริฐ จํากัด จํานวน 4 เส้นทาง 32.บริษัท ศรีทะวงศ์ทัวร์จํากัด จํานวน 2 เส้นทาง 33.บุษราคัมทัวร์ จํานวน 10 เส้นทาง 34.บริษัท พันทิพย์ (1970) จํากัด จํานวน 10 เส้นทาง 35.บริษัท พิเชษฐ์ขนส่ง จํากัด 2 เส้นทาง 36.บริษัท พรทวีชัย ราชสีมา จํากัด จํานวน 2 เส้นทาง

37.สหกรณ์เดินรถเทพพนม จํานวน 8 เส้นทาง 38.บริษัท เวียงพันธ์ จํากด จํานวน 2 เส้นทาง 39.บริษัท ระยองทัวร์ขนส่ง 789 จํากัด จํานวน 3 เส้นทาง 40.บริษัท สิชลพัฒนกิจ จํากัด จํานวน 4 เส้นทาง 41.บริษัท สตูลขนส่ง จํากัด จํานวน 1 เส้นทาง 42.บริษัท สวีขนส่ง จํากัด จํานวน 1 เส้นทาง 43.บริษัท สุราษฎร์นครสงขลาขนส่ง จํากัด จํานวน 1 เส้นทาง 44. สหกรณ์เดินรถสุราษฎร์ จํานวน 1 เส้นทาง 45.บริษัท 739 ขนส่ง จํากัด จํานวน 1 เส้นทาง 46.บริษัท ธนทวี ขนส่ง จํานวน 4 เส้นทาง 47.บริษัท สหยะลา ขนส่ง จํากัด จํานวน 3 เส้นทาง และ48.บริษัท วีระกร จํากัด จํานวน 10 เส้นทาง

อนุมัติขึ้นตั๋วรถเมล์หมวด 2-3
ด้าน นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น เทียบกับอัตราค่าโดยสารรถประจำทาง พบว่า อัตราค่าโดยสารในปัจจุบันสะท้อนราคาน้ำมันที่ระดับ 27 บาท/ลิตร ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลขยับราคาขึ้นมาเป็น 35 บาท/ลิตร ส่งผลกระทบต่อ ผู้ประกอบการรถโดยสารให้ได้รับความ เดือดร้อนและเตรียมปรับลด-หยุดเที่ยววิ่ง

นายสรพงศ์กล่าวอีกว่า โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติให้ปรับขึ้นค่าโดยสารรถประจำทางหมวด 2 (วิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด) และหมวด 3 (วิ่งระหว่างจังหวัด-จังหวัด และอำเภอ-อำเภอ) ให้ปรับขึ้นค่าโดยสารในอัตรา 5 สตางค์ต่อกิโลเมตร ซึ่งเป็นอัตราที่ปรับขึ้นแล้วเท่าทุน ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้โดยสารจนเกินไป โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.นี้

ส่วนรถ บขส.ยังให้ตรึงค่าโดยสารต่ออีก 3 เดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน พร้อมให้เตรียมรถให้เพียงพอต่อความต้องการเดินทางของประชาชน

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า การที่คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง มีมติให้ปรับเพิ่มอัตราค่าโดยสารรถโดยสารประจำทาง หมวด 2 และหมวด 3 ในอัตราก.ม.ละ 5 สตางค์ เพื่อประคับประคองผู้ประกอบการขนส่งให้มีรายได้เพียงพอในการบริหารจัดการเดินรถต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ประชาชนได้รับบริการพื้นฐานที่จำเป็น และอัตราค่าโดยสารที่เพิ่มขึ้นไม่ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากเกินไป ส่วนรถโดยสารประจำทางในส่วนภูมิภาคที่วิ่งภายในจังหวัด ให้คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัด พิจารณาอัตราค่าโดยสารให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภายในจังหวัด

“คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางได้กำชับกรมการขนส่งทางบกให้กำกับดูแลผู้ประกอบการให้จัดการเดินรถเป็นไปตามเงื่อนไข และสอดคล้องกับความต้องการในการเดินทางของประชาชน ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ประสานสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทยและสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์โดยสาร ให้แจ้งสมาชิกจัดการเดินรถให้เป็นไปตามเงื่อนไขและสอดคล้องกับความต้องการเดินทางของประชาชนต่อไป” นายจิรุตม์กล่าว

ทัวร์กลับลำ-แจ้งเลิกงดวิ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง มีมติอนุมัติให้ปรับขึ้นค่าโดยสารรถประจำทางหมวด 2 และหมวด 3 ในอัตรา 5 สตางค์ต่อก.ม. ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.นี้นั้น เย็นวันเดียวกัน

นายพิเชษฐ์ นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้รับทราบมติดังกล่าวแล้ว จึงได้เตรียมทำหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบการขนส่งเอกชน และรถร่วมบขส. ได้ทราบว่า คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในปรับขึ้นค่าโดยสารแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการธุรกิจต่อไปได้ ในสภาวะที่เกิดวิกฤตน้ำมันแพงอย่างต่อเนื่องในขณะนี้

“กรณีที่มีผู้ประกอบการแจ้งความประสงค์จะปรับลดเที่ยววิ่ง 80% ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ เพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหวนั้น ขอให้ทุกบริษัทยกเลิกแผนดำเนินการดังกล่าว และขอให้ ผู้ประกอบการจัดเดินรถตามปกติ สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารต่อไป โดยเฉพาะในเดือน ก.ค.นี้ที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่องหลายวัน และคาดว่าผู้โดยสารจะใช้รถโดยสารในการเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวจำนวนมาก และขอให้ผู้ประกอบการตรวจเช็กสภาพรถให้มีความพร้อมก่อนใช้งานสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกรณีที่ไม่ได้ใช้รถโดยสารเป็นเวลานาน มีจอดนิ่งหรือได้หยุดเดินรถ ต้องมีการบำรุงรักษาให้เรียบร้อยก่อนนำมาให้บริการ เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยกับ ผู้โดยสารที่ใช้บริการ” นายพิเชษฐ์กล่าว

เบนซินขึ้นอีก 50 สตางค์
วันเดียวกัน รายงานข่าวแจ้งว่า พีทีที สเตชั่น และบางจาก ได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 50 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้ราคาเบนซินอยู่ที่ 52.56 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 45.15 บาท, อี20 อยู่ที่ 44.04 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 44.88 บาท และพรีเมียม แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 50.64 บาท ยกเว้น อี85 ปรับขึ้น 30 สตางค์/ลิตร อยู่ที่ 37.54 บาท มีผลวันที่ 29 มิ.ย.2565 เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป

ขณะที่ราคากลุ่มดีเซลต่อลิตรทุกชนิดยังคงเดิม โดยดีเซล บี7, บี10 และบี20 อยู่ที่ 34.94 บาท/ลิตร ส่วนดีเซลพรีเมียม บี7 อยู่ที่ 46.36 บาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน