เพิ่งล้นตลาด! กลับมาแพงอีก รัฐโปะกองทุน เหตุน้ำมันไม่ลด
‘ไข่ไก่’ กลับมาแพง ขึ้นแผงละ 6 บาท ขยับ 20 สตางค์ต่อฟอง ตั้งแต่ 6 ก.ค. สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว-ชลบุรี-เชียงใหม่-ลำพูน และลุ่มแม่น้ำน้อย โอดแบกต้นทุนพุ่งไม่ไหว นายกฯ เรียกถกกรรมการพลังงาน อนุมัติปตท.นำเข้าแก๊สแอลเอ็นจีเพิ่มอีกปีละ 1 ล้านตัน จากเดิม 5.2 ล้านตัน ตามแผนรับมือปัญหาพลังงานขาดแคลนในอนาคต รมว.คลังแจงยังลดราคาน้ำมันไม่ได้แม้น้ำมันโลกเริ่มปรับราคาลง ยันต้องเอาเงินมาพยุงกองทุนน้ำมันที่ขาดทุนบักโกรกกว่าแสนล้านก่อน ด้านดัชนีค้าปลีกปักหัวลง 3 เดือนติด เหตุสินค้าพาเหรดขึ้นราคา ส่งผลให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยน้อยลง จี้รัฐเงินเข้าระบบเพิ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว อุ้มธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้
ถกกพช.ซื้อเพิ่ม‘แอลเอ็นจี’
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 6 ก.ค. ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาข้อเสนอการจัดหาแก๊สธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) สัญญาระยะยาวของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงสถานการณ์ด้านพลังงานขณะนี้ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยคำนึงถึงหลักการ ข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงต่างๆ ทั้งหมด ซึ่งกพช.ก็ดำเนินงานด้วยดีมาโดยตลอด สิ่งที่สำคัญคือความเข้าใจ ความไว้วางใจ โดยขอให้ทุกคนได้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางสื่อต่างๆ เพื่อนำไปสู่การทำความเข้าใจ มีเหตุผลในการชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน พร้อมย้ำว่าสิ่งสำคัญในวันนี้ คือการขับเคลื่อนไปสู่การประหยัดพลังงาน ที่ต้องมีรูปแบบการประหยัดพลังงานที่จะเกิดผลตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง และส่งผลกับประชาชน ซึ่งประชาชนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมช่วยกันประหยัดพลังงานด้วย
ให้ปตท.หาอีกปีละล้านตัน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ข้อเสนอการจัดหาแก๊สแอลเอ็นจีของปตท. เป็นการลดความเสี่ยงในการจัดหาแอลเอ็นจีในอนาคต และเป็นส่วนสำคัญที่จะเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ขอฝากให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.ได้ติดตามผลกระทบต่อราคาอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานในประเทศในอนาคต เพราะการนำเข้าแก๊สจะเกิดขึ้นในปี 2569 ขณะที่ความผันผวนด้านราคาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจสิ้นสุดลงแล้ว หรืออาจมีต่อไปก็ได้ ดังนั้นเสี่ยงไม่ได้ โดยต้องคำนึงถึงผล กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ การแข่งขันของผู้ประกอบการ รวมทั้งขอให้ กกพ.กำกับดูแลการจัดหาแอลเอ็นจี ให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามมาตรฐานสากล ให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี
ต่อมาภายหลังการประชุมนาน 1 ชั่วโมง กพช. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กพช.มีมติเห็นชอบให้บริษัท ปตท. จัดหาแอลเอ็นจี สัญญาระยะยาว ปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี เพิ่มเติมจากสัญญาระยะยาวที่ลงนามแล้ว 5.2 ล้านตันต่อปี และรับทราบในรายละเอียดสาระสำคัญการจัดหาแอลเอ็นจี ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบจะไปดำเนินการ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือ เร่งดำเนินการต่อไป และให้ ปตท.นำสัญญาซื้อขายแอลเอ็นจี สัญญาระยะยาว เสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการต่อไป
แจงค่าการตลาดน้ำมันยังพุ่ง
ด้านนายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานขอชี้แจงกระแสข่าวเกี่ยวกับค่าการตลาดน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ ที่มีการเปรียบเทียบราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นกับค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน ในช่วงต้นเดือนมิ.ย.2565 กับปัจจุบัน ที่ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นปรับลดลง แต่ค่าการตลาดปรับสูงขึ้นว่า จากแนวทางการพิจารณาค่าการตลาดอ้างอิงของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในการพิจารณาค่าการตลาดควรดูในภาพรวมของทุกชนิดน้ำมัน เพราะสถานีบริการไม่ได้จำหน่ายน้ำมันเพียงชนิดเดียว และไม่ควรเปรียบเทียบค่าการตลาดเป็นรายวัน เนื่องจากราคาน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงทุกวันตามราคาตลาดโลก โดยหากพิจารณาในปีนี้ค่าเฉลี่ยของค่าการตลาดในแต่ละเดือนก็อยู่ในกรอบที่ภาครัฐติดตามดูแล
ทั้งนี้ หากพิจารณาค่าการตลาดโดยรวมของสถานีบริการ (เฉลี่ยของทุกชนิดน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล) ตั้งแต่วันที่ 1-6 ก.ค.2565 อยู่ที่ 2.17 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของปี 2564 ทั้งปี (2.14 บาทต่อลิตร) และอยู่ในกรอบที่ภาครัฐติดตามดูแล (2.00 +/- 0.40 บาทต่อลิตร)
คลังยันต้องอุ้มกองทุนก่อน
นายอาคม รมว.คลัง กล่าวว่า การที่ทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงนี้ มีการปรับลดลงหรือปรับขึ้นบ้าง และแม้ว่าราคาน้ำมันในตลาโลกเริ่มปรับลดลงกว่า 10 ดอลลาร์ แต่ไทยก็ยังลดราคาน้ำมันให้ไม่ได้ทันที เพราะยังมีภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เข้าไปชดเชยราคาในช่วงที่ผ่านมา จะต้องแบ่งเบาภาระกองทุนน้ำมันก่อน
ส่วนกรณีค่าเงินบาทอ่อนค่า โดยไปอยู่ที่ 36 บาทต่อดอลลาร์ นายอาคมกล่าวว่า ช่วงนี้ค่าเงินบาทยังคงมีความผันผวนอ่อนค่าอยู่บ้าง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวอ่อนค่าของค่าเงินบาท เกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะในช่วงนี้เงินบาทอ่อนค่าจากปัจจัยภายนอก ทั้งกรณีค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า รวมทั้งในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ค่าเงินหยวนของประเทศจีน แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว อย่างไรก็ดี จากการติดตามเงินทุนไหลออก มีสาเหตุสำคัญจากกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อตลาดตราสาร แต่โดยรวมนักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นตลาดตราสารของไทย ขณะที่ตลาดทุนในภาพรวมก็มีการเคลื่อนไหวตามทิศทางตลาดทุนทั่วโลก
ส่วนอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนั้น นายอาคมกล่าวว่า ถ้าเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนาหลายๆ ประเทศ เงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในกลุ่มค่อนข้างต่ำ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ติดตามและหารือในการออกมาตการช่วยเหลือประชาชน ส่วนจะมีมาตรการอะไรออกมาบ้างขอให้ติดตามดู รอให้ถึงเวลาก่อน รวมทั้งจะมีการต่ออายุลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหรือไม่ ยังมีเวลาพิจารณา
ดัชนีเชื่อมั่นดิ่ง3เดือนติด
ด้านนายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนมิ.ย.2565 ในภาพรวมพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกลดลงมาอยู่ที่ 48.9 ปรับลดลง 4.4 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนพ.ค.ที่ 53.3 จุด ซึ่งลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ปรับตัวลดลง ส่งผลมาจากภาวะค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นซ้ำเติมกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ ผู้ประกอบการไม่มีความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ แม้ว่ามีแนวโน้มสัญญาณที่ดีในการออกไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกบ้านเพิ่มมากขึ้น แต่ความถี่ในการจับจ่ายกลับลดลง
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลง 4.4 จุดเช่นกัน จากระดับ 58.7 จุด ในเดือนพ.ค. มาที่ 54.3 จุดในเดือนมิ.ย. แสดงให้เห็นถึงความกังวลต่อแนวโน้มต้นทุนการดำเนินธุรกิจและราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่คาดการณ์ว่าจะถูกปรับลดลง ภาวะเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะดีดตัวเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
“ผลการสำรวจรอบนี้ของเราพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ 6.5 จุด อยู่ที่ระดับ 52.2 เป็นการเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่ได้เกิดจากการจับจ่ายที่เพิ่มขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น 7% ในขณะที่การทำกิจกรรมนอกบ้านมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่การเปิดโรงเรียน การกลับเข้าสู่สถานที่ทำงาน ของทั้งภาคเอกชนและรัฐ แต่ความถี่ในการจับจ่ายกลับลดลง 5 จุด อยู่ที่ระดับ 50.0 ผู้บริโภคเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็น ลดการบริโภค ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก จึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยอย่างเร่งด่วน” นายฉัตรชัยกล่าว
จี้4ข้อเร่งฟื้นศก.-ท่องเที่ยว
สมาคมขอย้ำ 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ 1. นโยบายกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตรงเป้าและ โดยเร็ว ภาครัฐยังคงต้องรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนไว้อย่างต่อเนื่องตลอดปี โครงการต่างๆ ต้องเน้นไปกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อที่สามารถสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้เร็ว อาทิ โครงการช้อปดีมีคืน โครงการริเริ่มสร้างเมืองปลอดภาษีให้ผู้มีกำลังซื้อจับจ่ายในประเทศแทนที่จะนำเงินไปจับจ่ายต่างประเทศ
2.รัฐต้องกำกับดูแลกลไกตลาดเพื่อให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต หากสินค้าปรับราคาสูงขึ้นเป็นจำนวนมาก ก็จะเป็นภาระต่อค่าครองชีพที่สูงต่อประชาชน แต่ถ้าไม่อนุญาตให้ปรับราคา ผู้ผลิตก็จะเลี่ยงไม่ขึ้นราคา แต่ไปปรับลดขนาด-ปริมาณสินค้า เพราะทนต่อการแบกต้นทุนไม่ไหว 3.ภาครัฐควรเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไตรมาสที่สี่ (ก.ค.-ก.ย,) ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ภาครัฐต้องเร่งรัดการดำเนินการโครงการทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อเร่งสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
และ 4.สนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการอย่างต่อเนื่อง ยกระดับศักยภาพภาคการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและยั่งยืน จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง รวมถึงพิจารณามาตรการสินเชื่อและมาตรการอื่นๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้อย่างเต็มที่ โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยว ต่างชาติถึงสิ้นปีอยู่ที่ 7.5-10 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะมาเติมกำลังซื้อ รวมถึงดึงศักยภาพการจับจ่ายของกลุ่มผู้บริโภคบางส่วนมาชดเชยปัจจัยลบได้บ้าง
ไข่ไก่ขึ้นอีกแผงละ6บาท
วันเดียวกัน สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว จำกัด, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่-ลำพูน จำกัด, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ลุ่มแม่น้ำน้อย จำกัด และสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี จำกัด แจ้งราคาแนะนำไข่ไก่คละ หน้าฟาร์มเกษตรกรอยู่ที่ 3.20 บาท/ฟอง (น้ำหนัก 20.5 ก.ก.ขึ้นไป) โดยปรับขึ้น 20 สตางค์/ฟอง หรือ 6 บาท/แผง (30 ฟอง) มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. เป็นต้นไป
นายดำรงค์ ธาราสมบัติ ประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ชลบุรี จำกัด เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ราคาไข่ไก่ตกต่ำลงอย่างหนัก ไข่คละราคาตกลงมาอยู่ที่ 2.30 บาท ขณะที่ต้นทุนอยู่ที่ฟองละ 3.26 บาท เกษตรกรเดือดร้อนอย่างหนัก ขณะที่ปริมาณแม่ไก่ก็เกินความต้องการมากกว่า 1 ล้านตัว ทำให้ผลผลิต ไข่ล้นตลาด ยิ่งทำให้ราคาตกต่ำมากขึ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลดแม่ไก่ส่วนเกินออก และผลักดันไข่ส่วนเกินออกต่างประเทศ จึงทำให้ราคาไข่เพิ่มขึ้น สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรระดับหนึ่ง
ผักพาเหรดแพงอีก
ขณะที่กรมการค้าภายใน (คน.) สำรวจราคาขายปลีกหมวดอาหารสดบางชนิดในกรุงเทพฯ ประจำวันที่ 5 ก.ค. เทียบกับวันที่ 4 .ค. มีปรับราคาขึ้นต่อก.ก.คือ ผักชีปรับขึ้น 10 บาท จาก 140-150 บาท เป็น 150-160 บาท, ต้นหอมขึ้น 10 บาท จาก 135-140 บาท เป็น 145-150 บาท, ผักกาดขาว (ลุ้ย) ขึ้น 5 บาท จาก 25-30 บาท เป็น 30-35 บาท และผักกวางตุ้งลดลง 5 บาท จาก 20-25 บาท เป็น 15-20 บาท