อ้างทำบุญเข้าพรรษา สพฐ.แจงแค่เชิญชวน

โวยแหลก หนังสือสพฐ.ให้เด็กนักเรียนกินมังสวิรัติ 9 มื้อช่วงเข้าพรรษาอ้างเพื่อทำบุญกุศล นักวิชาการจวกสนั่น ให้เอกชนมากำหนดนโยบายรัฐ เพิ่มภาระครูนักเรียนมากขึ้น ระบุทุกวันนี้อาหารกลางวันก็แทบไม่มีเนื้อสัตว์อยู่แล้ว ถามถึงตรีนุช ทำอะไรไม่ดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ดี ย้อนแย้งกับที่เคยให้นโยบายลดงานเอกสารครู เพิ่มประสิทธิภาพทางการศึกษา เผยเป็นห่วงกัญชา-ยาเสพติดมากกว่า น่าจะทำตรงนี้ด้วย ด้านเลขาฯสพฐ.แจงวุ่นแค่รณรงค์เชิญชวน แต่ถูกตั้งข้อสังเกตให้รายงานกลับถือเป็น คำสั่งหรือการเชิญชวน

วันที่ 23 ก.ค. จากกรณีเพจนักเรียนเลวเปิดเผยหนังสือด่วนที่สุด ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ลงนามโดย นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ถึงโรงเรียนในสังกัด ลงวันที่ 20 ก.ค. 2565 ระบุว่าสพฐ.ร่วมกับบริษัท คะตะลิสต์ จำกัด ดําเนินกิจกรรมส่งเสริมการรับประทานอาหารมังสวิรัติในช่วงเข้าพรรษา ระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม-12 สิงหาคม 2565 เพื่อร่วมทําบุญกุศลในช่วงเข้าพรรษา ประจําปี 2565 โดยการส่งเสริมให้โรงเรียนประกอบอาหารมังสวิรัติและรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นมื้อกลางวันในวันพระ หรือตามที่โรงเรียนกําหนด รวม จํานวน 9 มื้อ เพื่อลดการเบียดเบียน ส่งเสริมและปลูกฝังความเมตตาต่อสัตว์ตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา โรงเรียนสามารถออกแบบพัฒนาอาหารกลางวันแก่นักเรียนอย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการและเสริมสร้างพัฒนาสุขภาพที่ดีแก่นักเรียน

ในการนี้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานขอให้ท่านประชาสัมพันธ์ให้โรงเรียนวิถีพุทธในสังกัดที่มีความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการรับประทานอาหารมังสวิรัติในช่วงเข้าพรรษา และรายงานผลการ ดําเนินงานภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2565 จนสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ล่าสุด นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า หนังสือดังกล่าวไม่ได้เป็นคำสั่ง แต่เป็นการรณรงค์เชิญชวน ซึ่งดำเนินการมาเป็นประจำทุกปีในช่วงเข้าพรรษา ใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ไม่ได้เป็นการบังคับ และหาก อ่านในพารากราฟสุดท้ายก็ชัดเจนว่าประชาสัมพันธ์เชิญชวนเฉพาะผู้ที่สนใจเท่านั้น

ด้านนายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษาระบุว่า อ่านเอกสารฉบับดังกล่าวแล้วพบว่ามีวัตถุประสงค์และหลักการที่ดูดี แต่สอบตก และไม่น่าสนับสนุน ซึ่งประเด็นที่ให้ตั้งคำถามคือ ทำไมมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมกำหนดนโยบายของรัฐ ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าภาคเอกชนที่เข้ามาทำงานร่วมกับรัฐมีวัตถุประสงค์อะไร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าต่อไปภาคเอกชนที่เข้าถึงส่วนกลางได้ เวลามีกิจกรรมอะไรร่วมกันส่วนกลางก็จะมีนโยบายให้ผู้ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระให้ครูและโรงเรียนมากขึ้น ดังนั้น ส่วนกลางจะต้องคิดให้ดีเวลาจะออกนโยบายให้โรงเรียน เพราะอาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้ผู้บริหารและครูตามมา

นายสมพงษ์กล่าวต่อว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมเอกสาร เพราะจะเห็นว่าแค่เรื่องมังสวิรัติที่ถือเป็นเรื่องเล็กๆ ส่วนกลางยังต้องทำหนังสือแจ้งไปยังพื้นที่ และหากมีการปฏิบัติพื้นที่ต้องจัดทำรายงานส่งให้ส่วนกลางเพื่อบอกว่าได้ทำและปฏิบัติแล้ว สะท้อนให้เห็นว่านโยบายลดภาระงานครูที่น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศธ.ออกมาเน้นย้ำตลอดไม่ได้รับการปฏิบัติจริง และภาระงานของครูไม่ได้ลดลงเลย สิ่งเหล่านี้คือการแยกครูออกจากห้องเรียน การที่สพฐ.นำศาสนาพุทธมาอ้างให้โรงเรียนทำอาหารมังสวิรัติให้เด็กนั้นขอให้ สพฐ.ดูรายละเอียดและศึกษาอย่างรอบด้านว่าการกินมังสวิรัติเป็นเรื่องของศาสนาพุทธจริงหรือไม่ ทั้งนี้ อย่าลืมว่าปัจจุบันอาหารกลางวันของนักเรียนนั้นแทบจะไม่มีเนื้อสัตว์อยู่แล้ว อย่าซ้ำเติมเด็กไม่ให้เด็กกินเนื้อสัตว์อีกเลย

“อยากให้น.ส.ตรีนุชดูแลหน่วยงานในสังกัด ศธ.ให้ดีว่าแต่ละหน่วยงานออกนโยบายมาได้ย้อนแย้งกับนโยบายที่น.ส.ตรีนุชกำหนดไว้หรือไม่ นโยบายที่รณรงค์ให้เด็กกินมังสวิรัติเป็นเรื่องแปลก แม้จะบอกว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ เชิญชวน แต่อะไรที่ออกมาจากส่วนกลางโรงเรียนต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว มองว่าน.ส.ตรีนุชควรจะกำชับทุกหน่วยงานให้ลดคำสั่งกับนโยบายที่ไม่จำเป็น หากเป็นไปได้ควรลด 50-70% และเร่งติดตามนโยบายที่สำคัญๆ เช่น เน้นคุณภาพการศึกษา เน้นการปฏิรูป และฟื้นฟูการศึกษาดีกว่า” นายสมพงษ์กล่าว

นายสมพงษ์กล่าวต่อว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้ประชุมกับคณะกรรมการยาสูบแห่งชาติ พบว่ามีนักสูบหน้าใหม่ตั้งแต่อายุ 14-25 ปี และกลุ่มผู้หญิงเข้ามาสูบเพิ่มมากขึ้น สะท้อนว่าประตูเข้าสู่สารเสพติดแห่งประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากจะมีบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า ยังมีกัญชา กัญชงเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าจะมีกลุ่มเด็กประมาณ 10 ล้านคนที่อาจจะเข้าสู่วังวนของการใช้สารเสพติดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตนกังวลว่าภาพอนาคตของประเทศไทยจะมีผู้ติดยา มีคดีอาชญากรรม และปัญหาครอบครัวเพิ่มมากขึ้นประมาณ 3 เท่า ปัจจุบันทั้งบุหรี่และกัญชาหาซื้อได้ง่าย ประกอบกับนโยบายกัญชาเสรีทำให้เกิดไฟลามทุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากขึ้น เพราะเด็กสามารถเข้าถึงและซื้อกัญชาได้ง่าย

“มีหลายโรงเรียนที่นักเรียนลักลอบนำกัญชาไปสูบจนเกิดวัฒนธรรมปุ๊นขึ้นมาในสถานศึกษา ซึ่งจะมีผลต่อสมอง ความจำของเด็ก และทำให้เด็กขาดสติ ส่งผลต่อพัฒนาการเรียน ทำให้เด็กเรียนไม่รู้เรื่อง ร้ายแรงที่สุดคือเด็กอาจจะเมายาและทำร้ายร่างกายกัน คาดว่าอีก 6 เดือนกัญชาจะขยายเข้าสู่กลุ่มอายุ 14-24 ปี เพิ่มมากขึ้น อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเหล่านี้ ผมมองว่าการห้ามนำกัญชง กัญชาและสารเสพติดมาใช้ในโรงเรียน ยังไงก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะการห้ามเท่ากับเป็นการยุให้เด็กทำ แต่ควรจะให้ความรู้ ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เด็กถึงจะมีภูมิคุ้มกันรับรู้ถึงข้อดีข้อเสียของกัญชง กัญชา” นายสมพงษ์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน