ศาลรับฟ้องคดีฆ่าบิลลี่ เจ้าตัวโวยโดนคุกคาม อ้างสร้างหลักฐานเท็จ

อัยการส่งตัว ‘ชัยวัฒน์’ กับลูกน้องฟ้องศาลคดี ‘บิลลี่’ ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กักขังหน่วงเหนี่ยว อำพรางคดี เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อนศาลให้ประกัน หลักทรัพย์คนละ 8 แสน พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ห้ามยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เจ้าตัวยืนกรานไม่ได้ทำ ปล่อยตัวบิลลี่ไปแล้ว โวยถูกคุกคามทั้งจากสังคมและชาวบ้าน สร้างหลักฐานเท็จ ยันที่ผ่านมาไม่เคยจับกลุ่มชาติพันธุ์เลยสักคดีเดียว

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำตัวนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พร้อมด้วยนายบุญแทน บุษราคำ, นาย ธนเสฏฐ์ หรือ ไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 1-4 คดีฆ่านายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำชาวบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี มาส่งตัวให้พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

นายชัยวัฒน์ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าพบอัยการว่าไม่มีความกังวลใจ เตรียมเอกสารประกันตัว ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้ทำอะไร เมื่อทุกอย่างมาถึง ขั้นตอนศาล รู้สึกโล่งใจมากกว่า เพราะจะได้พิสูจน์ความจริง รวมถึงประเด็นที่ว่าตนเองเป็นผู้ลงมือสั่งการและเผาบ้านปู่คออี้และมอแอะ ชาวบ้านบางกลอย 2 หลัง แต่ท้ายที่สุดหลักฐานชี้จัดว่าปู่คออี้และมอแอะอยู่บ้านหลังเดียวกัน มองว่าเป็นการสร้างหลักฐานเท็จ ให้การเท็จ และแจ้งเท็จ ตนเองก็พิสูจน์แล้ว อยากให้สังคมติดตามดูความจริงคืออะไร และยังไม่ฟ้องกลับบุคคลเหล่านั้น ทุกคนยังเกี่ยวข้องกับกรณีที่ดินชาวบ้านบางกลอยที่ยังพิพาทกันอยู่ตอนนี้

“ผู้ใหญ่และน้องๆ ทุกคนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ยืนยันไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ผมก็ทำงานในการปกป้องป่าตามปกติ ยังรู้สึกเห็นใจลูกน้องที่ต้องมาพัวพันคดี ซึ่งลูกน้องทุกคนรู้สึกท้อใจ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำอะไร แต่กลับมาโดนคดี มองว่าไม่ว่าใครที่อยู่ใกล้ชิดผมก็มักจะซวยตามไปด้วย” นายชัยวัฒน์กล่าว

ขณะที่นายพรชัย พฤกษ์พิชัยเลิศ ทนายความนายชัยวัฒน์ กล่าวว่าต้องดูฝั่งอัยการในขั้นตอนตรวจหลักฐานสืบพยานก่อน ว่ามีพยานหลักฐาน พยานบุคคล หรือวัตถุพยานอย่างไรบ้าง เตรียมหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นเงินสดคนละ 1,000,000 บาท

ต่อมาพนักงานอัยการนำตัวนายชัยวัฒน์และพวกไปยื่นฟ้องต่อศาลคดีทุจริตฯ และนายชัยวัฒน์ให้สัมภาณ์อีกครั้งว่ายังคงยืนยันไม่มีความกังวลใจ ถึงแม้ในช่วงแรกจะน้อยใจ แต่เมื่อคิดดีๆ แล้วก็พบว่าการเข้าสู่กระบวน การยุติธรรมนั้นดีกว่า เพื่อที่ในทุกๆ ปีจะได้ไม่มีการมาพูดเป็นเทศกาลเกี่ยวกับบิลลี่อีก เพื่อความชัดเจนสำหรับสังคมด้วย เชื่อในความบริสุทธิ์ของตนเองและพวกมาตลอด จึงขอให้ศาลเมตตาให้ได้ประกันตัว

อดีตหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยทราบรายละเอียดของสำนวนพนักงานสอบสวนดีเอสไอว่าเป็นอย่างไร ทุกครั้งที่เรียกไปแจ้งข้อกล่าวหา เราปฏิเสธ ทุกข้อกล่าวหา ขอให้การชั้นศาล จึงไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนดีเอสไอกล่าวหาอย่างไร หรือมีพยานหลักฐานอะไรบ้าง แต่เราต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง








Advertisement

ได้ประกัน – นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร พร้อมลูกน้องรวม 4 คน เดินออกจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กทม. หลังได้ประกันตัวคดีร่วมกันอุ้มฆ่าบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย โดยยื่นหลักทรัพย์คนละ 8 แสนบาท เมื่อวันที่ 5 ก.ย.

นายชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า อยากให้ไปติดตามเรื่องเผาบ้านปู่คออี้มากกว่า ว่าเผาจริงหรือไม่ เกิดขึ้นอย่างไร ใครเป็นคนเผา เรื่องเริ่มจะชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อก่อนเขาฟ้องกระทรวงและกรม ไม่ได้ฟ้องตน แต่พอตอนนี้เราเดือดร้อน พอเรามาเปิดเอกสารดู สำนวนที่เขาไปให้การต่อศาล ตนอยากให้ไปมองถึงกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะคนกลุ่มนี้เป็นเหยื่อ การให้คนเหล่านี้มาปั๊มลายนิ้วมือรับรองว่าให้การแบบนี้ แต่วันนี้กลับให้ข้อความเท็จหมด เช่น ปู่คออี้กับนอแอะเป็นพ่อลูกกัน อยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่แยกฟ้องคนละหลัง หลังละเกือบ 2,000,000 บาท แบบนี้เท็จหรือไม่ ทั้งยังอ้างว่าตนไปยืนเผาบ้าน ปู่คออี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไป ไม่เคยไป ไม่รู้เรื่อง ดังนั้นพอถึงขั้นที่ศาลมีคำสั่งให้ชดใช้ จึงอยากให้สังคมกับสื่อมาตามเรื่องนี้ดีกว่า

“วันนี้ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งนั้นที่จะมา หักล้างคดีฆาตกรรมบิลลี่ เพราะผมและพวกไม่ได้ทำตามที่กล่าวหา เนื่องจากเคยให้การต่อศาลแล้วว่าผมได้ไปส่งบิลลี่กับเจ้าหน้าที่ ปล่อยตัวแล้ว จากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ถ้าจะมีหลักฐานก็คงต้องมีบิลลี่ ถึงจะบอกได้ว่ามีการปล่อยตัวบิลลี่หรือไม่ ส่วนหลักฐานเรื่องดีเอ็นเอที่ไปสัมพันธ์กับแม่บิลลี่ ที่ดีเอสไอไปตรวจพบ ก็คงต้องไปดูกันอีกที เเต่ไม่ได้กังวลในส่วนนี้” นายชัยวัฒน์กล่าว และเมื่อถามว่าถ้าบิลลี่ผิดจริงในข้อหาครอบครองน้ำผึ้งป่า ทำไมจึงปล่อยตัวบิลลี่ไป นายชัยวัฒน์กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาคงฟ้องมาตรา 157 และภาวนาขอให้ศาลเมตตา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อหาที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษยื่นฟ้องต่อศาล คือร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอา หรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้, ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง

ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย, ร่วมกันโดยทุจริต หรือเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป, ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

และร่วมกันเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่ง ผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและเป็น ผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง หรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

จากนั้นศาลพิจารณานานกว่า 4 ชั่วโมง จึงมีคำสั่งประทับฟ้องเป็นคดี พร้อมพิจารณาให้ประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์วงเงินคนละ 800,000 บาท โดยมีเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ และห้ามยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานทางคดี นัดสอบคำให้การในวันที่ 26 ก.ย.

นายชัยวัฒน์ให้สัมภาษณ์หลังได้ประกันว่าโล่งใจที่ศาลให้ประกันตัว และเข้าสู่กระบวน การยุติธรรม ยอมรับว่าลดความกดดันได้ไปส่วนหนึ่ง มองว่าเป็นการให้โอกาสตนได้ต่อสู้คดี หลังจากนี้ต้องว่าไปตามพยานและหลักฐาน ขอบคุณกลุ่มทนายที่ช่วยเหลือเรื่องเงินประกันของทุกคน จากเงินกองทุนที่ตั้งขึ้นมาสำหรับคดีนี้ เงินทั้งหมดไม่ใช่ของตน และเงินของกระทรวง

ต่อข้อถามถึงกรณีชาวบ้านหวั่นเกรงถูกคุกคามนั้น นายชัยวัฒน์กล่าวว่า ตนเองต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกคุกคาม ทั้งจากสังคมและชาวบ้าน เพราะทำงานอยู่ในป่า ไม่ได้รับรู้ข่าวสารอะไร แต่กลับถูกสื่อและสังคมกล่าวหาว่าหนีคดี ไปคุกคามชาวบ้าน อีกทั้งชาวบ้านยังใช้โอกาสที่เป็นชนกลุ่มน้อยอ้างเรื่องสิทธิขึ้นมาต่อว่าตนเองอีก ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยจับกุมกลุ่มชาติพันธุ์เลยสักคดีเดียว จนถึงนาทีนี้ยังขอยืนยันถึงความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำในคดีการเสียชีวิตของบิลลี่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน