สาหัส1คา‘วทบ.’ กองทัพชี้ป่วยจิต

จ่าเสมียนวิทยาลัยการทัพบก คลั่งรัวดับทหารเพื่อนร่วม งานสยอง 2 ศพ สาหัสอีก 1 ตร.ระดมปิดถนนรอบจุดเกิดเหตุห้ามสัญจรหวั่นกราดยิงมั่วถูกชาวบ้าน เจรจาจนยอมมอบตัว ทบ.แจงมีอาการทางสมองหลังต้องรับการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะจากอุบัติเหตุในกองทัพระหว่างฝึกเลื่อนขั้นเมื่อปี 59 จนมีอาการทางจิตก้าวร้าวพกปืนไปทำงาน จนผู้บังคับบัญชาต้องแยกให้ทำงานเพียงลำพังจนมาก่อเหตุ พยานในที่เกิดเหตุระบุตั้งใจยิงเพียงศพเดียว แต่เพื่อนร่วมงานพยายามเข้าห้ามเลยโดนยิงตายเจ็บเพิ่ม

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 ก.ย. พ.ต.ท. รามน้อย สายอ๋อง สว.(สอบสวน) สน.ดุสิต รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตภายในกองธุรการ วิทยาลัยการทัพบก กรมยุทธศึกษาทหารบก (วทบ.) ถนนเทอดดำริ แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ เบื้องต้นรับรายงานว่า ผู้ก่อเหตุยังถืออาวุธปืนอยู่ในมือและเดินวนไปมาอยู่พื้นที่ ตำรวจจราจร สน.ดุสิต ต้องปิดถนน เทอดดำริทั้งขาเข้าและออก ตั้งแต่หน้าสถานีดับเพลิงดุสิตถึงแยกประดิพัทธ์ และถนนพระราม 5 สี่แยกเกษะโกมล ที่จะเลี้ยวเข้าถนนเศรษฐศิริ โดยให้ยานพาหนะทุกชนิดเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นป้องกันอันตรายกับประชาชนผู้ใช้เส้นทางสัญจรผ่าน

สำหรับผู้บาดเจ็บถูกยิงด้วยอาวุธปืน จำนวน 2 ราย และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย ทราบชื่อ จ.ส.อ.นพรัตน์ อินทรสุนทร สภาพศพนอนหงาย สวมเสื้อสีเหลือง กางเกงดำ ถูกกระสุนปืนที่ศีรษะ ส่วนผู้บาดเจ็บนำส่งร.พ.วชิระ จำนวน 2 ราย ชื่อ จ.ส.อ.ประการ สินส่ง ตำแหน่งเสมียน วทบ. เสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล และ จ.ส.อ.ยงยุทธ ปัญญานุวัฒน์ ถูกยิงที่แขน

ส่วนผู้ก่อเหตุ ชื่อ จ.ส.อ.ยงยุทธ มังกรกิม อายุ 58 ปี ตำแหน่งเสมียน วทบ. หลังก่อเหตุพยายามหลบหนีออกมาทางประตูด้านหน้าถนนเทอดดำริ โดยสวมเสื้อคลุมสีดำแถบสีแดงทับเครื่องแบบทหารไว้ ในมือขวายังถืออาวุธปืน ก่อนถูกตำรวจ สน.ดุสิต จับกุมได้ นำตัวกลับเข้าไปภายในกรมยุทธศึกษาทหารบก รอผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดผู้ก่อเหตุและนายทหารพระธรรมนูญร่วมสอบปากคำ ต่อมาตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารคุมนำตัวจ.ส.อ.ยงยุทธ ไปสอบปากคำ พร้อมให้เจ้าหน้าที่พฐ.ตรวจเขม่าดินปืนจากผู้ก่อเหตุเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี ที่สน.ดุสิต ต่อมาเวลา 13.30 น. ภรรยาพร้อมบุตรชายและบุตรสาวของจ.ส.อ.ยงยุทธนำเอกสารการรักษาของแพทย์เข้าพบพนักงานสอบสวน

รายงานข่าวแจ้งว่า จ.ส.อ.ยงยุทธ ยังอยู่ในภาวะสับสนและให้การวกวน แต่รับสารภาพว่าได้ลงมือก่อเหตุดังกล่าวจริง นอกจากนั้นยังพบว่าเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา จ.ส.อ.ยงยุทธ เกิดอาการเครียดอาละวาดและเกิดอาการหูแว่ว ว่ามีเบื้องบนสั่งให้ฆ่าคน 10 คน เพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชาช่วยกันเกลี้ยกล่อมจนสงบ ในวันดังกล่าวเป็นวันที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ไปปิดการศึกษาหลักสูตรหลักประจำวิทยาลัยการทัพบก รุ่นที่ 67

จ่าทหารคลั่ง – ตำรวจเข้าควบคุมตัวจ.ส.อ.ยงยุทธ มังกรกิม อายุ 58 ปี ก่อเหตุใช้ปืนยิงเพื่อนทหารยศ จ.ส.อ.เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บสาหัส 1 นาย ที่วิทยาลัยการทัพบก กรมยุทธศึกษาทหารบก เขตดุสิต กทม. เมื่อวันที่ 14 ก.ย.

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ส่วนสาเหตุที่จ.ส.อ. ยงยุทธกราดยิงเพื่อนร่วมงาน คาดมาจากปัญหาความขัดแย้งภายในที่ทำงานที่เกิดขึ้นสะสมมานานแล้ว ประกอบกับจ.ส.อ. ยงยุทธมีปัญหาทางสมองและมีอารมณ์ที่แปรปรวนและรุนแรงเนื่องจากได้รับการกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุในระหว่างเดินทางไปฝึกอบรมเพื่อเลื่อนขั้นของกองทัพ และยังมีบางกระแสระบุว่า มีภาวะความเครียดจนส่งผลกระทบต่อจิตใจของ จ.ส.อ.ยงยุทธอย่างหนัก จากกรณีถูกเสนอชื่อย้ายออกจากหน่วย








Advertisement

ขณะที่เพื่อนร่วมงานที่อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า เกิดจากผู้ก่อเหตุมีความขัดแย้งบาดหมางกับผู้เสียชีวิตรายหนึ่งตั้งใจมาก่อเหตุดังกล่าว ก่อนใช้ปืนยิงจนเสียชีวิต ขณะที่เพื่อนร่วมงานที่เห็นเหตุการณ์พยายามเข้าไปช่วยเหลือและห้ามปราม ทำให้ถูกจ.ส.อ.ยงยุทธใช้ปืนยิงจนเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ อีก 1 ราย

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมงในการสอบปากคำยังไม่แล้วเสร็จ โดยมีนายทหารพระธรรมนูญ รวมถึงผู้บังบัญชาระดับสูงของกองทัพบกและผู้บังคับบัญชาของ ผู้ต้องหา เข้าร่วมสอบปากคำในครั้งนี้ด้วย หากการสอบปากคำแล้วเสร็จทันในช่วงเย็นวันนี้ เจ้าหน้าที่จะคุมตัวส่งฝากขังที่ศาลทหาร

วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงกรณีดังกล่าว ว่า ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย เรามีกฎหมายอยู่แล้ว ต้องให้เจ้าหน้าที่เขาดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนสาเหตุการก่อเหตุยังไม่ทราบ ยังไม่ได้รับรายงานในรายละเอียด

เมื่อถามว่าจำเป็นต้องมีการพิจารณาอาวุธที่ติดประจำกายของนายทหารในการเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า คนที่จะพกปืนเราไม่รู้ได้ว่าใครพกบ้าง ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบดูแล โดยเฉพาะการเดินทางเข้ามาทำงานเป็นเรื่องของแต่ละหน่วยงาน

เมื่อถามว่าจะหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอย่างไร พล.อ.ประวิตรย้อนถามว่า แล้วจะให้ป้องกันอย่างไร ช่วยบอกวิธีการมาหน่อย

ที่บก.ทบ. พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก ทบ. กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวหน่วยต้นสังกัดรายงานให้กองทัพบกรับทราบแล้ว และดำเนินการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บให้อย่างดีที่สุด สำหรับผู้บาดเจ็บถูกนำส่งเข้ารับการรักษาที่ ร.พ.พระมงกุฎเกล้า และดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการศพของผู้เสียชีวิตอย่างเหมาะสม รวมทั้งการประสานอำนวยความสะดวกในการสืบสวนสอบสวนทางคดีให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับผู้สูญเสีย การดำเนินการทางคดีอาญากองทัพบกให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ ส่วนในเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยของหน่วย ให้ดำเนินการสอบสวนเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ

“กองทัพบก ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของกำลังพลที่เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เป็นความสูญเสียทั้งของครอบครัวและหน่วยงาน เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งกองทัพบกได้กำชับให้หน่วยต้นสังกัดได้บริหารจัดการในเรื่องดังกล่าวอย่างดีที่สุดในทุกด้าน” รองโฆษกกองทัพบก กล่าว

ส่วนแรงจูงใจและมูลเหตุในการก่อเหตุ ให้การว่าอย่างไรนั้น พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ เปิดเผยว่า เรื่องของสาเหตุอาจจะต้องใช้เวลาที่จะมาเป็นองค์ประกอบ ทั้งนี้เรื่องของสภาพร่างกาย และจิตใจของผู้ก่อเหตุด้วย รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทั้งนี้หน่วยต้นสังกัดให้ข้อมูลว่า อาจจะเกิดจากความเครียดและปัญหาทางสุขภาพของผู้ก่อเหตุ ส่วนความสัมพันธ์ของผู้ก่อเหตุกับเหยื่อ ชี้แจงว่าหากดูจากพฤติกรรมการก่อเหตุ มีลักษณะว่าเมื่อเจอใครก็จะดำเนินการ ไม่ได้มีลักษณะของการทะเลาะเบาะแว้ง อาจจะเป็นในด้านของสภาพจิตใจของผู้ก่อเหตุมากกว่าที่อาจจะมีสาเหตุมาจากสุขภาพร่างกายของเขา

ทั้งนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. สั่งการให้หน่วยต้นสังกัดดำเนินการเกี่ยวกับผู้บาดเจ็บให้ดูแลอย่างเต็มที่ ส่วนผู้ที่เสียชีวิตจะอำนวยความสะดวกต่างๆ ในเรื่องของการจัดการพิธีศพ รวมถึงในเรื่องของทางคดีและสถานที่เกิดเหตุ ที่ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ในระหว่างรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน และยืนยันว่าในส่วนของกองทัพบกนั้น จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนสอบสวน ให้คลี่คลายข้อมูลต่างๆ ที่เป็นเหตุจูงใจที่ทำให้เกิดการก่อเหตุครั้งนี้

วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจ นครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รองผบช.น. ฐานะรองโฆษกบช.น. เปิดเผยว่า ขณะนี้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้แล้วที่สน.ดุสิต ทางพล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. มีความเป็นห่วงกลัวประชาชนเข้าใจว่าเหตุดังกล่าวจะเหมือนเหตุการณ์ในอดีตกรณีใช้คำว่ากราดยิง แต่ข้อเท็จจริงเป็นเหตุการณ์ภายในพื้นที่ปิดสถานที่ราชการ ผู้ก่อเหตุเป็นผู้รับราชการทหารทำงานเป็นเสมียนใช้อาวุธปืนประจำกายขนาด 9 ม.ม. ก่อเหตุ ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนร่วมกับนายทหารพระธรรมนูญว่า มีการรักษาตัวหรือมีอาการอะไรหรือไม่

“การตรวจสอบอาวุธที่ใช้ก่อเหตุเป็นอาวุธประจำกายของตัวเขาเองไม่ใช่อาวุธปืนประจำหน่วย ส่วนกรณีการอ้างว่ามีอาการป่วยทางจิตนั้น ต้องดูประวัติการรักษาจริงหรือผู้บังคับบัญชารู้เคยมีอาการนั้นต้องดำเนินการตรวจสอบให้ชัดเจน ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื่องจากมีการใช้อาวุธปืนทำร้ายผู้อื่นเสียชีวิต ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ อย่างไรก็ตาม สายตรวจ 191 และสายตรวจสน.ดุสิต ถึงพื้นที่ด้วยความรวดเร็ว แต่เป็นพื้นที่ปิดและสถานที่ราชการต้องมีการขออนุญาตตามขั้นตอน และมีการมอบตัวเดินออกมามอบตัวไม่ได้มีการบุกเข้าไปสถานที่ราชการแต่อย่างใด แต่หากออกมาภายนอกพื้นที่ก่อเหตุถือเป็นภัยคุกคามประชาชนทั่วไปน่าเป็นห่วง” รองโฆษกบช.น. กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า พ.ต.อ.ภิรมย์ สวนทอง รองผบก.น.1 สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบข้อมูลกรณีผู้ก่อเหตุมีประวัติเข้ารับการผ่าตัดเปิดกะโหลกเมื่อปี 59 ที่ผ่านมา หลังประสบอุบัติเหตุต้องทำให้มีอาการที่กระทบกระเทือนทางสมอง มีลักษณะมีความก้าวร้าวกับครอบครัว เนื่องจากไม่ได้รับการรักษาหลังจากผ่าตัดมาตั้งแต่ปี 62 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีการพกพาอาวุธปืนไปในที่ทำงาน ทางหัวหน้าจึงได้ให้มาอยู่ประจำทำงานแยกจากคนอื่น จนกระทั่งมาเกิดเหตุดังกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน