ดัดแปลงใช้ลอบขนยา หวังตบตา-หลบหนีตร. บิ๊กเด่นสั่งเช็กทะเบียน เตือนอย่าทำ-ผิดหนัก

ตำรวจ 191 บุกรวบ 3 หนุ่มเอเยนต์ยาเสพติด เครือข่ายไอซ์รายใหญ่ภาคกลาง คาบ้านเช่าย่านบางใหญ่ นนทบุรี จุดพักยาก่อนค้นบ้านอีกหลังที่ใช้เป็นคลังเก็บยาเสพติด ยึดเฮโรอีน ยาไอซ์ และยาเคจำนวนมาก ผู้ต้องหาสารภาพรับจ้างขนมาจากภาคเหนือ ลำเลียงส่งให้ลูกค้ารายย่อย ใช้รถฟอร์จูนเนอร์ดัดแปลงสลับทะเบียนได้ด้วยระบบรีโมตคอนโทรลควบคุม ซื้อทางออนไลน์ 3 หมื่นมาติดตั้งเอง เพื่อหลบเลี่ยงการติดตามของตร. ทำมาแล้ว 4 ครั้ง ได้ค่าจ้างครั้งละ 2 แสน ‘บิ๊กเด่น’ ผบ.ตร.สั่งด่วนตรวจเข้มแผ่นป้ายทะเบียนปลอม หลังคนร้ายตบตาดัดแปลงใช้รีโมตกดเปลี่ยนป้ายทะเบียน ขู่อย่าทำตามผิดกฎหมาย โทษจำคุกสูงสุด 5 ปี

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 24 ต.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.โชคชัย นามวงศ์ รองผบช.น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น. โฆษกบช.น. พล.ต.ต.ภาณพ วรธนัชชากุล ผบก.สปพ. แถลงข่าวจับยาเสพติดรายใหญ่ ได้ผู้ต้องหา 3 คน ประกอบด้วย นายสายชล หรือเต๋า อายุ 35 ปี นายจักรพงษ์ หรือแจ๊ค อายุ 33 ปี และนายกิตติศักดิ์ หรือแชมป์ อายุ 33 ปี

พล.ต.ต.จิรสันต์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 ที่สามารถสืบสวนและติดตามจับกุมขบวนการค้ายาไอซ์รายใหญ่ ในพื้นที่ภาคกลาง หลังขยายผลจากการจับกุม ผู้ค้ายารายย่อย เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ว่า รับซื้อยาเสพติดมาจากกลุ่มของนายกิตติศักดิ์ ไม่ทราบนามสกุลกับพวกรวม 3 คน ซึ่งใช้รถเก๋งฟอร์จูนเนอร์เป็นพาหนะ หลังได้ข้อมูล ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 นำประวัติของผู้ต้องหาในคดียาเสพติดมาตรวจสอบ พร้อมให้ ผู้ต้องหาหรือผู้ค้ายารายย่อยชี้ตัว และติดตามความเคลื่อนไหวของนายกิตติศักดิ์มาตลอด จนทราบว่านายกิตติศักดิ์กับพวกซึ่งประกอบด้วยนายแชมป์และนายแจ๊คเช่าบ้านหรูในพื้นที่จ.นนทบุรีถึง 2 หลัง โดยหลังแรกผู้ต้องหาใช้ในลักษณะเป็นที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงาน ส่วนอีกหลังมีลักษณะผิดปกติ คล้ายเป็นจุดพักยา ตำรวจจึงเข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านชื่อดัง ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โดยระหว่างที่เข้าตรวจค้น พบว่าทั้ง 3 คนกำลังวางแผนส่งยาให้กับ ผู้ค้ารายย่อย จากการตรวจค้นภายในบ้านพักหลังดังกล่าว พบอาวุธปืนสงคราม 1 กระบอก ปืนยาว 1 กระบอก และปืนสั้นอีก 1 กระบอก

ไฮเทค – ตำรวจสปพ.191 ตรวจสอบรถยนต์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ของแก๊งยาเสพติด ดัดแปลงให้สลับเปลี่ยนป้ายทะเบียนได้ โดยใช้รีโมตคอนโทรลควบคุม เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ขณะขนส่งยาและหลบหนีจับกุม ที่บช.น. เมื่อวันที่ 24 ต.ค.

สอบสวนนายกิตติศักดิ์และเพื่อนอีก 2 คน รับสารภาพว่าใช้เป็นจุดบัญชาการรับคำสั่งส่งยาจากนายทุนและเป็นสถานที่วางแผนการส่งยาให้กับลูกค้า ส่วนบ้านอีกหลัง ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ ใช้เป็นคลังเก็บยาเสพติด ก่อนนำตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านอีกหลัง พบเฮโรอีน 120 แท่ง ยาไอซ์น้ำหนัก 162 ก.ก. รวมถึงวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 เคตามีนอีก 97 ก.ก.

นายกิตติศักดิ์ยังยอมรับด้วยว่า ยาดังกล่าวรับมาจากพื้นที่ภาคเหนือ ก่อนถูกลำเลียงส่งให้ตน โดยพวกตนได้รับค่าจ้างเดือนละ 200,000 บาท ทำมาตั้งแต่เดือนก.ค. จนถึงปัจจุบัน รับยามาแล้วถึง 4 ครั้ง ส่วนการส่งย้ายกับผู้ค้ามีการส่งอย่างต่อเนื่อง

พล.ต.ต.จิรสันต์กล่าวอีกว่า สำหรับกระบวนการค้ายารายนี้ใช้รถฟอร์จูนเนอร์เป็นยานพาหนะในการขนส่งยา และตบตา เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยวิธีการสลับทะเบียนรถ โดยใช้รีโมตคอนโทรลในการควบคุม กลับเปลี่ยนป้ายทะเบียน เพื่อหลบหนีการติดตามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมยอมรับว่าวิธีการใช้เทคโนโลยีรีโมตพลิกกลับปรับเปลี่ยนป้ายทะเบียนรถเริ่มถูกนำมาใช้มากขึ้นในหมู่ของผู้ก่อคดีอาชญากรรม โดยเฉพาะขบวนการค้ายาเสพติด เมื่อสอบถามผู้ต้องหายอมรับว่า สั่งซื้อระบบพลิกกลับเปลี่ยนป้ายทะเบียนมาจากเว็บไซต์สินค้าออนไลน์ ราคา 30,000 บาท ก่อนนำมาติดตั้งกันเอง

ด้านพล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า การจับกุมของตำรวจ 191 ดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ที่ให้ทุกหน่วยเร่งจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ สามารถจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ได้ในพื้นที่จ.นนทบุรี พร้อมของกลางยาไอซ์ 162 ก.ก. เฮโรอีน 120 แท่ง และเคตามีน 97 ก.ก. พบว่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าวมีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายยาเสพติดในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ใช้วิธีการที่แยบยลดัดแปลงแผ่นป้ายทะเบียนรถใช้รีโมตกดเปลี่ยนทะเบียนรถเอง เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 3 วินาที แผ่นป้ายทะเบียนปลอมด้านหลังจะขึ้นมาแทนทะเบียนจริงทันที ตำรวจ 191 สืบสวนติดตามจนสามารถจับกุมได้ในที่สุด ผบ.ตร.กำชับให้ตำรวจทุกหน่วย โดยเฉพาะด่านตรวจ จุดตรวจ จุดสกัด และสายตรวจให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตราแผ่นป้ายทะเบียน สังเกตความผิดปกติตามหลักยุทธวิธี หลังจากพบว่าคนร้ายมีการดัดแปลงป้ายทะเบียนรถใช้รีโมตกดเปลี่ยนทะเบียนรถเอง เนื่องจากกลุ่มคนร้ายอาจจะใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อใช้ขนย้ายสิ่งผิดกฎหมาย หรือกระทำความผิดอื่นๆ เพื่อตบตาและหลบเหลี่ยงการติดตามจับกุมของ เจ้าหน้าที่

“ขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทะเบียนรถ โดยการปลอมขึ้นทั้งแผ่น หรือแก้ไขตัวเลขส่วนหนึ่งส่วนใด มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี ปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท แม้กระทั่งการใช้ป้ายทะเบียนคันอื่น ใช้แผ่นป้ายทะเบียนที่ถูกเพิกถอนแล้วก็เป็นความผิด ส่วนคนที่ขายอุปกรณ์ดังกล่าวอาจจะเข้าข่ายสนับสนุนการกระทำความผิด หากถูกนำไปใช้ทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเพิ่มความเข้มในการตรวจตราและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง” พล.ต.ต.อาชยนกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน