เมื่อวันที่ 22 พ.ย. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยว่า จากการตรวจเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์เชื้อโควิด-19 ในประเทศ และสายพันธุ์น่ากังวลที่อาจพบจากผู้เดินทางเข้าประเทศช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 12-18 พ.ย. ตรวจแบบ SNP/Deletion 246 ราย พบว่าสัดส่วน BA.2.75 เพิ่มขึ้นเป็น 42.9% จากสัปดาห์ก่อนที่มีสัดส่วน 23.6% ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ติดเชื้อในประเทศจาก 23.2% เป็น 43.9% มากกว่าครึ่งเป็นสายพันธุ์ BA.2.75
ส่วนการถอดรหัสพันธุกรรมแบบทั้งตัวในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน พบสายพันธุ์ BA.2.75 และลูกหลาน เช่น BA.2.75.2, BA.2.75.5.1 (BN.1), BA.2.75.1.2 (BL.2) มากกว่า 138 ราย พบสายพันธุ์ BQ.1 ที่ระบาดในอเมริกาและยุโรป 9 ราย สายพันธุ์ XBB ที่ระบาดมากในสิงคโปร์พบ 13 ราย ทั้งนี้ ยังไม่พบสัญญาณความรุนแรงของเชื้อที่กลายพันธุ์ แต่อาจจะทำให้มีการแพร่และติดเชื้อง่ายขึ้น
สายพันธุ์ BA.2.75 ตรวจพบครั้งแรกในอินเดียเมื่อต้นพ.ค.2565 และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่ง BA.2.75 มีการกลายพันธุ์หนึ่งที่สำคัญ คือ G446S บนโปรตีนหนาม ซึ่งจับกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์ และเกี่ยวข้องกับการหลบภูมิคุ้มกัน การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บ่งชี้ว่าอาจมีข้อได้เปรียบในการแพร่ระบาด โดยประเทศไทยรายงาน BA.2.75 ครั้งแรกเมื่อปลายมิ.ย. 2565
กรมยังคงเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดร่วมกับเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง และเผยแพร่บนฐานข้อมูลสากล GISAID สม่ำเสมอ เพื่อติดตามผลกระทบจากสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์น่ากังวลที่อาจมีต่อการแพร่เชื้อ ความรุนแรงของโรค ประสิทธิผลของมาตรการสาธารณสุข และคุณสมบัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของเชื้อไวรัส เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการออกแบบการรักษา การให้ยาต้านไวรัสหรือแอนติบอดีสังเคราะห์ อย่างไรก็ตาม มาตรการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่แออัดและล้างมือยังรับมือกับการระบาดได้ทุกสายพันธุ์ การฉีดเข็มกระตุ้นช่วยลดความรุนแรงของเชื้อได้