เฮ้งนำลูกทีมพบนายกพรรคเล็กไล่บี้ยุบสภาปปช.ตีตกข้อหาครม.ปูอนุมัติเยียวยาม็อบสี

‘ตู่’ ยังกั๊กอนาคตการเมือง บอกถึงเวลาจะพูดเอง ข่าวปูดเตรียมไปนั่งประธานที่ปรึกษา รทสช.เป็นแคนดิเดตนายกฯ คนที่ 1 ‘พีระพันธุ์’ คนที่ 2 ‘ชัยวุฒิ’ ลาออก ส.ส.พลังประชารัฐ เตรียมย้ายตาม เสี่ยเฮ้งนำ 8 ส.ส. พร้อมกลุ่มสงขลา ดอดพบประยุทธ์ ‘ป้อม’ อึกอักข่าว ‘ธรรมนัส’ กลับ พปชร. อ้างยังมีคดีติดตัว ด้านผู้กองยังไว้ท่า รอคัมแบ๊กหลังแรงกระเพื่อมในพรรคเก่าสงบ พรรคเล็กจี้นายกฯ ยุบสภาก่อนปีใหม่ เป็นของขวัญให้ประชาชน อ้าง ‘ประวิตร’ ก็เห็นด้วย เพื่อไทยลุ้นศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดร่างกฎหมายลูกเลือกตั้ง หวั่นปัญหาไม่จบ มติ ป.ป.ช.ตีตกข้อกล่าวหา ‘ยิ่งลักษณ์’ กับครม.รวม 36 คน จ่ายเงินเยียวยาม็อบการเมือง ชี้ปฏิบัติตามกฎหมาย

ตู่ขอแจงอนาคตเมื่อถึงเวลา
เวลา 11.30 น. วันที่ 25 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตอบคำถามถึงเรื่องการเมือง ว่า การเมืองก็ไม่เห็นมีอะไร มีอะไร เมื่อถามว่าประชาชนรอฟังนายกฯ พูดถึงความชัดเจนทางการเมืองของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “อ๋อ เมื่อถึงเวลาแล้วจะพูดเอง”

จากนั้นเวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุม วายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการฯ หลักสี่ กทม. พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานเปิดโครงการขับเคลื่อนภารกิจด้านการบริหารจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัด และการเลือกสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เข้าร่วมด้วย

แผ่นดินไทยดี-แตกแยกกันเอง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในงานว่า ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม สิ่งที่รัฐบาลและตนเป็นห่วงคือทำอย่างไรให้เกษตรกรมีรายได้ พอเพียง รัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง ทุกครั้งที่ตนไปต่างจังหวัดจะหาข้อมูลแล้วไปพูดคุยหารือเป็นทางการและไม่เป็นทางการ สิ่งที่เรากังวลที่สุดคือการแก้ปัญหาความยากจนทั้งในครัวเรือนและอาชีพต่างๆ มหาดไทยดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว และต้องคำนึงถึงการสร้างเกษตรสมัยใหม่ สมาร์ตฟาร์มมิ่ง และเกษตรอัจฉริยะ ทำทุกอย่างให้ครบวงจร บ้านเราไม่ขาดแคลนแต่จะทำอย่างไรให้มูลค่าอาหารมีมูลค่าสูงขึ้น เราควรภูมิใจที่อยู่ในแผ่นดินผืนนี้ สุวรรณภูมินี้ ภูเขาไฟไม่มีแต่ระเบิดกันเอง เรื่องความคิดไงทำให้โทษใครไม่ได้ เราต้องรักแผ่นดินผืนนี้ที่เป็นแผ่นดินของคนไทย

รัฐบาลนี้ทำทุกอย่างให้ลดลงไปบ้างแต่ไม่เป็นศูนย์ ถ้าประเทศสันติมีความสงบทุกอย่างจะมาที่ประเทศไทย วันนี้ลองส่องกระจกดูว่ารอยยิ้มของเราสวยหรือไม่ ถ้าไม่ยิ้มพลังงานลบจะออกจากตัว ถึงไม่ชอบก็ยิ้มไว้ก่อนเดี๋ยวก็คุยกันได้เอง “เขาเขียนสคริปต์มาไม่ได้เอาพูดเลย (หัวเราะ) เพราะวันนี้อยากเปิดอกและให้รู้ว่านายกฯ ไม่ใช่คนใจร้าย ผมไหว้พระ ขอพรพระแม่คงคา พระแม่ธรณี และพระสยามเทวาธิราชทุกวัน เพื่อให้ทุกอย่างในประเทศไทยเดินไปข้างหน้าไปให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้จิตใจผมอยู่ถึงวันนี้ได้ การทำงานก็คือการทำงาน ถ้าปราศจากความร่วมมือ ไม่มีสำเร็จสักอัน เชื่อผม ผมอยู่มาหลายปีรู้ว่ามันมีปัญหาเยอะพอสมควรกับความไม่เข้าใจ ก็ขอให้ทุกคนทำความเข้าใจ ต้องร่วมมือและจับมือกันเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน”

ป้อมชี้‘ธรรมนัส’ยังมีคดี
เวลา 15.00 น. ที่โรงแรมดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อกฯ ถนนวิทยุ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองขณะนี้จะรับมือได้หรือไม่ว่า “รับได้” เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ์ บ้างหรือยัง พล.อ.ประวิตร เม้มปาก ปฏิเสธตอบคำถามพร้อมเดินฝ่าวงสัมภาษณ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เมื่อถามว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) จะกลับ พปชร.ได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรส่ายหัวย้อนว่า “เขายังมีคดีอยู่ไม่ใช่หรือ” เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส แล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ก็บอกไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่ พล.อ.ประวิตร มีกำหนดการเป็นประธานเปิดงาน “มรดกภูมิปัญญา พัฒนาสู่ความยั่งยืน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” จัดแสดงแฟชั่นผ้าไหมมัดหมี่ของดี 13 อำเภอ ในวันเสาร์ที่ 26 พ.ย.นี้ ที่เกาะแก้วหนองบัว อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ตามคำเชิญและมีกำหนดเข้านมัสการพระครูภาวนาชยานุสิฐ (พระอาจารย์สุริยัญ โฆสปัญโญ) บุคคลใกล้ชิด พล.อ.ประวิตรเผยว่า พล.อ.ประวิตร ยกเลิกการลงพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากติดภารกิจส่วนตัว

ธรรมนัสไว้ท่า-รอพปชร.นิ่งก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกระแสข่าวระบุ ส.ส.กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส เตรียมกลับมา เข้าสังกัด พปชร.นั้น แหล่งข่าวใกล้ชิด ร.อ.ธรรมนัส ระบุการย้ายกลับมา พปชร.ยังจะไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้แน่นอน เนื่องจากขณะนี้การเมืองยังไม่นิ่ง ยังมีความเคลื่อนไหวย้ายพรรคของ ส.ส.อยู่จำนวนมาก จึงไม่ต้องการถูกนำไปเป็นข้ออ้างทางการเมืองว่าที่ ส.ส. พปชร.ย้ายออกไปสังกัดพรรคอื่น เป็นเพราะการกลับมาของตนเอง โดยจะรอให้ความเคลื่อนไหวในพรรคพปชร.นิ่งก่อน จึงจะนำ ส.ส.พรรคศท.ย้ายกลับมาเพื่อช่วยงาน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้า พปชร. ในการเลือกตั้งปี 2566

ร.อ.ธรรมนัสระบุจะเดินหน้าสร้างความมั่นคงให้ ศท.ไปก่อน จากนั้นจะประชุม กก.บห.พรรค เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมใหญ่ เพื่อเลือก ร.อ.ธรรมนัส กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคตามเดิม

ไผ่ยันศท.ไม่ใช่เหตุพปชร.แตก
นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร ศท. กล่าวถึงท่าทีทางของ 13 ส.ส. จะมาทำงานอยู่กับ พล.อ.ประวิตร แต่ยังต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ว่า กำลังให้ทีมกฎหมายพิจารณาว่าต้องทำอย่างไร หากรอยุบสภาอาจทำให้ย้ายสังกัดพรรคไม่ทันตามกรอบเวลาเงื่อนไขที่ต้องลงสมัคร เนื่องจากกระบวนการทุกอย่างมีนัยยะทางกฎหมาย แต่มีธงในใจอยู่แล้วว่าจะอยู่กับพล.อ.ประวิตร ไม่รอยุบสภา และกำลังพิจารณาแนวทางว่าไปร่วมงานได้เลยจะผิดกฎหมายหรือเปล่า จะกลายเป็นคนนอกพรรคไปยุ่งกับพรรคหรือไม่

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าหากกลุ่ม ส.ส.ศท.กลับ พปชร.จะทำให้คนในพรรคแตกแยกหนีออกจากพรรค นายไผ่กล่าวว่า ส่วนตัวได้ติดตามกระแสข่าวและเชื่อว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะยังไม่มีใครออกมาพูดว่าจะออกจากพรรค ทุกอย่างและการทำงานใน พปชร.อยู่ที่ พล.อ.ประวิตร ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนในพรรครักกันทั้งหมดเพราะทุกอย่างเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย สามารถเห็นต่างได้ ไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกันทั้งหมด

ส.ส.ก๊วนเฮ้ง-สงขลาดอดพบตู่
ความเคลื่อนไหวของ พปชร. หลังมีกระแสข่าวว่า จะมี ส.ส.หลายคนย้ายตาม พล.อ.ประยุทธ์ ไปอยู่ รทสช.นั้น ช่วงค่ำ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาจากลงพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และผอ.พปชร. ได้นำ ส.ส.พปชร. 8 คน อาทิ น.ส.ไพลิน เทียนสุวรรณ ส.ส.สมุทรปราการ นายสมพงษ์ โสภณ ส.ส.ระยอง นายสาทิตย์ อุ๋ยตระกูล ส.ส.เพชรบุรี นายรณเทพ อนุวัฒน์ ส.ส.ชลบุรี พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี นายอริญชัย ซูสารอ ลูกชายนายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ที่บ้านพัก

รวมถึงนายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. ที่พา ส.ส.สงขลา และว่าที่ ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา พปชร. 4 คน ประกอบด้วย นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.เขต 2 นายพยม พรหมเพชร ส.ส.เขต 3 ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี เขต 4 และนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เข้าไปพบ พล.อ. ประยุทธ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยนอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว ยังมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และหัวหน้า รทสช.อยู่ด้วย

จ่อนั่งประธานที่ปรึกษา รทสช.
พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวกับ ส.ส.ที่เข้าพบว่า ขอบคุณที่มาด้วยกัน มาช่วยกันทำงานให้ชาติบ้านเมือง ยืนยันว่าตนทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง

อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จะยังไม่สมัครเป็นสมาชิก รสทช.ในเร็วๆ นี้ แต่หากมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้ว จะมานั่งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค รทสช. และจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ เบอร์หนึ่ง โดยนายพีระพันธุ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ เบอร์สอง

ชัยวุฒิลาออกสส.จ่อย้ายตามตู่
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า เมื่อ 24 พ.ย. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. ได้ยื่นหนังสือลาออกต่อระบบสารบัญสภา ผู้แทนราษฎร แจ้งความประสงค์ขอลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยไม่แจ้งเหตุผลใดๆ กับรัฐสภา ซึ่งการลาออกมีผลในวันที่ 25 พ.ย. ส่งผลให้ นายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ ลูกชายของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ซึ่งอยู่ลำดับที่ 28 ของ พปชร. จะขยับขึ้นดำรงตำแหน่ง ส.ส.แทน

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร ในฐานะ หัวหน้าพปชร. มอบหมายให้นายชัยวุฒิ เป็นผู้ดูแล ส.ส.เชียงใหม่ ซึ่งนายเดชนัฐวิทย์ เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เชียงใหม่ ที่จะสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งหน้า และวันนั้นนายชัยวุฒิรับปากช่วงปลายอายุรัฐบาลจะลาออกจาก ส.ส.เพื่อให้นายเดชนัฐวิทย์ ขึ้นทำหน้าที่แทน

แต่นายเดชนัฐวิทย์ เผยว่าได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิก พปชร.เมื่อกลางเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา โดยยังไม่ตัดสินใจว่าจะร่วมงานกับพรรคใด ส่งผลให้ลำดับบัญชีรายชื่อที่ 29 ของ พปชร. คือนางวลัยพร รัตนเศรษฐ์ น้องสาวนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชี รายชื่อ และรองหัวหน้า พปชร ได้เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแทน

ทั้งนี้ และการลาออกของนายชัยวุฒิ มีแนวโน้มจะตามพล.อ.ประยุทธ์ไปร่วมงานกับ รทสช.

พรรคเล็กยันป้อมเห็นด้วยยุบสภา
ที่รัฐสภา นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) เผยว่า ตนได้เข้าพบ พล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ จริง แต่ไม่ได้พูดคุยเรื่องการย้ายสังกัด เพียงเข้าพบเพื่อปรึกษาเรื่องการยุบสภาก่อนปีใหม่ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ เพราะการจัดประชุมเอเปคถือเป็นผลงานรัฐบาล ทั้งคนไทยและต่างชาติชื่นชม คะแนนเสียงของรัฐบาลกำลังดีขึ้น ถ้ายุบสภาและไปเลือกตั้งช่วง ม.ค.- ก.พ.ก็จะเป็นช่วงที่รัฐบาลได้เปรียบ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่เป็นรัฐบาลให้ครบ 4 ปี เพราะจากนี้ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่า ความนิยมของรัฐบาลจะตกลงอีกหรือไม่

“ผมเรียนนายป้อมในเรื่องนี้ด้วยความเป็นห่วงรัฐบาล ซึ่งนายป้อมก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมเสนอไป และถามผมถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปว่าจะเอาอย่างไรก็ยืนยันไปแล้วว่าพรรคประชาธิปไตยใหม่จะดำเนินงานการเมืองต่อไป ไม่มีการยุบพรรคเพื่อไปรวมกับใครอย่างแน่นอน” นายสุรทินกล่าว

ยันหนุนประวิตรเป็นนายกฯ
นายสุรทินกล่าวว่า ปธม.จะส่ง ส.ส.ครบทุกเขต ไม่ว่าผลสรุปของ ร่างพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส.ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยวันที่ 30 พ.ย.นี้ จะออกมาเป็นอย่างไร ทุกเสียงของพรรคจะสนับสนุน พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ แน่นอน

หัวหน้าปธม. กล่าวว่า เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ อุ้มชูรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น จนถึงบัดนี้เห็นว่าน่าจะเป็นเดือนสุดท้ายที่รัฐบาลจะอยู่ต่อไป ประกอบกับระยะนี้สภาล่มทุกสัปดาห์ กฎหมายสำคัญที่รัฐบาลเสนอมาคิดว่าน่าจะไม่ผ่าน จึงอยากให้รัฐบาลยุบสภา ให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ดีกว่า

พท.ลุ้นศาลรธน.ชี้กม.เลือกตั้ง
นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค เพื่อไทย (พท.) และประธานวิปฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.วันที่ 30 พ.ย. ว่า จะเป็นวันชี้ชะตาบ้านเมืองอีกครั้ง ผลตัดสินจะเกิดผลต่อการเมืองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มีทั้งจะนำบ้านเมืองไปสู่ทางตันและทางโล่ง เราเคารพคำตัดสินแต่คาดหวังอยากให้ไปสู่ทางโล่ง บ้านเมืองเดินไปได้ และคิดว่าหลายสิ่งจะดีขึ้นโดยเฉพาะการเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว ที่รออยู่คือกฎหมายเลือกตั้ง หากผลการตัดสินทำให้กฎหมายเลือกตั้งสะดุดหยุดลงก็ต้องมาออกแรงกันมาก ได้แต่หวังว่าน่าจะเป็นเรื่องดีๆ

เมื่อถามว่าหากศาลชี้ว่ามีบางประเด็นบางมาตราต้องปรับแก้ให้สมบูรณ์ขึ้น ช่วงเวลาที่เหลือของสภาทันหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า หวุดหวิด เชื่อว่าไม่ง่าย อยู่ที่ศาลชี้ว่าจะมีปัญหาที่กฎหมายลูกหรือรัฐธรรมนูญ เป็นปัญหาที่กระดุมเม็ดแรกหรือเม็ดที่สอง หากเป็นที่กระดุมเม็ดสองคือกฎหมายลูก ก็อาจเร่งแก้ได้ แต่ต้องมีความร่วมมือกันจริงๆ แต่หากชี้ว่ามีปัญหาที่กระดุมเม็ดแรก ถ้าแก้ที่รัฐธรรมนูญก็จะยาว

หวั่นตีความคำวินิจฉัย
เมื่อถามว่าหากเป็นปัญหาที่กระดุมเม็ดสอง กระบวนการของสภาสามารถพิจารณา 3 วาระรวด ได้หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ไม่ได้ กฎหมายลูกห้าม 3 วาระรวด ต้องทิ้งช่วงเวลา แต่หากผิดตั้งแต่กระดุมเม็ดแรกเป็นเรื่องที่เราเป็นห่วง ศาลอาจชี้ออกมาแต่อาจไม่บอกมาตรงๆ ว่าผิดที่กระดุมเม็ดแรก แต่คำวินิจฉัยอาจทำให้เราวิเคราะห์ได้ว่าเป็นที่กระดุมเม็ดแรก เรากลัวอย่างนั้น แม้แต่กระดุมเม็ดที่สองก็ยังยุ่ง เวลาจะไม่พอ

แต่หากศาลชี้ว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั่นคือทางโล่ง แสดงว่า 1.เรามีกฎหมายสมบูรณ์แล้วที่จะเลือกตั้ง หากเกิดอะไรขึ้นทางการเมืองก็สามารถเลือกตั้งได้เลย และ 2.น่าจะเป็นกฎหมายที่ทุกคนยอมรับกันได้แล้ว หลังจากมีความเห็นต่างกันในชั้นของสภา แต่เมื่อศาลชี้อย่างนั้นก็น่าจะยอมรับและทุกข้อท้วงติงก็จะจบลง

หมอระวีชี้คำวินิจฉัย 50:50
นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรค พลังธรรมใหม่ (พธม.) กล่าวถึงศาลวินิจฉัยร่างพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส. ที่ร้องสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหาร 100 ขัดรัฐธรรมนูญ ว่า มีโอกาส 50:50 ที่ศาลจะเห็นชอบตามที่ร้อง แต่สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร หลัง 30 พ.ย.ถึงจะตัดสินได้ แต่ถ้าศาลตัดสินออกมาแล้วหาร 100 ไม่ผิดรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ร้องไปฟังไม่ขึ้นก็ถือว่ากฎหมายลูกจะจบ จะได้ระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ หารด้วย 100 แต่ถ้าศาลเห็นด้วยกับคำร้องก็ต้องฟังคำวินิจฉัยแล้วไปปรับแก้ตามคำวินิจฉัย อาจต้องถอยหลังมาแก้รัฐธรรมนูญบางมาตราให้สอดคล้องกับการหาร 500 แต่คงไม่ถึงขั้นกลับมาแก้เป็นบัตรเลือกตั้งใบเดียว เพราะเป็นไปได้ยาก หรือไม่ต้องถอยมาแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไปปรับกฎหมายลูกตามคำวินิจฉัยศาล เช่น ศาลวินิจฉัยว่ากระบวนการสภาล่ม 4 ครั้ง ขัดรัฐธรรมนูญ ศาลอาจจะสั่งให้ถอยหลังไปเริ่มมาตราที่ 24 ต่อ ถ้าแบบนี้ก็ไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่

เมื่อถามว่าหากศาลวินิจฉัยว่าหาร 100 ผิดรัฐธรรมนูญ ระยะเวลาการแก้ไขจะทันก่อนหมดสมัยสภาหรือไม่ นพ.ระวีกล่าวว่า อยู่ที่รัฐสภา แต่ก็จะเกิดเป็น 2 ด้านคือถ้าวินิจฉัยว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญแสดงว่าหลังปีใหม่ รัฐบาลมีโอกาสยุบสภาได้ แต่ถ้าวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญต้องแก้ไขและเสนอกฎหมายลูกใหม่ ตรงนี้รัฐบาลจะยุบสภาได้ประมาณกลางมี.ค.2566 เพราะต้องมีเวลาแก้ไขกฎหมายลูกก่อน และถ้าเกิดกระบวนการยืดเยื้อ สมมติศาลให้ใช้วิธีการหาร 500 ปรากฏว่ามีคนไปยื่นร้องว่าหาร 500 ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 91 อีก แบบนี้ก็เสร็จไม่ทันหมดสมัยสภาแน่นอน แต่ก็มีทางออกหากรัฐบาลจะยุบสภา ก่อนยุบสภาสามารถออกเป็นพ.ร.ก.เลือกตั้งส.ส.ได้ ดังนั้น สิ่งที่หลายคนกังวลว่าอาจทำให้รัฐบาลอยู่รักษาการยาวนั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องมีเลือกตั้งตามกำหนดแน่นอน แต่จะออกเป็น พ.ร.ก.หรือเป็นไปตามศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต้องรอดูกันต่อไป

ป.ป.ช.ตีตกข้อกล่าวหาปู-ครม.
รายงานข่าวจาก ป.ป.ช.แจ้งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติตีตกข้อกล่าวหาครม. ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวม 36 ราย กรณีถูกกล่าวหาว่า จ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง พ.ศ. 2548-2553 โดยไม่มีอำนาจและไม่มีกฎหมายรองรับ เพื่อช่วยเหลือพวกพ้องของตน ตาม พ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 66 และตามประมวลกฎหมายอาญา

สืบเนื่องจากเมื่อ 6 มี.ค.55 มีมติอนุมัติจ่ายเงินเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหาย ผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง ครม.มีมติเห็นชอบเมื่อ 10 ม.ค.55 โดยอนุมัติวงเงิน 2,000 ล้านบาท เยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองตั้งแต่ปลายปี 48 จนถึงพ.ค.ปี 53 รวมผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยา 2,369 ราย ประมาณการวงเงินเยียวยา 1,931,530,000 บาท

ชี้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ป.ป.ช.มติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 6 เสียงให้ข้อกล่าวหา นายสุชาติ ธาดาธํารงเวช ครั้งเป็น รมว.ศึกษาธิการ นางนลินี ทวีสิน ครั้งเป็น รมต.สํานักนายกรัฐมนตรี และ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ครั้งเป็น รมช.คลัง ตกไป เพราะไม่ได้อยู่ร่วมประชุมวาระดังกล่าว

ในส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐมนตรีที่เหลืออีกรวม 30 รายว่า แม้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 30 ราย ร่วมลงมติ แต่เป็นการทําหน้าที่ในฐานะองค์กรบริหารหรือครม. ซึ่งเป็นการ กระทําตามอํานาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 174 รัฐธรรมนูญ 2550 อีกทั้งมีการตั้ง ปคอป. คณะอนุกรรมการด้านเยียวยาทางแพ่ง และการฟื้นฟูด้วยวิธีการอื่น และคณะทํางานช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม ขึ้นมาดำเนินการเยียวยา โดยทั้ง 30 รายมิได้เกี่ยวข้องหรือได้รับมอบหมาย จึงไม่อาจทำความผิดตามที่กล่าวหา มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 6 เสียง ให้ข้อกล่าวหาตกไป

ส่วนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เสนอหลักเกณฑ์และวิธีการเยียวยา และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ครั้งเป็น รมว.คลัง นั้น การจ่ายเงินเยียวยา เป็นผลสืบเนื่องจากการที่ ครม.แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่าจะเยียวยาและฟื้นฟูแก่บุคคลทุกฝ่าย หาใช่การกระทําโดยพลการหรืออําเภอใจ จึงให้ข้อกล่าวหาตกไป

สำหรับรายชื่อผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 36 คน 35 คนเป็น ครม.ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อีกคนคือ นายปกรณ์ พันธุ ครั้งเป็นอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ประธานคณะทํางานช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรม ซึ่งป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียง 6 เสียงว่า ปฏิบัติตามมติครม.ให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน

สภาหวิดล่มอีก
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาทำหน้าที่ประธานการประชุม หลังเปิดให้สมาชิกหารือเสร็จสิ้น ที่ประชุมเข้าสู่วาระพิจารณารายงานการศึกษา เรื่อง เทคโนโลยี 5G ที่กมธ.สื่อสารโทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งบรรยากาศห้องโหรงเหรง กระทั่ง นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พท. อภิปรายไม่เห็นด้วยกับรายงาน อ้างไม่ครอบคลุมที่จะเป็นประโยชน์ของชาติ ขณะที่ประธานขอให้ชี้แจงว่าไม่เห็นด้วยเพราะอะไร สภาเหลือเวลาไม่นานขอให้ช่วยกันให้ผ่านไป ถ้าไม่ใช่ประเด็นหลักจริงๆ

แต่นายพิเชษฐ์ยืนยันความเห็นต่างเป็น สิทธิของส.ส. นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พปชร. ขอร้องนายพิเชษฐ์ เพราะการโหวตต้องนับองค์ประชุม ซึ่งทราบดีเรื่ององค์ประชุมวันศุกร์ มีเพื่อนหลายคนที่ขาดประชุมเพราะอาจนัดชาวบ้านไว้ ด้านน.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พปชร. ในฐานะประธานกมธ. ระบุไม่อยากให้เอาการเมืองมาเล่นสนุกในวันที่ผู้แทนต่างคนต่างทำหน้าที่อย่างเต็มที่

แฉเซ็นชื่อ-บินกลับตจว.
จากนั้นสมาชิกอภิปรายแสดงความคิดเห็นเรื่องรายงานต่อ แต่ยังคงมีปัญหา จนนาย ศุภชัยกล่าวว่าอยากให้พูดคุยกันเพื่อให้สภาเดินหน้าต่อได้ และรู้ว่าถ้าโหวตวันนี้ก็ล่มและปิดประชุม แต่ต้องโหวตอย่างไรก็ไม่ปิดหนี ขณะที่นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชี รายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า แม้รายงานนี้ตนไม่ได้แสดงความเห็นแต่รับทราบและอยู่รอประชุมวันศุกร์เนื่องจากประธานนัด ไม่เช่นนั้นตีตั๋วเครื่องบินตั้งแต่เช้า เหมือนอีกหลายคนเซ็นชื่อแล้วขึ้นเครื่องบินกลับ การรับทราบรายงานไม่ใช่กฎหมายที่ต้องลงมติ สมาชิกขอนับองค์ประชุม เป็นเอกสิทธิ์แต่เป็นการทำลายสภา จนเกิดการโต้เถียงกับนายพิเชษฐ์ และนายพิเชษฐ์ยืนยันให้โหวต

จากนั้นที่ประชุมเปิดให้แสดงตน มี ผู้แสดงตน 247 ครบองค์ประชุม จากนั้นเปิดให้ที่ประชุมลงมติ มีผู้ลงมติ 237 เสียง เห็นด้วย 233 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 4 เสียง ถือว่าที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับรายงานดังกล่าว และเห็นชอบตามข้อสังเกตของกมธ.

แนะทบทวนร่างปลดสมาชิกท้องถิ่น
เวลา 13.30 น. นายโกวิทย์ พวงงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังท้องถิ่นไท รองประธาน กมธ.การกระจายอำนาจ การปกครองท้องถิ่นและการบริหารรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร พร้อม นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะกมธ. ร่วมกันแถลงจุดยืนขอเสนอให้ทบทวนร่าง พ.ร.บ.การเข้าชื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และเห็นด้วยจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การกระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

นายโกวิทย์กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้กมธ.ถอนร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวที่ค้างอยู่ในการพิจารณาของสภา วาระ 2- 3 ออกไป เพราะมีปัญหามาตลอด ตั้งแต่ประเด็นการเปิดโอกาสให้ผู้ว่าฯ และนายอำเภอ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น ล่าสุด ยังมีประเด็นให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิเข้าชื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น หากครบตามเกณฑ์จะทำให้หลุดจากตำแหน่งทันที ปัญหาคือมีการเปิดเผยรายชื่อผู้เข้าชื่อถอดถอนด้วย ซึ่งเป็นข้อถกเถียงกันว่าเปิดเผยได้หรือไม่ ของเดิมการลงคะแนนจะเป็นเรื่องลับ หากเปิดเผยอาจนำมาสู่ความขัดแย้ง จึงเสนอให้ทบทวนถอนร่างดังกล่าวกลับไปพิจารณาให้รัดกุมรอบคอบมากขึ้น

ค้านยุบสภา-อ้างต้องออกกฎหมาย
ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 14 ว่าด้วยการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่จะพิจารณา 29 – 30 พ.ย.นี้ จะเป็นประโยชน์หากแก้หมวดนี้ เพื่อให้ท้องถิ่นมีอิสระในการกำหนดนโยบาย มีอิสระในการบริหารงาน จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลหยิบยกกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูประบบราชการมาพิจารณา ดังนั้น เราเห็นว่าการทำหน้าที่ของสภามีประโยชน์ หากยุบสภาประชาชนจะเสียประโยชน์หลายเรื่อง อยากเรียกร้องให้ส.ส.ทำหน้าที่ต่อไปอย่างแข็งขัน

ด้าน นายสฤษฏ์พงษ์กล่าวว่า ถ้าผ่านร่างกฎหมายการเข้าชื่อถอดถอนออกไปโดยไม่ศึกษารายละเอียด จะทำให้เกิดความขัดแย้งเรื่องการแข่งขันในตำแหน่งอย่างรุนแรง อาจถึงขั้นทำร้ายเข่นฆ่ากัน เนื่องจากมีการเปิดเผยรายชื่อ การถอดถอนเป็นเรื่องการทำลายอำนาจ เป็นความเห็นต่างอย่างรุนแรง จึงไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ และอยากให้ถอนร่างกฎหมาย ดังกล่าวออกไปทบทวน ส่วนความเห็นเรื่องยุบสภา ส.ส.ควรใช้เวลาในการทำงานฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเต็มที่ในการออกพ.ร.บ.ต่างๆ ปัญหาสภาล่มทำให้เสียโอกาสในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ที่ค้างอยู่ ดังนั้น การยุบสภาโดยใช้เหตุผลทางการเมืองเพื่อสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ แต่ควรใช้อายุสภาที่เหลืออยู่ออกกฎหมาย และแก้กฎหมายที่ล้าสมัย

ล้อมวงคุย – นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เชิญสื่อมวลชนล้อมวงคุยทำความเข้าใจพ.ร.บ.ปลดล็อกท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศไทย ที่อาคารอนาคตใหม่ ย่านรามคำแหง กทม. เมื่อวันที่ 25 พ.ย.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน