ยธ.สอบรูดจนท.มีเอี่ยวกองปราบลุยขยายผลศาลไม่ให้ประกันทีมช่วย

แฉ ‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก’ อมลูกกุญแจไว้ในปาก ก่อนลอบนำออกจากคุก ใช้ไขโซ่ตรวนพยายามหลบหนีจากศาลระหว่างนำตัวไปเบิกความ เผยใช้เวลาปลดลูกกุญแจเพียง 20 วินาที แต่ก็หนีไม่รอด ราชทัณฑ์สั่งย้ายไปแยกขังเรือนจำบางขวาง ดูแลเข้ม หวั่นทำร้ายตัวเอง ห้ามเยี่ยม สั่งสอบเส้นทางการเงินของจนท.ที่เกี่ยวข้อง ด้านกองปราบฯ รับคดีมาทำเพราะคนร้ายทำเป็นขบวนการ สลับซับซ้อน พบมีทั้งอดีตลูกน้อง เลขาฯ ทีมทนายความช่วยวางแผนหลบหนี ระบุว่าจ้างทำบัตรประชาชนปลอมเพื่อหลบหนี แต่แผนแตก เตรียมขยายผลเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง ศาลไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาแก๊ง‘ประสิทธิ์’

กองปราบฯ ลุยทำคดี‘ประสิทธิ์’
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 ธ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการสืบสวนกรณี นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ผู้ต้องคดีสำคัญวางแผนพยายามหลบหนีออกจากศาลอาญาขณะฟังพิจารณาคดี เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.จิรภพกล่าวว่า นายประสิทธิ์ผู้ต้องหา รายนี้ เมื่อปี 2564 ถูกตำรวจสอบสวนกลางจับกุมดําเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ รวม 6 คดี จากกรณี ไปหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุนธุรกิจประเภทต่างๆ เช่นการปล่อยเช่ากระเป๋า แบรนด์เนม ลงทุนซื้อคูปองทอง ลงทุนซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยว หรือลงทุนออมในระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ อ้างให้ผลตอบแทนสูง จนมีผู้ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกจำนวนมาก ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาลแล้ว 2 คดี ส่วนนายประสิทธิ์ถูกสั่งคุมขังระหว่างพิจารณาคดีอยู่ที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ

พล.ต.ท.จิรภพกล่าวต่อว่า กระทั่งเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ คุมตัวนายประสิทธิ์ ผู้ต้องขังมาที่ศาลอาญา เพื่อเบิกความและตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการ สํานักงานคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กับพวกรวม 9 ราย เป็นจําเลย ที่ห้องพิจารณาคดี 903 เกี่ยวกับคดีหลอกลงทุนกระเป๋ากับบริษัท วีเลิฟยัวแบ๊ก (ไทยแลนด์) ซึ่งระหว่างการพิจารณาคดี นายประสิทธิ์กลับพยายามจะหลบหนี โดยทำทีอ้างว่าท้องเสีย ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ บริเวณชั้น 9 ของศาลอาญา ก่อนใช้จังหวะนั้นฉวยโอกาสปลดเครื่องพันธนาการที่ข้อเท้า แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าวิ่งหลบหนีออกจากห้องน้ำชั้น 9 แต่สุดท้ายก็ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ได้ที่บริเวณบันไดชั้น 3 ของศาลอาญา

แฉทำกันเป็นขบวนการ
“สำหรับกุญแจไขโซ่ตรวนนั้น นายประสิทธิ์ จัดเตรียมมา ส่วนเสื้อผ้าที่ใช้เปลี่ยนนั้น ทางทีมงานของนายประสิทธิ์จัดเตรียมไว้ให้ โดยนำไปวางไว้ให้ในห้องน้ำ เมื่อปลดโซ่ตรวน เสร็จแล้ว นายประสิทธิ์จึงรีบเปลี่ยนชุด แล้วพยายามหลบหนีออกมา นอกจากนี้ ยังทราบว่ามีการจัดเตรียมโทรศัพท์มือถือ เครื่องดำรงชีพ เงินสด และเสื้อผ้าอีกชุด ไว้ในรถ เป็นแผนสำรองอีกด้วย เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่ตรวจยึดทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน จากเรื่องดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่อุกอาจ และเชื่อได้ว่ามีการเตรียมตัววางแผนมานานพอสมควร ไม่ใช่การตัดสินใจเฉพาะหน้า มีการทำกันเป็นขบวนการ โดยผู้ร่วมขบวนการ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกน้อง คนใกล้ตัวที่คอยทำหน้าที่เบิกถอนเงินในบริษัท” ผบช.ก. กล่าว

พล.ต.ท.จิรภพกล่าวอีกว่า ส่วนประเด็น ข้อสงสัยว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องด้วย หรือไม่นั้น ยังไม่ตัดประเด็นข้อสงสัยนี้ทิ้งไป เพราะมีข้อเคลือบแคลงหลายอย่าง โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่า กุญแจไขโซ่ตรวนซึ่งต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่า นายประสิทธิ์นำมาจากที่ใด เพราะกุญแจดังกล่าวไม่ได้หาได้โดยทั่วไป และจังหวะหลบหนีออกมาจากห้องน้ำเดินผ่าน เจ้าหน้าที่ไปได้อย่างไร ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิด และซักถามพยานบุคคลต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้ทางกรมราชทัณฑ์ก็ได้ตั้งกรรมการตรวจสอบ

“จากเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้นายประสิทธิ์ถูกดำเนินคดีเพิ่มข้อหาหลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขังตามอํานาจของศาล ต้องระวางโทษจําคุก ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ส่วนผู้ให้การช่วยเหลือ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนสน.พหลโยธิน ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายสมประสงค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่เคยร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ จํานวนกว่า 10 ล้านบาท แต่กลับยังคงเชื่อว่าหากไม่แจ้งความร้องทุกข์ และคอยติดตามช่วยเหลือเรื่องคดีให้นายประสิทธิ์ จะได้รับเงิน จํานวนดังกล่าว หลังพบหลักฐานว่าเป็นบุคคลที่นําเสื้อผ้ามาให้นายประสิทธิ์เปลี่ยนในห้องน้ำ ที่เกิดเหตุ โดยตัวนายสมประสงค์จะถูกดำเนินคดี ในความผิดฐานช่วยให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอํานาจ ของศาล ของพนักงานอัยการ ของพนักงานสอบสวนหลุดพ้นจากการคุมขัง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ผบช.ก. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้จากแนวทาง สืบสวนยังพบว่า นอกเหนือจากนายสมประสงค์ แล้ว ยังมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายราย โดยเฉพาะกลุ่มอดีตพนักงาน เลขาฯ ของ นายประสิทธิ์ รวมทั้งกลุ่มผู้ช่วยทนายความ คอยช่วยเหลือ หรือรู้เห็นในการวางแผนหลบหนีครั้งนี้ ซึ่งเมื่อสำนวนคดีโอนมาอยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบฯ แล้วนั้น ก็จะแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านี้ ส่วนเหตุผลที่ต้องโอนคดีมายัง กองปราบฯ นั้น เพราะเชื่อว่ามีการทำกันเป็น กระบวนการ สลับซับซ้อน ประกอบกับเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับคดีเดิมที่ทางตำรวจสอบสวนกลางทำไว้ ทั้งคดีหลักและฟอกเงิน มีข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลต่างๆ มากมาย เพื่อให้ครบถ้วนและต่อเนื่องจึงต้องลงไปทำด้วยตัวเอง

วางแผนปลอมบัตรปชช.ไว้หนี
พล.ต.ท.จิรภพกล่าวอีกว่า จากแนวทางสืบสวน ยังพบว่าหากนายประสิทธิ์สามารถหลบหนีไปได้ ได้มีการวางแผนที่จะไปทำบัตรประชาชนปลอม หลังพบมีการติดต่อ ไปยังเพจเฟซบุ๊กหนึ่งเพื่อว่าจ้างให้ทำบัตรประชาชนปลอม แต่สุดท้ายก็ถูกเพจเฟซบุ๊ก ดังกล่าวหลอกเงินไป อย่างไรก็ตามสาเหตุ ที่นายประสิทธิ์ตัดสินใจกระทำเรื่องดังกล่าวขึ้น ส่วนตัวมองว่าน่าจะมาจากการที่เจ้าตัวถูกดำเนินคดีหลายคดี รวมถึงคดีฟอกเงิน ต่างกรรม ต่างวาระ อัตราโทษหนัก หากสู้คดีแพ้ ต้องถูก จำคุกนานหลายปี

ด้านพ.ต.อ.พุฒิเดชกล่าวว่า สำหรับคดีหลัก ของนายประสิทธิ์ที่เป็นคดีความผิดมูลฐาน มีด้วยกัน 6 คดี ทางพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนส่งให้อัยการแล้วทั้ง 6 คดี สั่งฟ้องแล้ว 1 คดี อีก 4 คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ นอกจากนี้ยังมีคดีที่ทางป.ป.ง. แจ้งเอาผิดเรื่องการฟอกเงินอีก 5 คดี สรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาแล้ว 4 สำนวนคดี ส่วนที่เหลืออีก 1 คดี ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนเร่งสรุปเตรียมส่งให้กับทางอัยการ คาดว่า ไม่เกิน 2 สัปดาห์น่าจะแล้วเสร็จ ส่วนเรื่องการอายัดเงินทรัพย์สินต่างๆ นั้น เบื้องต้นทางคณะพนักงานสอบสวนส่งสรุปข้อมูลส่งให้ทางป.ป.ง. ตรวจสอบจนมีคำสั่งยึดทรัพย์แล้ว 3 คำสั่ง เป็นเงินกว่า 265 ล้านบาท และเชื่อว่า น่าจะมีคำสั่งยึดทรัพย์ส่วนอื่นๆ ที่เหลือตามมา อีกหลายรายการ

ลุยค้นหอพักย่านสามย่าน
พ.ต.อ.เผด็จกล่าวว่า สำหรับการเข้าตรวจค้น ห้องพักย่านสามย่าน เมื่อเย็นที่ผ่านมานั้น เนื่องจากจุดดังกล่าวเป็นจุดที่นายประสิทธิ์ ใช้ให้ลูกน้องนำเสื้อผ้าไปเก็บไว้ที่ล็อกเกอร์ หากหนีได้ก็จะไปเปลี่ยนชุดอีกรอบที่จุดดังกล่าว แต่จากการตรวจค้นพบเพียงรองเท้า 3 คู่ เนื่องจากคนใกล้ชิดทั้ง 3 คนที่จัดเตรียมได้นำมาเก็บไว้ที่รถก่อนแล้ว

แจ้งข้อหาเพิ่ม ‘ประสิทธิ์’ หนีศาล
ที่สน.พหลโยธิน พ.ต.อ.ชิศณุพงศ์ สุริยานนท์ ผกก.สน.พหลโยธิน เปิดเผยถึงการสอบสวนผู้ต้องสงสัย 3 รายที่อาจมีส่วนช่วยนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนว่า มีผู้ให้การเป็นประโยชน์และรับสารภาพว่ามีส่วนช่วยเหลือนายประสิทธิ์หลบหนีจริง คือนายสมประสงค์ ทิพย์สุคนธ์ อายุ 56 ปี จึงแจ้งข้อกล่าวหา เป็นผู้สนับสนุนให้ผู้ต้องขัง ในอำนาจของศาลหลบหนี โดยเมื่อช่วงเช้าส่งฝากขังที่ศาลแขวงพระนครเหนือแล้ว ส่วนอีก 2 คน เป็นเลขาฯ นายประสิทธิ์และแฟนสาวยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จากการตรวจสอบพยานหลักฐานยังไม่แน่ชัดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการ กระทำผิดชัดเจนอย่างไร จึงปล่อยตัวไปก่อน แต่หากพบหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึงจะเรียกมาสอบอีกครั้ง และช่วงบ่ายนี้เจ้าหน้าที่จะไปแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับนายประสิทธิ์ที่เรือนจำ ในข้อหาหลบหนีการควบคุมตามอำนาจของศาล

พ.ต.อ.ชิศณุพงศ์กล่าวต่อว่า จากการสอบปากคำ นายสมประสงค์อ้างว่าได้รับการร้องขอ ให้ช่วยเอาเสื้อผ้ามาให้ ไม่ได้มีการเตรียมการมาก่อน หรือไม่ได้มีการจ้างวานแต่อย่างใด โดยนายประสิทธิ์กระซิบบอกในห้องพิจารณาคดี จากนั้นจึงลงไปเอาเสื้อผ้าในรถมาให้ โดยไปนั่งรออยู่ในห้องน้ำ เมื่อนายประสิทธิ์เข้ามา จึงยื่นออกมาให้ทางใต้ประตู เมื่อนายประสิทธิ์แต่งตัวเสร็จก็ออกไป โดยปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกุญแจที่ไขข้อโซ่เท้า ส่วนเงิน 1 หมื่นที่พบในตัว อ้างว่าเป็นเงินที่ใช้สนับสนุน ที่เตรียมให้ใช้หลังจากหลบหนีไปได้

“นายสมประสงค์ยังอ้างอีกว่าเป็นผู้เสียหาย จากการถูกนายประสิทธิ์ฉ้อโกง ที่ให้การช่วยเหลือ เพราะคิดว่าจะได้เงินคืน ส่วนเจ้าหน้าที่เรือนจำ ที่ยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำ บอกว่าสาเหตุที่ไม่วิ่งติดตาม นายประสิทธิ์ไป เพราะต้องเฝ้านักโทษอีกคนที่เข้าห้องน้ำเหมือนกัน สำหรับกุญแจที่นำมาไขที่ข้อเท้านายประสิทธิ์ยังไม่ชัดเจนได้มาอย่างไร อยู่ระหว่างสืบสวน ประกอบกับทางเรือนจำที่จะไปตรวจสอบและสอบสวน เจ้าหน้าที่เรือนจำด้วย ผู้ต้องสงสัยทั้ง 3 จะให้การอย่างไร ตำรวจต้องพิสูจน์ทราบว่าจริงเท็จตามคำให้การหรือไม่ และจะขยายผลตรวจสอบพยานบุคคล หลักฐานเพิ่มและ ไล่กล้องวงจรปิดต่อไป ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ ต่อกรณีดังกล่าว จะดำเนินการอย่างรัดกุมที่สุด” พ.ต.อ.ชิศณุพงศ์กล่าว

สั่งแยกขังคุกบางขวาง-ห้ามเยี่ยม
เมื่อเวลา 15.20 น. ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรมว.ยุติธรรม เข้าตรวจสอบกล่องเก็บเครื่องมือ พันธนาการผู้ต้องขังภายในเรือนจำ พร้อมแถลง กรณีนายประสิทธิ์ พยายามหลบหนี ขณะถูกเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ควบคุมตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปเบิกความที่ศาลอาญา ว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม มอบหมาย ให้ตนชี้แจงกรณีดังกล่าว พร้อมขออภัยที่ทำให้ ประชาชนเกิดความไม่สบายใจกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น โดยอธิบดีกรมราชทัณฑ์สั่งให้กรมสอบสวนว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนในการทุจริตหรือไม่ โดยจะใช้เวลาภายใน 1 สัปดาห์ พร้อมสั่งย้ายนายประสิทธิ์ ไปแยกขังที่เรือนจำบางขวาง และจับตาตลอด 24 ชั่วโมงเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความเครียดจนทำร้ายตัวเอง รวมถึงสั่งงดเยี่ยม ทั้งนี้ ยืนยันว่าหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีเจ้าหน้าที่กระทำทุจริตก็ดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่าง ยอมรับว่าจะนำกรณีนี้ไปแก้ไขปรับปรุงต่อไปเพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้นายประสิทธิ์ถูกเบิกตัวจากเรือนจำคลองเปรมไปขึ้นศาลเป็นประจำ จนเกิดเป็นช่องทาง ในการคิดหลบหนีมาโดยตลอด แต่ยืนยันว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้ต้องขังกับเจ้าหน้าที่ แน่นอน เพราะใช้เจ้าหน้าที่จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในการคุมตัวออกไปเสมอ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่ากล่องเก็บอุปกรณ์พันธนาการและกุญแจที่ใช้ในการออกศาลนั้น ลักษณะเป็นตู้ไม้ที่เก่ามีตัวล็อก 2 ชั้น โดยในบริเวณดังกล่าวไม่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งครอบคลุม เมื่อนำตัวผู้ต้องขังออกจากเรือนจำ จะมีผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำ 1 คนที่ได้รับการพิจารณาตรวจสอบแล้ว คอยมาช่วยเหลือพัสดี โดยเวลาเกิดเหตุช่วงเช้า มีเจ้าหน้าที่ออกศาล 3 ราย พัศดี 1 ราย ต้องใช้ เวลาตรวจค้นร่างกายไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งบริเวณใกล้จุดเก็บของมีเก้าอี้นั่งที่นายประสิทธิ์ พักคอยโดยใส่เครื่องพันธนาการเรียบร้อย แต่เจ้าหน้าที่ได้แขวนกุญแจใกล้กับกล่องเก็บ ซึ่งจะมีลูกกุญแจ 1 ชิ้น กับเข็มแทงสลัก 1 ชิ้น โดยเป็นกุญแจชนิดพิเศษที่ไม่สามารถปั๊มใหม่ได้

แฉอมกุญแจในปาก-ลอบไขโซ่
“วันที่เกิดเหตุนายประสิทธิ์พูดกับเจ้าหน้าที่ น้อยกว่าปกติ เพราะทุกๆ ครั้งนายประสิทธิ์จะพูดคุยเป็นประจำ จึงตั้งข้อสังเกตไว้ว่า นายประสิทธิ์แอบอมลูกกุญแจเอาไว้ในปาก ระหว่างนั้นนายประสิทธิ์อ้างว่ามีอาการ ปวดท้องหนักรุนแรง ทำให้หวั่นว่าอาจจะถ่ายหนักเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่เกิดความหวังดีจึงคุมตัวไปยังห้องน้ำที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าใช้ได้ ซึ่งตามปกติเจ้าหน้าที่จะคุมตัวไปยังห้องน้ำบริเวณใต้ถุนศาล นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จะจดจำเครื่องแบบของผู้ต้องขังอยู่เสมอ แต่หลังจากนายประสิทธิ์ออกมาจากห้องน้ำกลับเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมกางเกงยีนส์และสวมรองเท้าแตะ และเดินก้มหน้าออกมา เมื่อสอบถามแล้ว นายประสิทธิ์ ก็รีบเดินลงบันไดอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงรีบเข้าไปตรวจสอบในห้องน้ำแล้วไม่พบตัว จึงรีบประสานตำรวจศาลเข้าจับกุม แล้วไปพบนายประสิทธิ์ที่ชั้น 6 ก่อนมีการฉุดกระชากจนเสื้อขาด แล้วไปจับตัวได้ที่ชั้น 3 โดยตอนนี้สอบปากคำผู้ช่วย และผู้คุม พร้อมค้นตัวผู้ต้องขังอีก 2 ราย โดยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะตรวจสอบเส้นทางการเงินของเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวันเกิดเหตุด้วย แต่ยืนยัน ได้ว่าผู้ให้การช่วยเหลือของนายประสิทธิ์นั้นเป็นบุคคลจากภายนอก เพราะภายในเรือนจำไม่มีการใช้เงิน” ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตกล่าว

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตกล่าวอีกว่า จากการทดสอบยังพบว่าใช้เวลาปลดลูกกุญแจไม่เกิน 20 วินาทีเท่านั้น เบื้องต้นพบว่ามีตัวสลักและลูกกุญแจหายไปอีกด้วย ยอมรับในเรื่อง งบประมาณในการจัดซื้ออุปกรณ์ที่มีจำกัด และกำลังคนในการดูแลผู้ต้องขังไม่เพียงพอ จึงต้องมีผู้ช่วยผู้คุม ส่วนประเด็นการตรวจค้นร่างกายผู้ต้องขังนั้น ในการนำตัวออกจากเรือนจำมีความเข้มข้นอยู่แล้ว หากแต่การนำตัว กลับมาคุมขังต่อนั้นจะเข้มข้นมากกว่า ส่วนสาเหตุที่ไม่ใช้โซ่ตรวนกับผู้ต้องขังนั้น เนื่องจากมีประเด็นในเรื่องของสิทธิมนุษยชน จึงใช้กุญแจมือ ล็อกช่วงข้อเท้าแทน

ศาลไม่ให้ประกันแก๊ง‘ประสิทธิ์’
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน นำตัว นายสมประสงค์ ทิพย์สุคนธ์, น.ส.กัญญามาส ทองปาน, นายณัฐนันท์ อังคณาวิทยากุล ผู้ต้องหาร่วมกันกระทำด้วยประการใดให้ผู้ที่ถูก คุมขังตามอำนาจของศาล ของพนักงานอัยการ ของพนักงานสอบสวน หรือของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หลุดพ้นจากการคุมขังไป มายื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกเป็นเวลา 12 วัน

ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตฝากขังได้

ต่อมาผู้ต้องหาที่ 2-3 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว

ศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าผู้ต้องหาที่ 2, 3 ถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดที่มีลักษณะเป็นขบวนการ และอุกอาจ ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เชื่อว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี จึงให้ยกคำร้อง

จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวผู้ต้องหาทั้งสาม ไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป

‘โรม’จี้สมศักดิ์สอบจนท.มีเอี่ยว
ด้านนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามต่อการดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรมหลังจากกรณีนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก สามารถไขกุญแจตรวนและพยายามหลบหนีในขณะถูกคุมตัวมาที่ศาล โดยรังสิมันต์ตั้งข้อสังเกตว่าในกระบวนการควบคุมตัวปกติ ราชทัณฑ์ไม่น่ามี โอกาสหลบหนีไปได้ ตนมีโอกาสใช้บริการจากเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์บ่อยครั้ง แนวทางการปฏิบัติในวันที่ผมถูกควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีความเคร่งครัดมาก จนแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบหนี

นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า ความหละหลวมที่เกิดขึ้นต้อง ดำเนินการสอบสวนเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ใน 2 ประเด็น คือกุญแจโซ่ตรวนเป็นกุญแจ ที่ทำมาจากต่างประเทศ มีมาตรฐานสูง ซึ่งคนที่มีกุญแจสำรองมีแต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นายประสิทธิ์ได้รับกุญแจมาได้อย่างไร อีกประเด็นคือการควบคุมตัว เป็นไปได้อย่างไรที่เป็นเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่ใส่สูท ซึ่งนี่เป็นสัญญาณนัยๆ หรือเปล่าที่ไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกันกับนักโทษคนอื่นๆ

“สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นคือมีการสอบสวน เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ตั้งแต่ภายในเรือนจำ ตั้งแต่การใส่ตรวนเท้า ซึ่งเกิดขึ้นที่เรือนจำว่าเป็นการใส่โซ่ที่ได้มาตรฐาน หรือแอบให้กุญแจตั้งแต่ตรงนั้นหรือไม่ และเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมตัวมาที่ศาลมีส่วนรู้เห็นไหม ถ้าไม่มีกระบวนการสืบสวนสอบสวนเจ้าหน้าที่ ผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง แปลว่ากรมราชทัณฑ์มีส่วนรู้เห็นการหลบหนีครั้งนี้ด้วย หวังว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรมจะลงมากำกับดูแลเรื่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีส่วนรู้เห็นกับขบวนการหลบหนีสามารถหลุดรอดไปได้” นายรังสิมันต์กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน