เมื่อวันที่ 11 ม.ค. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยเกี่ยวกับ ผลคดีตามคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 7 กรณีนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร่ำรวยผิดปกติ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณารายงานการไต่สวนแล้ว มีมติว่านายวสวัตติ์เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ ร่ำรวยผิดปกติ แล้วให้ส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 56,327,661 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน

นายนิวัติไชยกล่าวว่า ต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2565 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ความว่า ศาลพิพากษาให้เงินในบัญชีเงินฝากชื่อบัญชีของผู้ถูกกล่าวหา รวม 6 บัญชี เงินที่ได้รับจากพระ เงินที่นำไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ เงินที่นำไปซื้อที่ดินพร้อมบ้านพัก จ.นครปฐม เงินที่นำไปชำระหนี้เงินกู้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รวมทั้งทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่อยู่ในชื่อบุคคลอื่น ได้แก่เงินฝากในบัญชีเงินฝากธนาคาร 2 แห่ง พร้อมดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้น รวมมูลค่า 56,327,661 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน หากไม่สามารถโอนทรัพย์สินได้ ให้ผู้ถูกกล่าวหาชดใช้เงิน 56,327,661 บาท ตามสัดส่วนของมูลค่าที่ขาดอยู่แก่แผ่นดินจนครบ

ทั้งนี้ หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าวของผู้ถูกกล่าวหาได้ทั้งหมดหรือแต่ บางส่วน ให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปีนับแต่ที่มี คำพิพากษาถึงที่สุด แต่ต้องไม่เกินมูลค่าของทรัพย์สินที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน