อุทธรณ์ตัดสินยืนตามชั้นต้นชีพยานให้การขัดแย้ง-มีพิรุธ

ยกฟ้อง 3 จำเลยเสื้อแดง ศาลอุทธรณ์ยืนตามชั้นต้น ไม่ผิดคดีถูกฟ้องปาระเบิดฆ่า ‘พล.อ.ร่มเกล้า’ และทหารอื่นรวม 5 นาย หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ จากเหตุสลายการชุมนุมกลุ่มนปช.เมื่อปี 53 ชี้คำให้การพยานโจทก์มีพิรุธหลายอย่างไม่น่าเชื่อถือ และเป็นการฟ้องซ้ำคดีก่อการร้าย

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฆ่า พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม กับลูกน้อง หมายเลขดำ อ.857/2562 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 และนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุขเสก หรือเสก พลตื้อ, นางพรกมล บัวฉัตรขาว หรือนางกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ อดีต ผู้ดำเนินรายการทีวีสถานีประชาชน ช่องเอเชียอัพเดต และนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและสนับสนุนให้ฆ่า ผู้อื่นฯ และพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

โดยโจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 พ.ย.2552 – 20 พ.ค.2553 กลุ่ม นปช.ร่วมกันชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ลาออกจากตำแหน่ง จนวันที่ 7 เม.ย.2553 นายอภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ และออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ บริเวณถ.ราชดำเนินกลาง ตั้งแต่แยกคอกวัว มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

กระทั่งวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยที่ 1 และ 3 กับพวกร่วมกันมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบเอ็ม 67 คนละ 3 ลูก มีจำเลยที่ 2 เป็น ผู้สนับสนุนด้านการเงิน และจัดหาระเบิดให้ โดยพวกจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นด้วยการขว้างระเบิดสังหาร 2 ลูก ใส่เจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า รองเสธ. กองพลทหารราบที่ 2 รอ. (ขณะนั้น) กับนายทหารรวม 5 นายเสียชีวิต และนายทหารอีกหลายนายบาดเจ็บสาหัส โดยพวกจำเลยให้การปฏิเสธ

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 1 ก.พ.64 ด้วยเหตุคำเบิกความพยานโจทก์มีข้อพิรุธ ประจักษ์พยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ และศาลพิจารณาคำฟ้องจำเลย เปรียบเทียบกับคดีนปช.ก่อการร้าย ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกัน มูลเหตุช่วงเวลาเดียวกัน ถือเป็นการฟ้องซ้อน พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1-3

การฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ จำเลยที่ 1-2 มาศาล พร้อมนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ส่วนจำเลยที่ 3 ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำ (คดีอื่น)

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายวิญญัติเผยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน โดยศาลวินิจฉัยประเด็นเเรกว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1-3 คดีนี้ เป็นฟ้องซ้อนกับคดีนปช.ก่อการร้ายหรือไม่

ศาลเห็นว่า บทบัญญัติเรื่องฟ้องซ้อนในคดีอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยเรื่องฟ้องซ้อน มาตรา 173 มาบังคับใช้โดยอนุโลม ที่ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น โดยคดีนั้นโจทก์บรรยายฟ้องคดีทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อน ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้อนนั้นชอบแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เเละ 3

นอกจากนั้นยังมีประเด็นที่อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 เเละ 3 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีจึงมีข้อที่ศาลต้องพิจารณาก่อนว่า จำเลยที่ 1 เเละ 3 ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของพยานที่อ้างว่ามีลูกระเบิดอยู่ในกระเป๋าและเห็นจำเลยที่ 1 เเละ 3 หยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าที่ข้างเต็นท์ ข้อนำสืบของพยานที่อ้างว่า เห็นจำเลย 1, 3 หยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าสะพาย ต่อมาทราบว่าเป็นลูกระเบิดเอ็ม 67 จึงเป็นข้อกล่าวอ้างในชั้นพิจารณา โดยไม่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ซึ่งคำให้การพยาน 2 ปากดังกล่าว กลับยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เเละ 3 มีลูกระเบิดเอ็ม 67 ติดตัวคนละ 3 ลูก โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยนำลูกระเบิดติดตัวมาจากที่ใด

ศาลยังมองว่า ทราบได้อย่างไรว่าจำเลยมีลูกระเบิดเอ็ม 67 ติดตัว คนละ 3 ลูก ข้อนำสืบของพยานไม่สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นข้อสาระสำคัญ อีกทั้งพยานบางปากเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพื่อสนับสนุนพยานหลักฐานโจทก์

ยังมีส่วนที่พยานให้การว่า จำเลยที่ 3 เล่าให้ฟังว่า อยู่ในเหตุการณ์ขว้างระเบิดใส่ทหารเท่านั้น เเละยังมีพยานพบจำเลยที่ 1 ถือและใช้อาวุธเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่ทหาร เเละกระสุนมีทิศทางมาจากฝั่งผู้ชุมนุม พยานหันไปมองวัตถุดังกล่าว และมีการระเบิดขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่ด้านหน้าพยาน ล้มลง เเต่มีพยานปากนายทหารให้การว่า เห็นวัตถุสีดำกลิ้งมาจากฝั่งผู้ชุมนุม วัตถุ ดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้น

คำให้การชั้นสอบสวนจึงแตกต่างจาก คำเบิกความที่อ้างว่าเป็นประจักษ์พยานที่อ้างว่าเห็นจำเลยที่ 1 ขว้างระเบิดออกมาจากบ้าน ในข้อสาระสำคัญ ย่อมทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีข้อพิรุธ น่าสงสัยอยู่ตามสมควร พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักไม่เพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1, 3 กระทำผิด

เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจเป็นผู้สนับสนุน ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ศาลจึงพิพากษายืนยกฟ้อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน