ช่วย41ล้านคน ขอใช้งบกลาง

ครม.เคาะอุ้มค่าไฟ 1.1 หมื่นล. ยื่นกกต.ขอใช้งบกลางกลุ่มเปราะบางจ่ายเท่าเก่าใช้ไม่เกิน150 หน่วย ให้ส่วนลด 92.04 สตางค์ต่อหน่วย ไม่เกิน 300 หน่วยให้ส่วนลด 67.04 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มเติมให้สิทธิ์ ช่วยค่าไฟฟ้า 150 บาท สำหรับครัวเรือนที่ใช้ไม่เกิน 500 หน่วย ลดภาระชาวบ้านกว่า 41 ล้านคน กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารจ่อขยับ หลังประปาแย้มรอชงรบ.ใหม่เพิ่มค่าใช้น้ำ ซ้ำเติมผู้ประกอบการอีกเด้ง

‘บิ๊กตู่’ขอให้ไว้ใจเรื่องค่าไฟ
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 25 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า การประชุมวันนี้มีเรื่องพิจารณาน้อย ซึ่งหากมีเรื่องการใช้งบประมาณจะต้องพิจารณา เป็นพิเศษ เพราะต้องปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในช่วงเลือกตั้งที่จะต้องใช้ งบกลาง ซึ่งทุกคนอยากทราบว่ารัฐบาล ดูแลเรื่องพลังงานช่วงนี้หรือเปล่า และดูแล มาอย่างไร ทั้งนี้ ที่ผ่านมาต้องย้อนกลับไปเรื่องการดูแลประชาชนอยู่ที่ 150 หน่วย อย่างไร 300 หน่วยอย่างไร และวันนี้เพิ่มเป็น 500 หน่วย 150 บาท ไปเพิ่มให้เขา ซึ่งความเป็นมาในเรื่องของพลังงานมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย ในส่วนพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน ก็อยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างทั้งสิ้น ไม่ได้ไปใช้จ่ายตรงนั้นมาบวกลบตรงนี้มันคนละเรื่องกัน เป็นการเตรียมการสู่อนาคต เดี๋ยวจะมีการชี้แจงรายละเอียด เพิ่มเติม รวมความไปถึงส่วนคณะกรรมการกำกับนโยบายพลังงานด้วย

“ขอให้ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เราพยายามจะทำให้ดีที่สุด ก็เป็นข้อกังวลเหมือนกันกรณีที่มีการไปหาเสียงต่างๆ ว่าจะลดลงเท่านั้น เท่านี้ ถ้ามาดูไส้ในแล้วจะรู้ว่ามีรายละเอียดมากมาย มีทั้งเหตุผลและความจำเป็น สิ่งสำคัญที่สุดเราพยายามที่จะทำให้ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางด้านรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ฉะนั้นที่มีการพูดถึงสิ่งที่เราอนุมัติไป 2 งวดทำให้เกิดภาระ ซึ่งจริงๆ แล้วยังไม่ได้สร้างเลย เป็นการอนุมัติไว้เฉยๆ และที่บอกว่าเกินไป 50-60 เปอร์เซ็นไม่ใช่ตัวเลขนั้นหรอก ฉะนั้นต้องเข้าใจกัน อย่าไปหาเสียงทำให้เกิดความตื่นตระหนก หรือไม่เข้าใจ หรือทำให้การบริหารมันทำไม่ได้ รายละเอียดปลีกย่อยเดี๋ยวเขาจะมีการชี้แจงเพิ่มเติม เมื่อสักครู่ใน ครม.ได้คุยกันเป็นชั่วโมงก็เข้าใจกันดีในขั้นต้นและเห็นชอบในการที่จะอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมให้ 150 บาท ในส่วนการใช้ต่อ 500 หน่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งวันนี้ค่าเฉลี่ยทั้งสองฝ่าย ทั้งด้านอุตสาหกรรมและประชาชนก็เท่ากัน เดิมเสียสละมาเป็น 5 บาทตอนนี้ก็ลดลงมา ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นภาระของภาคอุตสาหกรรม แต่เราก็ดูแลหมด การดูแลคนส่วนใหญ่มันลำบากเหมือนกัน แต่ละประเภทมีคนจำนวนเท่าไหร่ๆ ก็มุ่งเป้าตรงนี้ว่าจะแก้ปัญหาให้เขาอย่างไร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ชงกกต.ไฟเขียวใช้หมื่นล้าน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องการช่วยเหลือค่าไฟใช้งบประมาณเท่าไหร่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า 3,500 ล้านบาท ไม่ได้คิดของเดิมที่ใช้จ่ายไปแล้วแสนกว่าล้านบาท วันนี้ใช้อีก 3,500 ล้านบาท ถ้าใช้ต่อไปอีก ทั้งหมดน่าจะใช้ประมาณหมื่นกว่าล้านบาท

เมื่อถามว่าจะดูแลประชาชนประมาณ กี่เดือน และส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ผ่าน ครม.แล้วต้องนำส่งให้ กกต.พิจารณา ซึ่งสถานการณ์ค่าพลังงานยัง ไม่แน่นอน ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แบบนี้มาโดยตลอด ฉะนั้นต้องดูว่าจะทำอย่างไร ก็แก้ปัญหาไป แต่ปัญหาของเรางบประมาณจำกัดพอสมควรเหมือนกัน หนี้สินเก่าจากการลดนู่นนี่ให้เขาก็มีอยู่ เพราะเป็นการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจด้วย ขอยืนยันรัฐบาลจะให้ความเป็นธรรมทุกภาคส่วนที่มีการร่วมกันในการบริหารจัดการพลังงาน เพราะรัฐบาลไม่สามารถที่จะลงทุนทั้งหมดได้ เอกชนได้มาร่วมลงทุนด้วย แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย กติกาที่มีอยู่ ทุกประการ สิ่งใดที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นปัญหาทางกฎหมายได้ให้กระทรวงพลังงานส่งสัญญาต่างๆ ไปให้กรมอัยการได้พิจารณาดูแล้ว ในขณะนี้ได้รับรายงานอย่างนั้น ว่าเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมเพราะหลายสัญญาทำมานานพอสมควร

ยืนยันดูแลกลุ่มเปราะบาง
เมื่อถามว่าระยะเวลาในการดูแลประมาณกี่เดือน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หน้าร้อนเดือนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้คือหน้าร้อนอยู่ อากาศร้อน คนก็มีโอกาสใช้พลังงานสูงขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปเร่งความเย็น เป็นการเพิ่มการใช้พลังงานมากขึ้น 2-3 เท่า กว่าปกติ หลายคนคิดว่าเปิดแอร์เหมือนเดิม แต่การ เร่งแอร์ให้เย็นขึ้นก็เป็นการเพิ่มการใช้พลังงาน 2-3 เท่า คงต้องฟังเหตุผลบ้าง ฉะนั้นการที่จะนำบิลค่าเก็บเงินมาดูอย่าเปรียบเทียบเฉพาะทางขวามือที่เป็นราคาค่าไฟฟ้าประจำเดือน กรุณาเสนอให้ครบทั้งซ้ายและขวา ซึ่งทางซ้ายคือจำนวนหน่วยพลังงานที่ใช้ และเดือนที่แล้วกับเดือนนี้มันต่างกันอย่างไร ตรงนั้นคือประเด็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะเข้าใจกันผิดทั้งหมด

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สำหรับกลุ่ม เปราะบางยืนยันต้องดูแล เพราะมีหลายสิบ ล้านคนอยู่ตรงนี้ ซึ่งเราต้องระมัดระวังการ ใช้งบประมาณให้พอเพียง มุ่งเป้าไปตรงไหนอะไรอย่างไร และรัฐก็ต้องดูแลกลุ่มเปราะบางให้มากที่สุด มีอะไรจะถามไหมเรื่องพลังงาน ตนว่าพอแล้วมันปวดหัว








Advertisement

ช่วยได้ 18.36 ล้านราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมาตรการ ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานโลกสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นมาตรการต่อเนื่องของกระทรวงพลังงาน โดยมีแนวทางช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยให้ส่วนลดแบบขั้นบันไดแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ สำหรับงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. (จำนวน 4 เดือน) โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราส่วนลดเดียวกันกับช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับการช่วยเหลือรวม ทั้งสิ้นประมาณ 18.36 ล้านราย ใช้งบประมาณรวมในกรอบไม่เกิน 7,602 ล้านบาท สำหรับงวดเดือนพ.ค.-ส.ค. จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย.ที่ ผ่านมา ครม.มีมติเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่ สูงขึ้น โดยมีแนวทางช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย ในพื้นที่บริการของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ใช้ไฟฟ้า ในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการการสัมปทานกองทัพเรือ โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยกำหนดให้ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 1-150 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจำนวน 92.04 สตางค์ต่อหน่วย ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 151-300 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจำนวน 97.04 สตางค์ต่อหน่วย

ครม.เคาะช่วยค่าไฟ
ต่อมา นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมมติ ครม. ว่า ครม.ให้ความเห็นชอบการใช้งบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 169 (3) กำหนดแนวทางการช่วยเหลือ ที่ได้รับผล กระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานโลก สูงขึ้น ดังนี้

1.มาตรการต่อเนื่องของกระทรวงพลังงานที่ได้ดำเนินการอยู่ในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. (การช่วยเหลือค่าไฟฟ้าของกลุ่มเปราะบาง) โดยมีแนวทางช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยให้ส่วนลดแบบขั้นบันได แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ สำหรับงวดเดือนพ.ค.-ส.ค. (4 เดือน) กำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราส่วนลดเดียวกันกับช่วงเดือนม.ค.-เม.ย.

1.1 ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 1-150 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 92.04 สตางค์ต่อหน่วย โดยมีผลต่างค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เรียกเก็บและส่วนลด 1.39 สตางค์ต่อหน่วย

1.2 ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าระหว่าง 151-300 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจำนวน 67.04 สตางค์ต่อหน่วย โดยมีผลต่างค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เรียกเก็บและส่วนลด 26.39 สตางค์ต่อหน่วย

ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ได้รับการช่วยเหลือรวมทั้งสิ้นประมาณ 18.36 ล้านราย ใช้งบประมาณรวมในกรอบไม่เกิน 7,602 ล้านบาท สำหรับงวดเดือนพ.ค.-ส.ค. จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

ไม่เกิน 500 หน่วยได้ 150 บ.
2.มาตรการช่วยเหลือประชาชนระยะ เร่งด่วน ให้ส่วนลดแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่บริการของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ จำนวน 150 บาทต่อราย โดยกำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ในรอบบิลเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นช่วงเดือนที่มี สถิติความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของประเทศและจะเริ่มลดลงในเดือนมิ.ย. สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน จำนวน 23.40 ล้านราย โดยใช้งบประมาณรวมในกรอบไม่เกิน 3,510 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในห้วงการยุบสภา คณะรัฐมนตรี จะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะได้นำเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณา ให้ความเห็นชอบการ ใช้งบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 169 (3) กำหนด

เอกชนครวญประปาจ่อซ้ำ
วันเดียวกัน นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย นายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เปิดเผยถึงกรณีที่การประปาเตรียมเสนอรัฐบาลใหม่ปรับขึ้นค่าน้ำประปา โดยอ้างว่ามีต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15-20 ว่า จะส่งผล กระทบต่อต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนการใช้น้ำเฉลี่ยร้อยละ 5-30 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตน้ำดื่ม และ เครื่องดื่มได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะ ใช้น้ำปริมาณมาก เบื้องต้นคาดว่าภาคธุรกิจอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าในกลุ่มที่มีสัดส่วนใช้น้ำเป็นต้นทุนในการผลิตที่มากกว่าร้อยละ 10

ปัจจุบันภาคธุรกิจได้รับความเดือดร้อนจากค่าไฟฟ้าแพงอยู่แล้ว หากรัฐบาลมีการปรับขึ้นค่าน้ำประปา จะเป็นการซ้ำเติมภาคการค้า และอุตสาหกรรมของไทยที่กำลัง จะฟื้นตัวจากโควิด-19 ให้ยิ่งแย่ลงไปอีก ดังนั้น รัฐบาลต้องชะลอการปรับขึ้นค่าน้ำประปาออกไปก่อน อย่าเพิ่งปรับราคาในปีนี้ การปรับขึ้นค่าน้ำประปาจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาในภาคการเกษตรของไทยด้วย โดยเฉพาะเกษตรกรที่ทำการเกษตรในพื้นที่นอกเขตชลประทาน รวมทั้งปีนี้ยังมีแนวโน้มจะเกิดปัญหาภัยแล้งจากลานีญาด้วย อาจส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรไทย ลดน้อยลงกว่าปกติ

พณ.ชี้ไม่กระทบภาคอุตฯ
ร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลกระทบต่อราคาสินค้ากลุ่มอาหาร โดยเฉพาะน้ำดื่มบรรจุขวด และเครื่องดื่ม กรณีที่รัฐบาลอาจจะปรับขึ้นค่าน้ำ 15-20% ว่า จากการวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนสินค้าสินค้าน้ำดื่ม บรรจุขวดพบว่าได้รับผลด้านต้นทุนจากรณีการปรับขึ้นค่าน้ำประปาไม่มาก เนื่องจากน้ำดื่มส่วนใหญ่ผลิตมาจากน้ำบาดาล ไม่ใช่น้ำประปาจึงเป็นต้นทุนคนละส่วนกัน ส่วนสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม พบว่ามีสัดส่วนต้นทุนน้ำดิบในการผลิตน้อยเช่นกัน จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้ประกอบการจะขอปรับขึ้นราคาสินค้า

ส่วนสินค้าในกลุ่มเม็ดพลาสติก ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีการใช้น้ำดิบเป็น ต้นทุนนั้น จากการวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนการผลิตพบว่าอุตสาหกรรมพลาสติกใช้น้ำประปาในการหล่อเย็นเครื่องจักรในขบวนการผลิต คิดเป็นสัดส่วนต้นทุนน้ำดิบน้อยมาก รวมทั้งระบบน้ำหล่อเย็นยังเป็นการใช้น้ำแบบหมุนเวียนเพื่อรักษาอุณหภูมิเครื่องจักร ไม่ได้ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งหรือหมดไป

“แม้ว่าการประปาจะมีการปรับขึ้นราคา น้ำประปาอีก 15-20% แต่จะส่งผลกระทบ ต่อต้นทุนการผลิตสินค้าน้ำดื่มและเครื่องดื่มน้อยมาก จึงไม่มีนัยสำคัญที่ผู้ผลิตและ ผู้ประกอบการจะมาใช้เป็นเหตุผลในการยื่นขอปรับขึ้นราคาสินค้า โดยในส่วนของน้ำดื่มบรรจุขวดนั้น ไม่ใช่สินค้าที่อยู่ในรายการควบคุม แต่เป็นสินค้าที่กรมติดตามราคา” ร.ต.จักรากล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน