แย้มพร้อมจับมือก้าวไกล-ปชป.-ภท.
รทสช.วอนอย่าทิ้ง‘ลุงตู่’สู้คนเดียว
กกต.รอหลังลต.ถกปม‘หุ้นพิธา’

‘เศรษฐา’ ปลุกพลังเงียบเลือกเพื่อไทยให้ชนะขาด แย้มพร้อมร่วมงานกับก้าวไกล-ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย รทสช.โหม‘อย่าให้ลุงตู่สู้คนเดียว’ ‘บิ๊กตู่’ อ้อนคนนครศรีฯให้เชื่อใจอีกครั้ง เพื่อกลับมาสานงานต่อ สัญญาจะทำให้ดีที่สุด ปชป.เปิดแคมเปญ#SAVE ประชาธิปัตย์ สู้ กลโกงเลือกตั้ง ก้าวไกลปล่อยคลิปก๊อก 2 กระตุ้นความหวังเปลี่ยนแปลงประเทศ ‘เรืองไกร’ ยื่นเพิ่มเช็กบิล ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ เปิดข้อบังคับพรรคก้าวไกล ส่อขาดคุณสมบัตินั่งหัวหน้าพรรคหรือไม่ ด้านกกต.ไม่รีบวินิจฉัยให้โอกาสผู้ถูกร้องชี้แจง คาดโยนศาลรธน.ชี้ขาดหลังเลือกตั้ง

รทสช.ปลุก‘อย่าให้ลุงตู่สู้คนเดียว’
เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 12 พ.ค. หลายพรรคการเมืองได้จัดปราศรัยใหญ่ทิ้งทวน ซึ่งตามกฎหมายจะ สิ้นสุดการหาเสียงก่อนเลือกตั้งหนึ่งวัน คือ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 พ.ค. ก่อนมีการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.

สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) จัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ห้องเอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในหัวข้อ “อย่าให้ลุงตู่สู้คนเดียว ออกมาช่วยกันรักษาบ้านเมือง รวมทุกหัวใจ รวมไทยสร้างชาติ” การปราศรัยเริ่มตั้งแต่เวลา16.00-19.00 น. ซึ่งนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ขึ้นเวทีพูดเป็นคนแรก ตามด้วยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และผู้สมัคร ส.ส.กทม. และปิดท้ายด้วยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และแคนดิเดต นายกฯ รทสช.

ส่วนวันที่ 13 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ และแกนนำพรรค จะขึ้นรถแห่หาเสียงช่วงเช้าหาเสียงรอบ กทม. จนไปสิ้นสุดเวลางด หาเสียง 18.00 น. ขณะที่วันที่ 14 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 13 เขตพญาไท บริเวณใต้ทางด่วนซอยประดิพัทธ์ 5 กทม.

อ้อนคนนครศรีฯเชื่อใจอีกครั้ง
เวลา 08.30 น. วันที่ 11 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางลงพื้นที่หาเสียง จ.นครศรีธรรมราช จุดแรกเวลา 09.45 น. พบปะประชาชนที่ลานหน้าโรงเรียนสตรีปากพนัง อ.ปากพนัง เพื่อช่วยนายนนทิวรรธน์ นนทภักดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 5 เบอร์ 3

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปราศรัยว่า ฝากเบอร์ 3 ส.ส.เขต และเบอร์ 22 ของพรรค ขอให้จำไว้ทั้งสองเบอร์ เราถึงจะได้คนเข้าไปในสภา ถ้าเรามีส.ส.มากขึ้นก็สามารถเลือกนายกฯได้ เราต้องการให้ได้ส.ส.มากที่สุดเข้าไปในสภา เพื่อให้เป็นครม.ที่แข็งแรงทำงานได้เร็วขึ้น ที่ผ่านมาเราทำงานร่วมกับหลายพรรค ก็หลายคนหลายพวก คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง สิ่งสำคัญวันนี้คือความรักความสามัคคีของคนในชาติเราต้องไม่ทะเลาะกับใคร บ้านเมืองเราเคยบอบช้ำมาแล้ว จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก

“ขอให้เชื่อใจผมอีกครั้งหนึ่ง ท่านเชื่อใจผมมาครั้งหนึ่งแล้ว และเชื่อใจมา 60 ปีแล้วในการเป็นทหารของผม ผมรับราชการทหารมาเกือบ 40 ปีเต็มๆ ทหารผ่านมาทุกระดับ และวันนี้จำเป็นต้องเข้ามาดูแลบ้านเมือง ผมใช้คำว่าจำเป็นต้องเข้ามา ถ้าการเมืองดีอยู่แล้วผมก็ไม่ต้องเข้ามา นั่นคือปัญหาที่ทุกคนอาจพูดว่าผมเข้ามาทำไม ผมเข้ามาเพื่อต้องการอำนาจหรือ ผมมีอำนาจแต่ผมมีงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะมาก นี่คือสิ่งที่ผมต้องรับผิดชอบมากกว่าสิ่งที่ผมเป็นทหาร เพราะเราคือคนไทยมีทั้งหมด 70 ล้านคน ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทําการสิ่งใดก็ไร้ผล พาชาติย่อยยับอับจน ประชาชนจะสุขอยู่อย่างไร นี่คือเพลงพระราชนิพนธ์ ผมเชื่อมั่นทุกคนรักชาติ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

คัมแบ๊กนายกฯสานงานต่อ
เวลา 11.00 น. ที่โรงเรียนชะอวด อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีหาเสียงช่วยนายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 4 เบอร์ 10 ว่า สิ่งที่ตนทำมาตลอดคือการทำด้วยความตั้งใจจริง ก็เครียดเหมือนกัน เพราะใช้เวลานานในการแก้ปัญหาเดิมๆ ซึ่งเราจำเป็นต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีหลายวิธี สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องมีส.ส.ให้มากขึ้น เขาก็สามารถเสนอตนเป็นนายกฯได้ จำเอาไว้ รักตนคนเดียวไม่ได้ ต้องรักผู้สมัคร ส.ส.พรรคด้วย

ลุงไม่ใช่ศัตรูของหลาน แต่มีศัตรูอย่างเดียวคือความไม่ซื่อสัตย์สุจริต คนทุจริต คนคดโกง ตนไม่คอร์รัปชั่น ไม่เคยได้เงินจากการเป็น นายกฯ นอกจากเงินเดือนเท่านั้น เราต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน จะยากดีมีจน เป็นแผ่นดินแห่งอิสรภาพ เป็นแผ่นดินของคนไทย จะหัวขวาน ด้ามขวาม นี่คือประเทศไทย เราต้องไม่ทะเลาะกันในชาติ และไม่ทะเลาะกับคนอื่นด้วย เป็นดินแดนแห่งสันติสุข ดินแดนแห่งความเป็นกลาง สร้างสมดุลแต่ละกลุ่ม ซึ่งตนยึดหลักนี้มาโดยตลอด วันนี้รทสช. ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ทำใหม่ อีกไม่กี่วันเลือกตั้งแล้ว จำเบอร์ใหม่แม่น และให้ถูก ฝากหัวใจไว้กับชาวชะอวดด้วย รักทุกคน รักจังฮู้

สัญญาจะทำให้ดีที่สุด
ต่อมาเวลา 14.30 น. ที่โรงเรียนวัดพิศาลนฤมิตร อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ขึ้นเวทีปราศรัยช่วย นายสนั่น พิบูลย์ ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 5 เบอร์ 1 หาเสียงว่า วันนี้ถนนหนทางทางกายภาพเราทำดีแล้วไปไหนมาไหนสะดวก ถือว่ายุคของตนเสร็จมากที่สุด ยืนยันว่าเราทำได้มากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา 3 เท่าเต็มๆ โครงการต่างๆ เท่าที่นับได้ทำสำเร็จเกือบ 200 โครงการทั่วประเทศ และต้องกลับมาย้อนดูภาคใต้ว่าจะต้องมีการลงโครงการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ แผนงานที่เตรียมบรรจุไว้ในปี 2567 ได้เขียนไว้เรียบร้อยแล้วในหลายๆ สิ่งที่ประชาชนเดือดร้อน ขอเพียงให้เราได้เป็นรัฐบาล จะสานงานต่อทันที

หลายคนบอกไม่ต้องไปซื้อเรือรบ ให้เอาเรือประมงมาสู้กับเรือดำน้ำ เมื่อถึงเวลามีการสู้รบทางทะเลคงต้องขอเรือประมงจาก ชาวบ้าน เอาปืนใหญ่ใส่เรือแล้วเอาไอ้คนพูดมาขับเรือไปสู้กับเขา มันพูดอย่างนี้ไม่ได้ ข้าราชการทุกคนมีเกียรติ ทุกคนเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย เกษียณอายุแล้วก็ควรมีบำเหน็จบำนาญ ไปบอกว่าพวกเขาเป็นช้างป่วย ไปดูถูกอย่างนี้ไม่ได้ “ผมไม่ทะเลาะกับเขาแต่การพูดแบบนี้ทำให้เกิดความบาดหมางซึ่งกันและกัน ฉะนั้นช้างอย่างพวกเราจะต้องไม่ป่วย ช้างเราต้องแข็งแรง ช้างเราต้องเป็นช้างศึก”

“สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดถ้าเลือกรทสช. เลือกทั้งพี่ตู่ และส.ส.เขต เพราะส.ส.เขต มีความสำคัญกับลุงตู่ ถ้าได้ ส.ส.เขตน้อย ลุงตู่ก็กลับบ้านนอน แล้วอย่าคิดถึงเวลาไม่อยู่ อย่าร้องไห้นะ ทั้งหมดอยู่ที่พวกเรา วันนี้ต้องขอบคุณทุกคนในการต้อนรับนะจ๊ะ ขอให้ ทุกคนมีความสุข รักทุกคนรักจังฮู้ รักแรง ขอให้ทุกคนมีความสุขช่วยกันไปเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.กาให้ถูกใบ กาเลขให้ถูก กากบาทไม่ใช่ขีดถูก รักแรง รักจังฮู้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ลั่นขอตายในแผ่นดินเกิด
เวลา 15.25 น. ที่สนามหน้าที่ว่าการ อำเภอทุ่งสง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีหาเสียงช่วยนายฉัตรชัย ธนาวุฒิ ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 6 เบอร์ 10 ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลทำอะไรมาเยอะแยะมากมาย วันนี้นั่งรถมาเห็นบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ทำให้ตนคิดว่าจะทำอะไรให้กับภาคใต้เพิ่มขึ้นอีก ตอนเป็นนายกฯ ตนได้ทำแผนงบประมาณปี 2567 ซึ่งมีหลายโครงการ และมีในส่วนของภาคใต้พอสมควร หากตนไม่ได้เป็นนายกฯ ก็ไปว่ากันใหม่ เพราะมีรัฐบาลใหม่ ฉะนั้นการที่จะให้ตนเป็นนายกฯ ต้องเลือกส.ส.รทสช.ให้มากที่สุด ทุกอย่างจะต้องทำต่อ ฉะนั้นต้องเลือก 2 ใบ เลือกเขตเยอะๆ มารวมส.ส.บัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ของพรรค ถ้ามีคะแนนมาก ตนก็มีแต้มต่อได้เป็นรัฐบาล

“เราต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ แผ่นดินที่เกิด เติบโต หากินแล้วตายที่นี้ ไม่ใช่ไปตายนอกประเทศ ผมไม่ได้ว่าใคร ผมไม่ยุ่งกับใครอยู่แล้ว ผมมาเพื่อต้องการให้บ้านเมือง ทำอะไรต้องระมัดระวัง บ้านเมืองเราไม่สงบอีกไม่ได้แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

อธิษฐานกวาดส.ส.ยกเมืองคอน
เวลา 18.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ไปสักการะศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช และทำพิธีบวงสรวงศาลหลักเมือง บูชาท้าวจตุคาม รามเทพ เสร็จสิ้นพิธีได้จุดประทัดเอาฤกษ์ชัย

พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า ได้อธิษฐานให้บ้านเมืองปลอดภัย ให้คนไทยปลอดภัย ให้คนนครศรีธรรมราชปลอดภัย ให้รทสช.ประสบความสำเร็จ ขอให้ได้ส.ส.ทั้งจังหวัด และขอให้ตัวเองอีกหน่อยคือขอให้พล.อ.ประยุทธ์ ปลอดภัยเพราะทุกวันนี้เสี่ยงทุกวัน ถึงไม่ทะเลาะกับใครก็เสี่ยงอยู่

ต่อมา เวลา 19.00 น.ที่สนามหน้าเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช รทสช.จัดเวทีปราศรัยใหญ่ปักธงเมืองคอน เพื่อช่วยหาเสียงให้นายพูน แก้วภราดัย ผู้สมัคร ส.ส.นคร ศรีธรรมราช เขต 1 เบอร์ 8

พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยด้วยเสียงแหบแห้ง พร้อมเบ่งกล้ามโชว์ และหันหลังโชว์เบอร์ 22 บนเสื้อ กล่าวเป็นภาษาใต้ว่า วันนี้มาด้วยความรักและความคิดถึง ส่งใจถึงกันมาโดยตลอดใช่ไหม รักจังฮู้ หรอยแรง วันนี้มานครศรีธรรมราชเสียงแหบ เจอแต่ความรักความห่วงใย อวยชัยให้พร ตื้นตันจริงๆ ขอให้จับมือกัน ถ้าไม่จับมือประเทศไทยเดินไปไม่ได้ แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร อย่าไปทะเลาะเบาะแว้ง อย่าไปแก่งแย่ง อย่าไปว่าใคร พระสอนไว้จะว่าสิ่งที่ว่าเขาจะกลับเข้าตัวทั้งหมด เพราะวันนี้บนฟ้ามีเทวดา มีพระเจ้า มีพระอินทร์ มีทุกพระที่ศักดิ์สิทธิ์อธิษฐานไปเถอะ

เปิดแคมเปญ#SAVE ปชป.
เวลา 10.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าปชป. ดูแลกทม. แถลงแคมเปญ ก่อนเข้าคูหากาเลือกประชาธิปัตย์ #SAVE ประชาธิปัตย์ เพื่อ #SAVE ประชาธิปไตยไม่โกง ว่า หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาประชาชนหลายคนร่วมกันติดแฮชแท็ก “SAVE ประชาธิปัตย์” เผยแพร่จำนวนมากในโลกออนไลน์ พรรคจึงใช้กระบวนการ ฟัง คิด ทำ นำความคิดเห็นประชาชน มาเป็นแนวทางปฏิบัติ และแนวทางหาเสียงช่วง 3 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 14 พ.ค.นี้

ที่ผ่านมาเราจะพบว่ามีนักการเมืองส่วนหนึ่งหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เบียดเบียน งบประมาณแผ่นดินจนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ ที่ผ่านมา มั่นใจ ปชป.ทำงานมาด้วยความซื่อสัตย์ เห็นได้จากการเป็นพรรคแรกที่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อสาธารณชน เรียกร้องให้คดีความที่เกิดจากการทุจริตต่อหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่มีวันหมดอายุความ ไม่ว่าจะหลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศนานแค่ไหนก็จะถูกดำเนินคดีเรื่อยไป

ดังนั้นการเดินหน้าประชาธิปไตยจะต้องไม่โกง เพื่อตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาของประเทศในภาพรวม ไม่ให้เกิดปัญหาทางการเมือง 3 ประการคือ นักการเมืองแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เพื่อตนเองและพวกพ้องในงบประมาณแผ่นดิน นักการเมืองผู้มีอำนาจแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เช่น การซื้อเสียง ดูดส.ส. วนกลับเข้ามามีอำนาจ และนักการเมืองทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งหมดคือเหตุผลว่าทำไมเราบอกประชาชนให้ช่วยกันติด #SAVE ประชาธิปัตย์ เพื่อส่งสัญญาณรักษาประชาธิปไตยไม่โกง

ชทพ.ย้ำจุดยืนร่วมรัฐบาล
เมื่อเวลา 09.15 น. ที่พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าชทพ. ให้สัมภาษณ์กรณีหลายพรรคประกาศไม่เอาลุง จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลยากขึ้นหรือไม่ว่า ไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลครั้งไหนง่าย และสมการที่จะเกิดหลังเลือกตั้งถ้าถามตอนนี้ตอบลำบาก อย่าเพิ่งตีตนไป ก่อนไข้ ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และวันนี้ยังไม่มีพรรคไหนที่มั่นใจได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะได้เท่าไร และได้แล้วจะมีการฟ้องร้องกันเท่าไร อย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า ชทพ.ได้ทำโพลหรือไม่ และผลโพลที่ออกมายังเป็นไปตามเป้า หรือไม่ นายวราวุธกล่าวว่า พรรคทำทุกพื้นที่ซึ่งออกแบบหนึ่ง แต่ถ้าฟังจากหน่วยงานอื่นจะออกมาอีกแบบหนึ่ง 10 โพลออกมาไม่เหมือนกันสักโพล และประวัติศาสตร์แม้แต่เอ็กซิตโพลยังเคยคว่ำถล่มทลายมาแล้ว ขณะนี้ตนยังมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้า คือ ไม่ต่ำกว่า 25 ที่นั่ง

เมื่อถามว่า มองว่ามีโอกาสเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยขึ้นหรือไม่ นายวราวุธกล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วย รัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่เป็นประโยชน์ในการทำงานให้กับประเทศไทย ต่อข้อถามว่า ถ้าเกิดการแย่งชิงจับขั้วรัฐบาลโดยไม่รอพรรคอันดับ 1 จัดตั้งก่อน ชทพ.จะใช้อะไรเป็นจุดตัดสินใจ นายวราวุธกล่าวว่า พูดเสมอว่าภายใน 100 วันอยากเห็นการ ขับเคลื่อนเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จากสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่สะท้อนจากประชาชน คือแนวทางที่ ชทพ.เร่งทำงาน และนำนโยบายของพรรคที่มีแนวทางเน้นความยั่งยืน เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเป็นแนวทางที่สำคัญ ถ้าประเด็นเหล่านี้ ไม่ได้รับการตอบสนอง แปลว่า ชทพ. ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมในรัฐบาล

พท.ตั้งวอร์รูม-2แคนดิเดตนำลุ้นผล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. ภายหลังปิดหีบเลือกตั้ง แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พท. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย รวมทั้งกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) จะเข้าที่ทำการพรรคเพื่อติดตามผลการนับคะแนนตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ขณะที่นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ อีกคนยังอยู่ระหว่างพักฟื้นจากการพบก้อนเลือดแห้งในสมอง

ทั้งนี้ พรรคได้เปิดศูนย์ติดตามผลการเลือกตั้งที่ชั้น 7 ของที่ทำการพรรค มีการติดตั้งจอมอนิเตอร์ เพื่อติดตามผลการนับคะแนนผ่านผู้สังเกตการณ์ประจำหน่วยเลือกตั้ง โดยมี ผู้ประสานงานของแต่ละเขตเลือกตั้ง คอยส่งผลการนับคะแนนแบบเรียลไทม์เข้ามาเป็นระยะ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับผลการนับคะแนนของเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยเลือกตั้ง

ผลคะแนนจะสรุปเป็นสองรอบ คือรอบเวลา 19.00 น. และเวลา 20.00 น. ซึ่งพอจะคาดการณ์ได้ว่าพรรคจะได้ ส.ส.จำนวนเท่าไร แต่แกนนำพรรคและสมาชิกต่างเชื่อมั่นว่าพท.จะได้ส.ส.มากที่สุดในการเลือกตั้ง ทะลุเกิน 200 เสียงอย่างแน่นอน แต่จะมาร่วมกันลุ้นว่าจะเกิน 250 เสียงขึ้นไปจนแตะ 300 เสียงตามเป้าหมายที่วางไว้ในการตั้งรัฐบาลพรรคเดียวหรือไม่ นอกจากนั้นจะมีการติดตั้งจอมอนิเตอร์ไว้ด้านล่างของที่ทำการพรรค เพื่อให้กองเชียร์และกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคได้ร่วมลุ้นผลการนับคะแนนไปพร้อมๆ กันด้วย

ขอชนะขาด – นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ขึ้นรถแห่หาเสียงช่วยผู้สมัครส.ส. เชิญชวนให้เลือกพรรคเพื่อไทยชนะอย่างเด็ดขาด ที่ตลาดมณียา ท่าอิฐและตลาดนกฮูก จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 11 พ.ค.

‘เสี่ยนิด’รับระแวงองค์กรอิสระ
ที่จ.เชียงใหม่ นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงความคาดหวังหลังจัดปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ ช่วงโค้งสุดท้ายจะดึงคะแนนเสียงได้แค่ไหนว่า ตนมั่นใจ เพราะเชียงใหม่ ถือเป็นจังหวัดที่สำคัญที่สุดของ พท. ถือเป็นโฮมทาวน์ของเรา จึงคาดหวังว่าจะได้ ส.ส.ยกทั้งจังหวัด

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการประเมินว่าหลังเลือกตั้งจะกลับไปสู่วังวนการเมืองเดิม มีแผนรับมือกับสถานการณ์อย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า มั่นใจพี่น้องประชาชนจะให้ฉันทามติกับพรรคที่ตัวเองชอบ ส่วนเรื่องความวุ่นวาย ความไม่แน่นอน หรือความไม่เป็นธรรมทั้งหลาย ส่วนตัวหลังเข้าสู่สนามการเมืองแล้วต้องมั่นใจในระบบประชาธิปไตย และการทำงานขององค์กรอิสระ ความระแวง ความหวาดกลัวแน่นอนต้องมีบ้าง แต่เราต้องมั่นใจว่าระบบที่เราอยู่จะให้ความเป็นธรรม

ต่อข้อถามถึงการเสนอชื่อแคนดิเดต นายกฯ 3 คนของ พท.แต่ไม่บอกใครจะเป็นนายกฯ เพื่อป้องกันการชี้เป้าและการเตะตัดขา ใช้อุบัติเหตุทางการเมืองหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ก็เป็นความหวาดระแวง เพราะเราโดนมาแล้วหลายหน ตรงนี้เป็นกลยุทธ์ของเราเหมือนกัน ถือว่าต้องมีความระมัดระวังในการเดินไปข้างหน้าในเรื่องนี้ ยืนยันว่าทั้ง 3 คนพร้อม ใครคนหนึ่งได้เป็น อีก 2 คนก็พร้อมทำงานคู่

เย้ยรทสช.-อย่าหวังพลังเงียบ
ผู้สื่อข่าวถามกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ถูกร้องตรวจสอบหุ้นสื่อเป็นการเตะตัดขาหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนยังไม่ได้ดูข้อเท็จจริงแต่เป็นกำลังใจให้ และแน่นอนทุกฝ่ายต้องได้รับความเป็นธรรม และเรามีความเป็นห่วงบางพรรคที่เสนอชื่อแคนดิเดตฯ เพียงชื่อเดียว

ต่อข้อถามถึงการปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายในวันที่ 12 พ.ค. นายเศรษฐากล่าวว่า ขอให้ทุกคนติดตาม เรามีความหวังว่าเราจะโน้มน้าวคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจให้เลือกเราได้ มั่นใจว่าเราเป็นพรรคใหญ่ เป็นสถาบันการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชนกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มั่นใจว่าทีมงานของเราพร้อม เชื่อว่าการปราศรัยของเราจะได้รับการติดตามจากพี่น้องประชาชน

เมื่อถามว่ารทสช. พยายามหาเสียงด้วยการปลุกพลังเงียบ หวั่นจะกระทบกับคะแนนของคนที่ยังไม่ตัดสินใจหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่าพลังเงียบจะเลือกรทสช.ทั้งหมด พลังเงียบที่ยังไม่ตัดสินใจก็มี เหตุผลที่เขาเงียบเพราะเขายังไม่ตัดสินใจ ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่ของพท.และทุกพรรค การเมืองที่จะดึงคะแนนเสียงตรงนี้ออกมา ส่วนอะไรที่จะดึงคะแนนตรงนี้ออกมาได้ คือความชัดเจน ประสบการณ์ จริงๆ เราอย่าอยู่กับความฝัน แม้ความฝันไม่เสียเงิน เราอยู่กับความเป็นจริงดีกว่า ดูในอดีตดีกว่าว่าพท. เคยทำนโยบายยากๆ ให้เกิดขึ้นได้ และได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน

พร้อมจับมือก.ก.-ปชป.-ภท.
ที่สิริ แคมปัส นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์พิเศษกับข่าวสดว่า 10 ปีที่ผ่านมาเริ่มมีความสนใจด้านการเมืองมากขึ้น เพราะเห็นความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นในประเทศไทยหลายๆ ด้าน เห็นการรัฐประหาร ประชาชนลำบาก สถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุข กลุ่มคนรายได้สูงได้รับวัคซีนไปก่อนใคร และนี่คือเหตุผลที่ตนเข้าสู่เวทีการเมือง บริษัทที่ตนเคยทำประสบคววามสำเร็จเป็นอย่างดี มีคำถามว่าเข้าเล่นการเมืองไม่กลัวหรือ เช่น การไม่ได้รับความเป็นธรรม โดนสาดโคลน ไม่กลัวการถูกปล้นชัยชนะหรือ แต่ตนได้ก้าวข้ามจุดนั้นมาแล้ว

หลังการเลือกตั้ง 1 ปีแรก หากได้เป็น นายกฯ หรืออยู่ในฝั่งรัฐบาล ประชาชนจะเห็นอะไรจากพท.บ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องแรกคือการดูแลเรื่องปากท้องพี่น้องประชาชน เศรษฐกิจโดยรวม สนับสนุนสมรสเท่าเทียม สมัครใจเกณฑ์ทหาร หรือการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่มีกฎในการอยู่ร่วมกัน อยากเห็นจีดีพีของไทยในปี 2567 เติบโตอย่างน้อย 5% หรือสูงกว่านั้น พท.มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจสูงมาก ฉะนั้นหากเลือกพท.ให้แลนด์สไลด์ เราพร้อมจะดำเนินทันที

หากพท. ต้องทำงานร่วมกับพรรคอื่น สามารถทำงานร่วมกันได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า 1.พท.ไม่ทำงานร่วมกับบุคคลที่มี รากเหง้าในการทำรัฐประหาร 2.นโยบาย อย่าง ก.ก. มีนโยบายที่คล้ายคลึงกันอยู่ เช่น การแก้ไขมาตรา 112 สมัครใจเกณฑ์ทหาร แต่ต้องมาคุยเรื่องรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ในการร่วมงาน แต่เราอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่ความฝัน อยากให้คนตื่นขึ้นมาอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง แล้วมามองว่าพรรคไหนที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ ปชป.ตนก็ไม่เคยมีปัญหากับคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ พรรคภูมิใจไทย(ภท.) อย่างคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ตนประสบการณ์น้อย ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ ตนไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใคร แต่นโยบายกัญชาเสรีเราไม่เอา ถ้าทำงานร่วมกันไม่ได้ คงขึ้นอยู่กับนโยบายของพรรคมากกว่า

หวังพลังเงียบเลือกให้ชนะขาด
ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อมาถึงโค้งสุดท้าย พอใจกับการหาเสียงที่ผ่านมาหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า มี 2 เรื่อง คือ 1.วิธีการปราศรัย ตนถือว่ายังเป็นมือใหม่ การหาเสียงช่วงต้นๆ ยังประหม่าอยู่ ถ้าย้อนเวลาไปได้คงตั้งสติและลงรายละเอียดนโยบายให้มากกว่านี้ 2.เวลา ไม่พอ หากมีเวลามากกว่านี้คงจะไปพบประชาชนและให้ครบทุกจังหวัด และอยากมีการพูดคุยแบบ 2 ทาง คือ ลงไปพูดคุยกับประชาชน เพราะเป็นการศึกษาได้ 2 ทาง เกิดการถกเถียง หาทางออกร่วมกัน ที่ผ่านมายังไม่มีอะไรที่เฟอร์เฟค ประเมินให้คะแนน ตัวเอง 7 คะแนนเต็ม 10

ตนเชื่อว่ายังมีพลังเงียบอีกจำนวนมากที่ยังไม่ตัดสินใจเลือก ช่วงโค้งสุดท้ายของการ หาเสียงของพท. เราไม่ได้ประชาชนเลือกเพราะความกลัว แต่ให้เลือกตั้งแบบมีเป้าหมาย และให้เลือกด้วยความชัวร์จากการแลนด์สไลด์ อยากให้เลือกพท.ที่มีประวัติมายาวนาน มีศักยภาพพร้อมในทุกๆด้านอย่างพท. เป้าหมายของเรามั่นใจว่าจะได้เสียงส่วนมากจากประชาชน และขึ้นอยู่กับพลังเงียบ การเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.2566 จะเป็นนิมิตหมายใหม่และสะท้อนความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้นวันที่ 14 พ.ค.เราต้องตื่นขึ้นมาอยู่บน พื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่ความฝันเลือกพท. กา 2 ใบ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที

“ผมพร้อมเป็นนายกฯ พร้อมทำงานให้ประชาชน ซึ่งพท.จะมีกก.บห. ประชุมเพื่อ คัดเลือกบุคคลที่จะเสนอชื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาโหวตเลือกเป็นนายกฯ แคนดิเดต นายกฯทั้ง 3 คนของพท. มีความพร้อมที่จะเป็นนายกฯ”

‘เสี่ยอ้วน’โหมเกิน 300 ส.ส.
วันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพท. โพสต์เฟซบุ๊กว่า อย่าให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงประเทศต้องเป็นหมัน ไล่ระบอบประยุทธ์ออกไป เลือกพท.เป็นรัฐบาล การเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมไทย เพราะเป็นการ เลือกตั้งที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับอำนาจในการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน โดยยังคงมีกลไกรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ ส.ว 250 คน มีสิทธิ์โหวตเลือก นายกฯ อันเป็นแต้มต่อที่สำคัญในการสืบทอดอำนาจต่อเนื่องของระบอบประยุทธ์ นั่นหมายความว่าหากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมสามารถจับมือรวมกันแค่ 126 เสียง ก็สามารถชนะการโหวตเลือกนายกฯ ได้แล้ว และประเทศไทยจะมีนายกฯ ในแบบเดิมที่ทำให้พี่น้องประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานมานานถึง 8-9 ปี

หากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง จะตั้งรัฐบาลได้จริง จำเป็นต้องใช้คะแนนเสียงของส.ส.ให้ได้มากเกิน 250 คน และจะมั่นใจมากกว่าหากได้ ส.ส. มากถึง 300 คน ซึ่งพรรคการเมืองที่มีโอกาสจะทำให้เป็น รูปธรรมได้จริงๆ คือพท. แม้ว่าในช่วงหลังหลายโพลจากหลายสำนักระบุว่าบางพรรคมาแรงแซงพท.ก็ตาม แต่หากดูจากข้อมูลในพื้นที่ซึ่งเป็นคะแนนจริงๆ ไม่ใช่คะแนนในอากาศ ซึ่งเราติดตามอย่างใกล้ชิด ยังบ่งชี้ว่าพท.ยังคงได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง

ทำไมถึงมั่นใจอย่างนั้น จริงอยู่กระแสอาจมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกของพื้นที่ กทม.ปริมณฑลและเขตเมืองใหญ่ แต่ในจำนวนเขตเลือกตั้ง 400 เขตนั้น 300 กว่าเขตเป็นพื้นที่ อบต. เทศบาลตำบล กระแสไม่มีผลมากเท่ากับความผูกพันและการช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่าง ส.ส.กับประชาชนในพื้นที่นั้นๆ จำนวน ส.ส.เขตพื้นที่จึงเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง และต่อการจัดตั้งรัฐบาล ในพื้นที่ที่มีการแข่งขันซึ่งจะทำให้เกิดการตัดคะแนนกันเอง ปล่อยให้ตาอยู่อย่างลุงและเครือข่ายชนะไปย่อมไม่เกิดผลดี ตนไม่อยากให้ความหวังในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของพี่น้องประชาชนต้องกลายเป็นคะแนน ตกน้ำและตาอยู่ได้ชัยชนะไป นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก

ก.ก.ปล่อยคลิปก๊อก 2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 10 พ.ค. พรรคก้าวไกล ปล่อยคลิปวิดีโอชุดที่สอง ปลุกความหวังประชาชน “หมดเวลาอยู่กับ อดีตได้เวลาสู่อนาคต” เนื้อหากล่าวถึงปรากฏ การณ์ก.ก.ที่คะแนนนิยมพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว สะท้อนความต้องการและความหวังของคนในสังคม

ย้ำจุดยืน ก.ก. “มีลุงไม่มีเรา และมีเราไม่มีลุง” พร้อมระบุกระแส ก.ก.ที่เพิ่มสูงขึ้น ต่อเนื่อง เกิดจากความเชื่อมั่นว่าเลือก ก.ก.จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคม กระแสความนิยม ก.ก.ไม่ใช่เกิดจากแค่ทีมสื่อสารพรรค แต่เกิดจากการที่ประชาชนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง หรือ “หัวคะแนนธรรมชาติ”

ท้ายคลิปเป็นเสียงของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรค ที่บอกว่า “เปลี่ยนจากพฤษภาทมิฬ พฤษภาเลือด เป็นพฤษภา แห่งความหวังผ่านการเลือกตั้ง นี่คือชั่วโมงแห่งความเป็นไปได้ ไม่ใช่เวลาที่คนไทยต้องเจียมเนื้อเจียมตัว แต่เป็นเวลาที่พวกเราประชาชน กล้าปักธงให้ไกล ฝันถึงประเทศ ไทยที่ดีกว่านี้ ฝันถึงความเท่าเทียมเป็นธรรมในสังคมไทย กล้าคิดกล้าฝันไปกับพวกเรา นี่คือโมงยามของความทะเยอทะยานขอโอกาส ก.ก. ขอโอกาส พิธา เป็นนายกฯ เราจะมาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปด้วยกัน และเราจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปด้วยกัน”

หลัง ก.ก.เผยแพร่วิดีโอชุดนี้ในโซเชี่ยลมีเดีย ยอดเข้าชมทุกแพลตฟอร์มเกิน 1 ล้านครั้ง ภายใน 1 คืน

‘เรืองไกร’ยื่นเพิ่มปม‘ทิม’ถือหุ้น
เมื่อเวลา 11.40 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. ให้สัมภาษณ์หลังเข้ายื่นเอกสารเพิ่มเติมต่อกกต. กรณีการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯ ก.ก.ว่า ตนได้นำข้อบังคับของก.ก.มายื่นเพิ่มเติม และจับประเด็นว่านายพิธาจะพ้นจากสมาชิก และหัวหน้าพรรคหรือไม่ เพราะข้อบังคับก.ก.มีการแก้ไขลงในราชกิจจานุเบกษา ปี 2563 ซึ่งข้อบังคับพรรคในข้อ 12 ระบุว่าสมาชิกต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) เมื่อระบุเช่นนี้ มาตรา 98 (3) จะทำให้พ้นสมาชิกหรือไม่ และกก.บห. รวมทั้งหัวหน้าพรรค จะต้องขาดจากความเป็นหัวหน้าพรรคโดยสิ้นสุดเฉพาะตัว รวมถึงกก.บห.ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ตามข้อบังคับก.ก.ข้อที่ 36

ตนได้ตั้งข้อสังเกตให้ กกต. ตรวจสอบในกรณีที่ถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เข้าข่ายว่าจะมีลักษณะต้องห้ามเป็น ส.ส. รวมถึงเป็นสมาชิกพรรค และหัวหน้าพรรคไม่ได้ ซึ่งผลที่ตามมาในการสมัครเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3-7 เม.ย.2566 นายพิธาได้เซ็นรับรองการสมัคร ส.ส. เกือบ 400 เขตและส.ส.บัญชีรายชื่อ จึงขอให้กกต.ตรวจสอบเพิ่มเติมว่าการยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครส.ส.ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้กกต.ดำเนินกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้านายพิธามีความผิดจริง และได้ไปเซ็นรับรองการสมัครส.ส.ของพรรค จะทำให้การสมัครนั้นเป็นโมฆะใช่หรือไม่ นายเรืองไกรกล่าวว่า ให้กกต. ตรวจสอบว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ต้องถอดสมการว่าการเป็นหัวหน้าพรรคพ้นไปหรือยัง เพราะในข้อบังคับเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนแล้ว นายพิธาให้สัมภาษณ์ด้วยว่าเรื่องนี้รู้มาตั้งนานแล้ว ซึ่งเรื่องนี้พรรคเคยมาปรึกษาตน แต่ไม่ได้ยกประเด็นนี้มาปรึกษา ถึงอย่างไรตนได้ให้ความรู้เรื่องกฎหมายไป ตนไม่ได้เลือกที่รักมักที่ซัง

‘พี่ศรี’ร้องด้วย-ยันไม่ซ้ำรอย‘ธนาธร’
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้ข้อมูลหลักฐานที่นายพิธา ถือหุ้นไอทีวี เป็นชิ้นเดียวกันกับที่นายเรืองไกรได้มายื่นต่อกกต. เป็นหลักฐานจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่องนี้มีกรณีศึกษาจากนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครส.ส. นครนายก เขต 2 อยู่แล้ว กกต.น่าจะมีคำสั่งห้ามรับสมัคร เป็นหน้าที่ของนายพิธาจะต้องไปแก้ตัวในศาลฎีกา แต่ตอนนี้กกต.กลับเงียบเฉยแล้วไม่ยอมดำเนินการ หากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ต้องยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว ส่วนกรณีที่นายพิธาออกมายืนยันว่าได้แจ้งข้อมูลการถือหุ้นไอทีวีต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น มองว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่ชัดเจน แม้ว่าเลขาธิการป.ป.ช.จะออกมาแถลง เนื่องจากพบว่าพยานเอกสารหลักฐานเดิมของนายพิธาที่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อป.ป.ช.นั้น ไม่ได้ระบุข้อมูลการถือหุ้นไอทีวี ขณะที่ป.ป.ช.ไม่เคยเปิดเผยหลักฐาน ต่อสื่อมวลชนและสาธารณชนเลย ส่วนตัวจึงมองว่าเชื่อถือไม่ได้

การถือหุ้นของนายพิธา จะไม่ซ้ำรอยกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เนื่องจากการถือหุ้นของนายธนาธร เป็นสื่อประเภทสิ่งพิมพ์ ส่วนไอทีวี เป็นสื่อโทรทัศน์ มีความแตกต่างกัน ส่วนกรณีที่ไอทีวีถูกคำสั่งปิดไปแล้วเมื่อปี 2550 จะถือว่ายังเป็นหุ้นสื่อหรือไม่นั้น ในเมื่อไม่ยื่นการปิดบริษัทและยังมีการประชุมของ ผู้ถือหุ้นอยู่ และบริษัทยังไปลงทุนกิจการที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน จะอ้างว่าปิดไปแล้วคงไม่ใช่ มองว่าเรื่องนี้จะต้องถึงศาลรัฐ ธรรมนูญแน่นอนเพราะเป็นเผือกร้อน และมองว่ากกต.จะไม่วินิจฉัยเอง

โต้เตะสกัดช่วงโค้งท้าย
ส่วนเอกสารที่ตนจะมายื่นต่อกกต.มีความแตกต่างจากนายเรืองไกร ซึ่งเกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 1559 พร้อมยกตัวอย่างว่าตนเองเคยเป็นผู้ตามมรดกของบิดา เวลาไปทำนิติกรรมใดๆ เอกสารใดๆ ที่ปรากฏในชื่อของบิดาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ตนในฐานะเป็นผู้ติดตามมรดก ถ้าไม่ระบุว่าจะมอบมรดกให้กับใคร หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่จะแปลงชื่อนั้นเป็นของตนเองซึ่งเป็นลูกทันที นั่นหมายความว่าตนสามารถนำทรัพย์สินไปทำนิติกรรมใดๆ ก็ได้ ดังนั้นเอกสารที่ปรากฏในชื่อของนายพิธา ไม่ได้มีวงเล็บว่า ในฐานะผู้ติดตามมรดก หมายความว่านายพิธาสามารถดำเนินการใดๆ กับหุ้นนี้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารหรือคำสั่งของศาลในเรื่องการตั้งผู้ติดตามมรดก ดังนั้นคำพูดที่นายพิธา อธิบายมานั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็ได้

ผู้สื่อข่าวกรณีที่มีผู้ร้องเรียนกรณีการถือหุ้นของนายพิธา เป็นการสกัดขาก.ก.หรือไม่ นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า มันจะเป็นเกมสกัดขาได้อย่างไรเพราะทุกการเลือกตั้งก็จะมีเรื่อง ร้องเรียนว่า ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการร้องเรียนในช่วงการเลือกตั้งหากจะมองว่าเป็นเรื่องการสกัดขาในทิศทางก็แล้วแต่คนที่จะมองเนื่องจากการร้องเพลงดังกล่าวเป็นเรื่องปกติพร้อมย้ำว่าคุณสมบัติของ ผู้สมัครส.ส.หรือคนที่จะเข้ามาเป็นนักการเมืองจะต้องเคลียร์ตนเองตั้งแต่เริ่มต้นคิดจะเป็นนักการเมืองแล้วไม่ควรปล่อยให้คนอื่นมาจับผิดแบบนี้

กกต.ไม่รีบวินิจฉัย
นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. กล่าวกรณีการร้องเรียนนายพิธาว่า ตนยังไม่เห็นคำร้อง ซึ่งเรื่องนี้เป็นการร้องเกี่ยวกับคุณสมบัติ มีขั้นตอนตามกฎหมาย 3 ช่วง คือช่วงก่อนวันเลือกตั้ง ช่วงหลังวันเลือกตั้ง และช่วงประกาศผลการเลือกตั้ง โดยก่อนการเลือกตั้ง ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 61 ถ้ากกต.ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าไม่มีคุณสมบัติ ให้ยื่นต่อศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาเพียง 2 วัน แต่หากดำเนินการไม่ทัน หลังการเลือกตั้ง ก่อนการประกาศผล ถ้าเห็นว่าผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามในการลงรับสมัครรับเลือกตั้ง กกต.จะมีมติให้ดำเนินคดีอาญามาตรา 151 ฐานรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีคุณสมบัติในการสมัคร แต่ยังลงสมัคร

การดำเนินการดังกล่าว จะไม่เป็นเหตุให้นำไปสู่การไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง ดังนั้นต้องประกาศผลให้เป็น ส.ส.ไปก่อน จากนั้นจะเป็นการดำเนินการหลังการประกาศผล มีรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งได้กำหนดช่องทาง ในการดำเนินการไว้ ทั้งให้ส.ส.หรือส.ว. เข้าชื่อ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือกกต.เป็นผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมกกต.ไม่ยื่นให้ศาลฎีกาพิจารณาก่อนการเลือกตั้ง เพราะถ้ายื่นหลังการเลือกตั้งจะมีผลกระทบมากกว่า นายแสวงกล่าวว่า ทุกอย่างมีกระบวนการที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา เมื่อมีเรื่องร้องเรียน สำนักงานจะรวบรวมพยานหลักฐาน ต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง ข้อกล่าวหา ก่อนนำเสนอให้กกต.พิจารณา ซึ่งต้องใช้เวลา

อย่างเช่นวันที่ 11 พ.ค. หน่วยงานที่กกต.ได้ขอความร่วมมือในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพิ่งส่งข้อมูลล่าสุดมาให้ พบว่ามีผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ คนหนึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย แต่กกต.เห็นว่าจำเป็นต้องให้ความเป็นธรรม และได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติก่อน จึงให้สำนักงานไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า คำสั่งล้มละลายยังมีผลอยู่หรือไม่ และผู้ถูกกล่าวหามีการดำเนินการในเรื่องการต่อสู้อย่างไรหรือไม่ จากนั้น กกต.ค่อยมาพิจารณาเรื่องการยื่นต่อศาล ดังนั้น จึงต้องแยกเรื่องกระบวนการให้ความเป็นธรรม กับผลกระทบออกจากกัน

‘บิ๊กบี้ ’ย้ำลบ‘ปฏิวัติ’พ้นกองทัพ
เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์เชิญชวนกำลังพลไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ในวันที่ 14 พ.ค. เพราะเป็นหน้าที่ในการสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข

ผู้สื่อข่าวถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ทหารตกเป็นเป้าในการจะยกเลิกเกณฑ์ทหาร พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร ใครจะเข้ามา เขามีสิทธิ์ที่จะทำตามนโยบายของเขา ในส่วนของเราที่เป็นทหารมีสิทธิ์ทำข้อมูลชี้แจงถึงความจำเป็นในการมีทหาร หรือจำเป็นในการเกณฑ์ทหาร

ต่อข้อถามว่าเป็นห่วงสถานการณ์หลังเลือกตั้ง จะมีความวุ่นวายหรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า ไม่ห่วง เพราะเชื่อว่าเรามีบทเรียนมามากแล้วในอดีต บ้านเมืองต้องการความสงบเรียบร้อย บ้านเมืองจะได้เจริญ เศรษฐกิจจะได้ดี ถ้าเราคิดจะขัดแย้ง ก่อความวุ่นวาย บ้านเมืองและคนส่วนใหญ่จะได้รับความเดือดร้อน จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องร่วมมือกันไม่ใช่ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งที่จะต้องกังวล แต่ทุกคนควรมีสติ

ผู้สื่อข่าวถามว่า อีก 5 เดือนที่เหลือในตำแหน่ง ยืนยันได้หรือไม่ว่าทหารจะไม่ออกไปทำอะไรให้ประชาชนหวาดวิตก พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า “ผมยืนยันไม่ได้ นั่นหมายถึงว่า ในส่วนของบ้านเมืองจะเรียบร้อยหรือไม่ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน แต่ในสิ่งที่ผมยืนยันได้ในเรื่องของสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต มันติดลบ ติดศูนย์ ผมยืนยันเรื่องนั้นแน่นอน”

ต่อข้อถามว่า ไม่มีการปฏิวัติหลังการเลือกตั้งใช่หรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า คำพวกนี้ตนบอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ควรพูด ไม่ควรถาม และไม่ควรเขียน เพราะจะเป็นการปลุกความคิดที่ขัดแย้งต่อเนื่อง ตนจึงขอร้องผู้สื่อข่าว ควรลบออกไปจากพจนานุกรมของผู้สื่อข่าว เมื่อถามว่า ต้องลบออกจากพจนานุกรมของกองทัพด้วยหรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์กล่าวว่า “สำหรับผมนะลบแน่นอน”

ศาลนัดวันนี้-ประกันตะวัน-แบม
เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ศาลอาญา พนักงานสอบสวนสน.สำราญราษฎร์ควบคุมตัวนายสิทธิชัย ปราศรัย อายุ 25 ปี, นายนภสิทธิ์ ตรีรยาภิวัฒน์ อายุ 19 ปี, น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อายุ 21 ปี, น.ส.อรวรรณ หรือแบม ภู่พงษ์ อายุ 24 ปี, เยาวชนชายอายุ 14 ปี, นายจิรภาส กอรัมย์ อายุ 28 ปี, นายณัฐพล เหล็กแย้ม อายุ 20 ปี, นายรณกร ห้างชัยเจริญ อายุ 25 ปี และนายศุทธวีร์ สร้อยคำ อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์, ร่วมกันบุกรุกโดยไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปในอาคารสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่นฯ, ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น

พนักงานสอบสวนระบุในท้ายคำร้องฝากขังว่า สอบปากคำผู้ต้องหาแล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากต้องรอสอบพยานอีก 10 ปาก รอผลตรวจพิสูจน์ของกลาง ผลตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือ และประวัติการต้องโทษ จึงขอฝากขังไว้เป็นเวลา 12 วัน พร้อมขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหาบางรายได้รับการปล่อยชั่วคราวในคดีอื่น แต่ยังฝ่าฝืนเงื่อนไขที่ศาลกำหนด เกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ต่อมาทนายความของทั้งคู่ ได้ยื่นคัดค้านการฝากขัง

จากนั้นศาลไต่สวนการขอฝากขังของพนักงานสอบสวน และการคัดค้านฝากขังของทนายความผู้ต้องหา แล้วเสร็จในช่วงมืด และให้พนักงานสอบสวนนำผู้ต้องหาทั้งหมดกลับไปก่อน แล้วนำตัวมาฟังคำสั่งฝากขังในวันที่ 12 พ.ค. เวลา 10.00 น.

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 พ.ค. น.ส.ทานตะวัน หรือตะวัน และน.ส.อรวรรณ หรือแบม พร้อมกลุ่มนักกิจกรรมทางการเมืองกว่า 20 คน รวมตัวชุมนุมที่สน.สำราญราษฎร์ เพื่อสอบถามการปล่อยตัวเยาวชนหญิงอายุ 15 ปี ที่สถานพินิจบ้านปรานี จ.ปทุมธานี ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ก่อนเกิดเหตุการณ์ชุลมุน กระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน