ตร.เชียงใหม่ทลายผัวเมียโทร.ขู่เหยื่อ

ตร.ภาค 5 บุกจับหนุ่มสาวเครือข่ายแก๊งคอลคาบ้านพักที่สันทราย เชียงใหม่ ยึดของกลางอื้อทั้งกล่องซิมบ็อกซ์กระจายสัญญาณ บัญชีธนาคาร โทรศัพท์มือถือ เผยตรวจสอบเบอร์โทร.แก๊งคอลอ้างเป็นจนท.สรรพากรโทร.ข่มขู่ตุ๋นเงินเหยื่อ สืบจากเบอร์โทร. ตามจนเจอ อ้างให้หนุ่มมาเลย์เช่าที่ติดตั้งซิมบ็อกซ์เท่านั้น พบเชื่อมโยงข้อมูลทำผิดที่ชัยภูมิและนครปฐม ประสานตร.ภาค 3 ภาค 7 ขยายผลจับกุม

เมื่อวันที่ 11.00 น. วันที่ 2 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ท. ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พร้อมด้วยพล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รองผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 และพล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์ วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าวกรณีจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รายใหญ่ พร้อมของกลางนับร้อยรายการ

สำหรับการจับกุมครั้งนี้เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนมายังเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมศปอส.ภ.จว.เชียงใหม่ว่าถูกกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรติดต่อผู้ร้องเรียน โดยใช้โทรศัพท์มือถือโทร.เข้ามาและข่มขู่ให้เกิดความตกใจกลัว จึงเข้าแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยติดตามสืบสวนตามเบาะแสและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

รังแก๊งคอล – พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภาค 5 พร้อมนำตำรวจภาค 5 และตำรวจไซเบอร์ตรวจค้นแหล่งติดตั้งซิมบ็อกซ์เบอร์โทรศัพท์แก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นสรรพากรตุ๋นเหยื่อที่บ้านหลังหนึ่งใน อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จับกุม 2 ผู้ต้องหาพร้อมสมุดบัญชีเงินฝากนับร้อยเล่ม เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.

จากการสืบสวนทางเทคนิค พบว่าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวมีพิกัดการใช้พื้นที่บริเวณบ้านแห่งหนึ่งในต.สันทรายน้อย อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จึงรวบรวมพยาน หลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องและขออนุมัติศาลจังหวัดเชียงใหม่ออกหมายค้น ซึ่งศาลจังหวัดเชียงใหม่อนุมัติหมายค้น ลงวันที่ 1 มิ.ย. 2566

ผลการตรวจค้นพบกล่องซิมบ็อกซ์กระจายสัญญาณ จำนวน 5 กล่อง บัญชีธนาคารผู้อื่นกว่า 100 บัญชี โทรศัพท์มือถือกว่า 20 เครื่อง และสามารถจับกุมนายอลงกรณ์ (สงวนนามสกุล) และน.ส.วาสนา (สงวนนามสกุล) ได้ในบ้านหลังดังกล่าว

พล.ต.ท.ปิยะกล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคนให้การว่าร่วมกันปล่อยเช่าพื้นที่ในห้องพักสำหรับวางกล่องซิมบ็อกซ์ให้แก่นายฟิน (ไม่ทราบชื่อสกุลจริง) ซึ่งอ้างว่าเป็นชายชาวมาเลเซีย ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท และร่วมกันจัดหาบัญชีธนาคารและนำออกจำหน่ายหรือปล่อยเช่าแก่ลูกค้า พฤติการณ์และการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานร่วมกันมี ใช้ นำเข้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนใดๆ หรือตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวด้วยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของ ผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้อื่นหรือประชาชน








Advertisement

“การกระทำผิดครั้งนี้ มีการเชื่อมโยงข้อมูลการกระทำผิดในจ.ชัยภูมิและนครปฐม ได้ประสานกับตำรวจภูธรภาค 3 และ 7 ทำการขยายผล สำหรับนายทุนคดีนี้ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไว้ส่วนหนึ่งแล้ว” พล.ต.ท.ปิยะกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน