‘พิธา’ขอบคุณลำปาง-ลำพูน อิ๊งให้กำลังใจ-ยันพ่อกลับกค. เศรษฐาชี้นักลงทุนรอรบ.ใหม่

ว่าที่ 71 ส.ส.ใน 37 จังหวัด โดนร้องคัดค้าน อีก 329 เขตฉลุย ลุ้นกกต.ประกาศรับรองเร็วขึ้น ม็อบบุกจี้ กกต.ประกาศผลทางการ เลขาฯ ป.ป.ช.เผย‘พิธา’ ยื่นบัญชีทรัพย์สินเพิ่มปี 2562 มีคำสั่งศาลแนบเป็นผู้จัดการมรดกหุ้นไอทีวี เด็กก้าวไกลตอก‘วิษณุ’ยก 3 ข้อชงโหวต‘พิธา’เป็นนายกฯ ได้ ด้าน‘วิษณุ’แนะต้องดูเนื้อหาคำร้อง-คำสั่งศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะอะไรบ้าง ‘พิธา’ขออย่าหลงกล ‘ผู้มีอำนาจ’ ชี้ถ้าประชาชนเบื่อการเมืองพวกเขาชนะทันที ‘อิ๊ง’ให้กำลังใจ ‘ทิม’ ยืนยันไม่มีแผนพลิกขั้ว ย้ำอีก‘ทักษิณ’กลับบ้าน ก.ค.นี้ ‘เศรษฐา’ เผยคุยนักลงทุนอยากให้ตั้งรัฐบาลเสร็จไวๆ เพื่อตัดสินใจลงทุน

‘บิ๊กตู่’ลั่นไม่ละเลยแก้ทุกข์ปชช.
เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลตามปกติ และโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนว่า การสร้างความเป็นธรรมในสังคมไทยถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผมยึดมั่นว่าจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งในวันนี้ผมมีความยินดีที่จะแจ้งว่าเรามีความคืบหน้าอย่างมาก บรรลุการแก้ปัญหาการขายฝากที่ไม่ชอบธรรม เพื่อคุ้มครองพี่น้องประชาชนและเกษตรกรไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย พรากที่ดิน-ที่ทำกิน-ที่อยู่อาศัยไปเพราะความไม่เข้าใจกฎหมาย หรือโดน กลโกง พร้อมชี้แจงผลทางการปฏิบัติที่ปิด จุดอ่อนกฎหมายขายฝากในอดีต และแนวทางการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนของรัฐบาล

“ผมขอชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในความมุ่งมั่นสร้างสังคมที่เป็นธรรม บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ด้วยการแปลงนโยบายของผมและของรัฐบาลให้บรรลุผลสำเร็จในทางปฏิบัติได้ในที่สุด ซึ่งผมถือว่าทุกข์ของประชาชนก็คือทุกข์ของผม ดังนั้น ผมและข้าราชการทุกคนจากทุกหน่วยงานจึงไม่อาจละเลย เพิกเฉย ในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติและประชาชน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เผย 71 ส.ส.ถูกร้อง-329 เขตฉลุย
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่าที่ประชุม กกต.เริ่มทยอยพิจารณารับรองส.ส.แล้ว ล็อตแรกเป็นส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่อยู่ในกลุ่มไม่มีเรื่องร้องเรียน และวันที่ 14 มิ.ย. กกต.ประชุมเพื่อทยอยรับรองส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) จำนวน 100 คน ก่อนจะประกาศผล อย่างเป็นทางการ และทำหนังสือถึงส.ส. ที่ผ่านการรับรองให้มารับหนังสือไปรายงานตัวต่อสภาในสัปดาห์หน้า

สำหรับเอกสารข้อมูลที่สำนักงาน กกต. นำเสนอต่อกกต.ในการพิจารณาประกาศผลการเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขต (ครั้งที่ 1) จำนวน 400 ที่นั่ง เมื่อ 13 มิ.ย. พบว่า ผู้ชนะการเลือกตั้งส.ส.เขตมี 37 จังหวัดที่มีผู้สมัคร ถูกร้องคัดค้านใน 71 เขต แบ่งเป็น พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 21 คน พรรคเพื่อไทย (พท.) 20 คน พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 14 คน พรรคก้าวไกล (ก.ก.) 7 คน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 3 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 3 คน พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) 2 คน พรรคเพื่อไทรวมพลัง (พ.ท.ล.) 1 คน

อาทิ กรุงเทพฯ เขต 28 น.ส.รักชนก ศรีนอก พรรคก้าวไกล, กำแพงเพชร เขต 1 นายไผ่ ลิกค์ พรรคพลังประชารัฐ, บุรีรัมย์ มี 4 เขต ซึ่งล้วนเป็นผู้สมัครจากภูมิใจไทย รวมถึงเขต 5 นายโสภณ ซารัมย์ เขต 6 นายศักดิ์ ซารัมย์, พัทลุง เขต 1 นางสุพัชรี ธรรมเพชร พรรคประชาธิปัตย์

เพชรบูรณ์ มี 3 เขต ล้วนจากพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงเขต 5 นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์, ร้อยเอ็ด เขต 3 นางรัชนี พลซื่อ พรรคพลังประชารัฐ, สงขลา เขต 5 นายเดชอิศม์ ขาวทอง พรรคประชาธิปัตย์, สระแก้ว มี 2 เขต เขต 1 นางขวัญเรือน เทียนทอง พรรคพลังประชารัฐ และเขต 3 นายสรวงศ์ เทียนทอง พรรคเพื่อไทย

ส่วนจังหวัดที่เสนอให้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งมีจำนวน 329 เขต ใน 40 จังหวัด
(อ่านรายละเอียด น.7)

จี้กกต. – เครือข่ายประชาชนสังเกตการณ์การเลือกตั้ง เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องกกต.เร่งประกาศผลการเลือกตั้งร้อยละ 95 อย่างเป็นทางการ เพื่อให้สามารถเปิดประชุมสภาและเลือกนายกรัฐมนตรี ที่สำนักงานกกต. ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.

‘ไอลอว์-ทะลุฟ้า’บุกกดดัน
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่สำนักงาน กกต. โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ร่วมกับเครือข่ายประชาชนสังเกตการณ์เลือกตั้ง และกลุ่มทะลุฟ้า ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งโดยเร็ว

นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ กล่าวว่า วันนี้ครบรอบ 1 เดือนหลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ถือเป็นเวลาที่นานพอสมควรที่จะประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการได้แล้ว ส่วนตัวทราบว่ากกต.มีกรอบกฎหมายในการประกาศรับรองผล แต่ กกต.สามารถใช้เวลาที่สั้นกว่านี้ได้ ที่ผ่านมา กกต.ไม่เคยใช้เวลานานขนาดนี้ ในปี 2548 กกต.ใช้เวลา 16 วัน ปี 2550 ใช้เวลา 29 วัน ปี 2554 ใช้เวลา 24 วัน และปี 2562 ใช้เวลา 45 วัน ในปีนี้กลับพบว่า กกต.ใช้เวลารับรองผลนานผิดปกติ

ก่อนหน้านี้เคยมาร้องเรียนแล้วครั้งหนึ่งแต่กกต.ให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องนับคะแนนใหม่ใน 47 หน่วย เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็นับเสร็จแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดอีกที่จะไม่ประกาศรับรองผล หากยืดเวลาออกไปจะทำให้ประชาชนเกิดความอึดอัด เคลือบแคลงสงสัยในประเด็นต่างๆ ได้

ด้าน น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล แกนนำกลุ่มราษฎร กล่าวว่าวันนี้เรามาด้วยเหตุผล ไม่ได้มากดดันเพื่อบอกว่าถ้าหากเกิดกระบวนการขัดขวางประชาธิปไตยคงไม่ใช่แค่พวกเราที่มาส่งเสียง แต่มีประชาชนอีกหลายคนที่ออกมาร่วมเช่นกัน

นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน กล่าวว่า หากยังไม่มีการประกาศผล ตนและแนวร่วมจะออกมาเรียกร้องสิทธิ อีกครั้งที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ มหานคร ในวันศุกร์ที่ 16 มิ.ย. เพื่อปกป้องไม่ให้มีกระบวนการขัดขวางรัฐบาลที่มาจากประชาชน

สภาเชิญ‘วิโรจน์’ปธ.สภาชั่วคราว
ที่รัฐสภา นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงความพร้อมในการรับรายงานตัวส.ส.ใหม่ ที่บริเวณชั้นบี 1 อาคารรัฐสภา ว่า ทางสภาได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งชุดที่ 26 ทุกด้านแล้ว และหากส.ส.มาแสดงตนประมาณ 300 คน ทางสำนักงานทยอยแจ้งจำนวนและรายชื่อไปทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) รับทราบโดยด่วน จนกว่าจะครบ 475 คนและ 500 คน เพื่อจะได้เป็นข้อมูลประกอบการทูลเกล้าฯ ถวายร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา (ครั้งแรก) พร้อมเตรียมความพร้อม การจัดพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้งส.ส. ให้เรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกมาประชุมเป็นครั้งแรก

ทางสภา ยังเตรียมความพร้อมการเปิดประชุมสภาครั้งแรก เพื่อเลือกประธานสภาไว้แล้ว โดยประสานไปยัง พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งอาวุโสสูงสุด อายุ 89 ปี เป็นประธานชั่วคราวแล้ว รวมทั้งให้สำนักประชุมและที่ปรึกษาซักซ้อมความเข้าใจในข้อกฎหมาย ข้อบังคับการประชุมร่วมกัน รวมถึงการโหวตเลือกประธานสภา และการโหวตเลือกนายกฯ ที่คาดว่าจะมีประเด็นถกเถียงด้านข้อกฎหมาย หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสภา ได้เตรียมขั้นตอนต่างๆ ไว้พร้อมทั้งหมด แต่หากเป็นเรื่องที่ เกี่ยวกับหน่วยงานอื่น ต้องให้หน่วยงานนั้นๆ เป็นผู้รับผิดชอบและดำเนินการ

เมื่อถามถึงการเตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัย วันโหวตนายกฯ ที่อาจมีมวลชนมาชุมนุมที่รัฐสภา นางพรพิศกล่าวว่า ทางสภามีศูนย์ ศปก. ร่วมกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของสภา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เตรียมทั้งด้านการข่าวและทุกๆ ด้านไว้พร้อมแล้ว

ป.ป.ช.รอตรวจสอบปมหุ้น‘พิธา’
นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดต นายกฯ พรรคก้าวไกล เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เมื่อปี 2562 แล้ว พบว่ากรณีการถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) นายพิธาแนบเอกสารคำสั่งศาลว่าเป็นผู้จัดการมรดกมาด้วย ซึ่งเป็นเอกสารประมาณปี 2550 กว่าๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารกับทางศาล แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบว่ามีสถานะอื่นด้วยหรือไม่ ส่วนความคืบหน้าการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหลังพ้นตำแหน่ง ส.ส. นั้น ขณะนี้นายพิธายังไม่ได้ยื่น แต่ยังคงเหลือกรอบเวลายื่นได้ถึงวันที่ 18 มิ.ย.

ผู้สื่อข่าวถามว่า คำสั่งศาลดังกล่าวมี น้ำหนักหรือไม่ ว่านายพิธาเป็นผู้จัดการมรดกโดยศาลสั่ง ไม่ได้เป็นผู้ที่ตั้งใจจะถือหุ้นไอทีวีมาตั้งแต่ต้น นายนิวัติไชยกล่าวว่า เรื่องเจตนาต้องไปดูกัน แต่ทรัพย์สินที่ยื่นมาไม่ว่าจะยื่นในนามส่วนตัวหรือในนามผู้จัดการมรดกเขาก็ยื่นมา และเป็นการยื่นตามกฎหมายป.ป.ช. ไม่เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็นส.ส. ส่วนจะเปิดเผยข้อมูลนี้ในการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินกรณีนายพิธาพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.หรือไม่นั้น ป.ป.ช.กำลังพิจารณาอยู่ แต่ยืนยันว่า ป.ป.ช.พร้อมให้ข้อมูลหาก กกต.ขอข้อมูลหลักฐานส่วนนี้ เข้ามา เพราะเป็นข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชนอยู่แล้ว

ต่อข้อถามว่า นายพิธาได้ยื่นข้อมูลต่อ ป.ป.ช.กว่า 4 ปี แล้ว เหตุใดยังสอบทานเอกสารกับศาลไม่แล้วเสร็จ นายนิวัติไชยกล่าวว่า ตอนนี้เอกสารที่ตรวจสอบกับศาล ทางศาลบอกว่าไม่ได้เก็บไว้แล้ว เราต้องพยายามหาเอกสารตัวนี้มาเพื่อยืนยันว่าเป็นเอกสารที่ศาลรับรองถูกต้องใช่หรือไม่ เอกสารที่ผู้ยื่นมาทุกอย่าง ป.ป.ช.จะต้องมีการตรวจสอบซ้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่เท่าที่รีเช็กไป ต่างยังอาจจะหาไม่เจอเพราะมันนานแล้ว ส่วนถ้าศาลบอกว่ากรณีการแต่งตั้งนายพิธาเป็นผู้จัดการมรดก ไม่ได้เก็บต้นเรื่องเอาไว้ ก็ต้องให้นายพิธาแนบเอกสารเพิ่มเติมเข้ามา

‘เอกชัย’บี้ยุบสองพรรค
เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานกกต. นายเอกชัย หงส์กังวาน นักเคลื่อนไหวทางการเมืองมายื่นหนังสือขอให้ กกต ตรวจสอบกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเอกสารเท็จกรณีรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อเดือนเม.ย.2566 ที่ระบุว่า มีการสอบถามว่า ไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่

นายเอกชัยกล่าวว่า รายงานการประชุมมีการตอบว่ามีการดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท แต่เมื่อไม่กี่วันมีสื่อมวลชนนำคลิปวิดีโอวันประชุมผู้ถือหุ้นมาเปิดเผย ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่ได้มีการตัดต่อ ปรากฏว่าบริษัทยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับสื่อ ตรงนี้เป็นการขัดกัน จะผิดต่อหลายกฎหมาย ซึ่งในคลิปการประชุมไม่ตรงกับรายงานการประชุมจึงอาจข้าข่ายผิด พ.ร.บ.บริษัทมหาชน และการที่นายเรืองไกรนำรายงานการประชุมที่เป็นเท็จมาแจ้งกับ กกต.อาจเข้าข่ายผิดพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 143

ส่วนกรณีนายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ที่ตั้งคำถามในที่ประชุมนั้นได้ทราบว่านายภาณุวัฒน์มีสายสัมพันธ์กับนายนิกม์ แสงศิรินาวิน อดีตผู้สมัครส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังในการใช้รายงานการประชุมเท็จนี้ให้นายเรืองไกรนำมาให้ กกต. นายนิกม์อาจจะเข้าข่ายใช้เอกสารเท็จ และนายภาณุวัฒน์อาจจะเข้าข่ายนิติกรรมอำพรางซ่อนอำพรางว่าถือหุ้นแต่ตัวจริงอาจจะยังเป็นนายนิกม์ถืออยู่ และอยากให้กกต.ตรวจสอบถ้ามีหลักฐานสาวตัวถึงสองพรรคนี้ก็อยากให้ส่งเรื่องนี้ให้ยุบ 2 พรรคนี้เลย

แห่ต้อนรับ – นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกฯ นำ 3 ว่าที่ส.ส.ขอบคุณชาวลำปาง โดยมีชาวลำปางแห่ต้อนรับ เนืองแน่นด้านหน้าวัดพระธาตุลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.

‘พิธา’ขอบคุณคนลำปาง-ลำพูน
วันเดียวกัน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล เดินสายขอบคุณประชาชนในจังหวัดภาคเหนือ ที่จ.ลำปาง และลำพูน โดยเวลา 09.30 น. เข้าสักการะพระธาตุลำปางหลวง ต.ลำปางหลวง อ.เกาะคา ท่ามกลางประชาชนที่มาต้อนรับจนเต็มพื้นที่ทั้งหน้าวัดและลานวัด

จากนั้นนายพิธาขึ้นเทวีปราศรัยที่บริเวณลานข้างวัด พร้อมว่าที่ ส.ส.ลำปาง พรรค ก้าวไกล ทั้ง 3 เขตว่า ขอบคุณชาวลำปาง ทุกคน สำหรับความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากการเลือกตั้งปี 2562 ส่งผลให้พรรค ก้าวไกลได้รับคะแนนกว่า 40% ตนไม่เคยมีความหวังกับบ้านเมืองของเราเท่ากับตอนนี้ ไม่ใช่เพราะความไร้เดียงสาทางการเมือง แต่เพราะประชาชนทุกคนที่ทำให้เราเห็นแล้วว่าถ้าเราร่วมมือกันอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่งานของพวกเรายังไม่จบ

วันนี้ครบรอบ 1 เดือนที่มีการเลือกตั้ง ขอให้คำสัญญาต่อหน้าพระธาตุลำปางหลวงว่าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ยังมีประชาชนอีกกว่า 60% ที่ไม่ได้เลือกพวกเรา แต่เราจะรับใช้ทุกคน โดยเฉพาะคนที่เลือกพรรคพันธมิตรของเราที่สนับสนุนให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คือพรรคเพื่อไทยอีกกว่า 30% และยังมีประชาชนอีกกว่า 20-30% ที่ไม่ได้เลือกพวกเรา ซึ่งเราขออาสาทำงานรับใช้ ทุกคนจนกว่าจะเข้าใจการทำงานของพวกเรา ขอให้อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะตนจะเป็นนายกฯ ที่รับใช้ทุกคนเท่าเทียมกันแน่นอน

ปลุกจับตาการเมือง-ถ้าเบื่อเขาชนะ
งานที่เราต้องทำยังมีอีกเยอะมาก สำหรับลำปาง ในฐานะที่เป็นเมืองผู้สูงอายุ เราต้องการ “เศรษฐกิจสีขาว” ที่จะมารองรับกับสังคมสูงวัย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผังเมือง การเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ ศูนย์ชราบาล การจ้างงานผู้สูงอายุโดยรัฐบาล ถ้าสร้างเศรษฐกิจสีขาว ที่ลำปางได้ ก็แก้ปัญหาสังคมสูงวัยทั้งประเทศไทยได้ ลำปางจะเป็นเมืองที่ผู้สูงอายุทั้งโลกต้องมาที่นี่ นอกจากนี้ยังมีงานอื่นๆ อีกมากที่ตนและส.ส.ทั้ง 3 คนต้องทำงานร่วมกัน ทั้งปัญหาที่ดิน น้ำประปา น้ำท่วม น้ำแล้ง ฝุ่น pm2.5 ไฟป่า ฯลฯ และพวกเราขอปวารณาตนเข้าไปแก้ปัญหาให้กับทุกคนให้สมกับทุกคะแนนที่เลือกเรามา

“ขอให้ทุกคนยังคงร่วมกันติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่เต็มไปด้วยอุปสรรคทำให้ทุกคนเบื่อหน่าย แต่ถ้าประชาชนเลิกติดตามการเมืองเมื่อไร ความหวังที่ประเทศนี้จะเปลี่ยนแปลงจบลงทันที ทุกคนเบื่อการเมืองเมื่อไรพวกเขาชนะทันที นี่คือกุศโลบายของ ผู้มีอำนาจ ทำให้การเมืองสกปรกที่สุด น่าเบื่อที่สุด ทำให้ทุกคนเลิกสนใจการเมือง แต่ถ้า ทุกคนเลิกติดตามตรวจสอบการเมืองเมื่อไรพวกเขาชนะทันที อย่าเบื่อการเมือง อย่ารอการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง มันจะคุ้มค่าแน่นอน” นายพิธากล่าว

เวลา 12.00 น. นายพิธาปราศรัยขอบคุณประชาชน ที่สวนสาธารณะ ห้าแยกหอนาฬิกา อ.เมือง จ.ลำปาง เวลา 16.30-17.00 น. สักการะพระธาตุ และพบปะทักทายพี่น้องประชาชน ที่วัดพระธาตุหริภุญชัย อ.เมือง จ.ลำพูน และเวลา 17.30 น. ปราศรัยขอบคุณพี่น้องประชาชน ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เชิงสะพานท่าขาม อ.เมือง จ.ลำพูน

แห่ต้อนรับ – นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกฯ นำ 3 ว่าที่ส.ส.ขอบคุณชาวลำปางที่บริเวณห้าแยกหอนาฬิกา อ.เมือง จ.ลำปาง โดยมีด้อมส้มแห่ต้อนรับเนืองแน่น เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.

มั่นใจตั้งรัฐบาลไม่สะดุด
นายพิธาให้สัมภาษณ์กรณีมีว่าที่ส.ส.พรรคก้าวไกล 7 คนที่ถูกร้องเรียนว่าทราบข้อเท็จจริงจากสื่อมวลชนว่ายังไม่รับรองส.ส.จาก กกต.ทั้งหมด 71 คน ในจำนวนนี้เป็นของพรรคก้าวไกล 7 คนยังไม่มีใครทราบเหตุผล เพราะสอบถามไปที่กกต.จังหวัดก็ยังไม่ทราบเหตุผลเช่นเดียวกัน ได้สอบถามเจ้าตัวไปยังไม่มีใครทราบว่าเรื่องอะไร ยังสับสนอยู่เล็กน้อย คงต้องรอให้เป็นกระบวนการของกกต.ว่าเกิดจากเรื่องใด ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีผลในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ไม่น่าจะมี เพราะเป็นฝั่งของพรรคร่วม 30 คน เป็นฝั่งที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล 41 คน ฝั่งของเราจำนวนไม่ได้เยอะ และหากแต่ละพื้นที่ได้ทราบถึงเหตุและผลเชื่อว่าจะชี้แจงได้ทุกกรณี ไม่น่ามีอะไรกังวลใจหรือทำให้การจัดตั้งรัฐบาลสะดุดได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้ครบรอบ 1 เดือนของการเลือกตั้งแล้ว อยากจะเรียกร้องอะไรไปทาง กกต.หรือไม่ นายพิธาตอบว่า ตนเป็นคนมีส่วนได้ส่วนเสีย หากดูจากประชาชนและเครือข่ายภาคประชาชนมีการแสดงให้เห็นเปรียบเทียบให้ดูกับประเทศตุรกีว่าเลือกตั้ง วันเดียวกันแต่ประเทศตุรกีทำงานแล้ว ของประเทศไทยยังมีระยะเวลาที่ต้องใช้เวลาอยู่ ซึ่งต้องอธิบายให้เข้าใจว่าระบบการปกครองของตุรกีกับประเทศไทยไม่เหมือนกัน อาจจะต้องใช้เวลานาน ก็ให้เวลากกต.ทำงานอย่างมีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด แต่ประชาชนคนไทยก็รอไม่ได้ เพราะต้องการให้มีรัฐบาลที่เริ่มทำงานได้ทันที

ส่วนตำแหน่งประธานสภายืนยันว่ามีความคืบหน้าไปพอสมควร แต่รอดูจังหวะเวลาว่าในช่วงที่เปิดสมัยประชุมและต้องเลือกประธานสภา จังหวะที่เหมาะสมต้องเป็นช่วงนั้น ผู้สื่อข่าวถามว่ายืนยันได้ว่าก้าวไกลจะไม่ทิ้งตำแหน่งนี้หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ให้รอฟังจังหวะที่เหมาะสม แต่เป็นการพูดคุยภายในของก้าวไกลกับเพื่อไทยและมีความคืบหน้าแน่นอน เมื่อถามว่ามีการมองว่าหากเป็นของพรรคเพื่อไทยจะทำให้การตั้งรัฐบาลของ ก้าวไกลยากขึ้นหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ตำแหน่งประธานสภาเป็นตำแหน่งที่สำคัญ แต่มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงความเป็นกลาง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาลอะไรเท่าไร

ไม่ยืนยันปมสละมรดก-โอนหุ้น
นายพิธากล่าวถึงกรณีหุ้นไอทีวีจะมีการฟ้องกลับใครหรือไม่ว่า คณะทำงานกฎหมายของพรรครวบรวมข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ปรากฏหรือไม่ปรากฏอยู่ในหน้าสื่อก็ตาม ที่มีผู้หวังดีส่งมาให้เรื่อยๆ ส่วนจะดำเนินคดีหรือไม่ยังไม่ได้เป็นปัจจัยตัดสินใจในตอนนี้ แต่มีการสะสมข้อมูลที่ไม่ชอบมาพากลอยู่เรื่อยๆ แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ย้ำว่าไม่กังวลใจเรื่องคดี ถ้าการตัดสินเป็นไปอย่างเที่ยงธรรมตามหลักฎีกา ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา และศาลอาญา มั่นใจว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน

ผู้สื่อข่าวถามว่านายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเอกสาร หลักฐานเพิ่มเติมกับกกต.ว่า เป็นการโอนหุ้น ไม่ได้สละมรดก นายพิธากล่าวว่า ข้อเท็จจริงต้องแยกกัน โอนก็คือโอน สละก็คือสละ และตามที่เคยให้สัมภาษณ์ไปว่าไม่ใช่เป็นการขายหุ้น แต่เป็นการโอนหุ้น ส่วนเรื่องมรดกขอให้รอฟังอีกครั้ง ต่อข้อถามว่า ในฐานะทายาทยืนยันว่าเป็นการสละมรดกส่วนนี้หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ไม่ยืนยัน แต่ต้องไปพูดคุยกันอีกครั้ง เพราะการสละมรดกกับการโอนเป็นคนละเรื่องกัน แต่ที่ยืนยันได้คือการโอนหรือการถือหุ้นไอทีวีทำในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ใช่ทำในนามส่วนตัว

ส่วนกรณีที่นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการป.ป.ช.ระบุว่าได้ยื่นเอกสารต่อ ป.ป.ช.โดยแนบเอกสารคำสั่งศาลว่าเป็น ผู้จัดการมรดกมา นายพิธากล่าวว่า ตนยื่นเอกสารแล้วตามที่เลขาฯ ป.ป.ช.ระบุ ผู้สื่อข่าวถามว่าเลขาฯ ป.ป.ช.บอกว่าตรวจสอบเอกสารไปที่ศาล แต่ศาลไม่มีต้นขั้วอยู่แล้ว นายพิธามีต้นขั้วหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เป็นเอกสารที่แต่งตั้งให้ตนเป็นผู้จัดการมรดกตั้งแต่ปี 2550 ตอนนี้ล่วงเลยมา 16-17 ปีแล้ว อาจจะไม่มีเอกสารตรงนั้น แต่ถึงเวลาถ้าเป็นเอกสารที่ต้องพูดคุยกันก็รอให้กกต.ขอมาก่อนดีกว่า ค่อยไปตอบกันในเรื่องนั้น

เมื่อถามว่าอยากสร้างขวัญและกำลังใจประชาชนอย่างไรได้บ้างเพราะอาจมีอำนาจบางอย่าง นายพิธากล่าวว่า ประเทศเราควร ขับเคลื่อนด้วยความหวัง ไม่ใช่ความกลัว แน่นอนว่าอาจมีเกมการเมืองหลายเรื่องที่อาจทำให้รู้สึกเบื่อ กังวลใจ หรือกลัว ถ้าหากรู้สึกตามเมื่อไรจะแพ้ทันที ฉะนั้น เราต้องมีความหวังอยู่ตลอดเวลาว่าทุกอย่างเป็นไปได้ในประเทศไทย

‘ปดิพัทธ์’ตอก‘วิษณุ’3ประเด็น
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล กล่าวกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุหาก แคนดิเดตนายกฯคนใดอยู่ระหว่างถูกฟ้องร้องมีคดีความ และมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ถ้าศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะไม่สามารถเสนอชื่อผู้นั้นเป็นนายกฯได้ว่า ตนขอชี้แจง 3 ประเด็น เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไร

ประเด็นที่ 1 หากมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพของผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ว่าสิ้นสมาชิกภาพไปแล้วหรือไม่ สำหรับพรรคก้าวไกล ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ คือ นายพิธา ที่ปัจจุบันกำลังถูกบรรดานักร้องทางการเมือง ร้องเรียนกรณีการถือหุ้นไอทีวี เข้าข่ายถือหุ้นสื่อ เป็นลักษณะต้องห้ามในการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3)

หากเรื่องนี้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ และศาลเห็นควรให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมี คำวินิจฉัย ก็เป็นการหยุดปฏิบัติหน้าที่ในการเป็นส.ส.เท่านั้น แต่โดยคุณสมบัตินายพิธา ยังเป็นแคนดิเดตนายกฯได้ตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นคนละตำแหน่งและคนละกรณี จึงย่อมไม่ส่งผลทางกฎหมายต่อการเสนอชื่อนายพิธาต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ แต่งตั้งเป็นนายกฯ

ส่วนกรณีเคยเกิดขึ้นแล้วกับนายธนาธรเมื่อปี 2562 ครั้งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขณะนั้นศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2562 และมีการอ่านคำสั่งในวันแรกของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติเลือกประธานและรองประธานสภา เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2562 ต่อมามีการนัดประชุมรัฐสภาในวันที่ 5 มิ.ย.2562 เพื่อลงมติเลือกนายกฯ

ขณะนั้นมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายธนาธร ในฐานะแคนดิเดต นายกฯ ซึ่งไม่ได้มีปัญหาทางกฎหมายใดๆ โดยผลการลงมติของรัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ชนะจนได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ดังนั้น ที่นายวิษณุกล่าวว่ากรณีนายธนาธร “โหวตเลือกนายกฯ ไปแล้ว 2 วัน จึงถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ 2 สมัย” นั้น น่าจะเป็นการจดจำช่วงเวลาคลาดเคลื่อน

ยื่นตรวจสอบข้ามสภาไม่ได้
ประเด็นที่ 2 กรณีการเข้าชื่อตรวจสอบสมาชิกภาพ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ที่นายวิษณุระบุว่า “ถ้าฝั่ง ส.ว. จะยื่นก็ใช้ 25 คน” นั้น เมื่อกลับไปดูมาตราดังกล่าว เห็นได้ชัดเจนว่ากำหนดให้ ส.ส. หรือ ส.ว. จํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ ‘แต่ละสภา’ มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่ง ‘แห่งสภานั้น’ สิ้นสุดลง

หมายความว่า ให้สมาชิกของแต่ละสภาสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกของสภาเดียวกัน เช่น ส.ส. เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ส. หรือ ส.ว. เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ว. จึงไม่ได้หมายความว่าให้ ส.ส. เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ว. หรือ ส.ว. เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ส. ตามที่นายวิษณุระบุ ดังนั้น เมื่อนายพิธาเป็น ส.ส. จะให้ ส.ว. เข้าชื่อเพื่อมาตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายพิธา ที่เป็น ส.ส. ตามที่วิษณุกล่าว ก็ดูเป็นความเข้าใจรัฐธรรมนูญผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป

ประเด็นที่ 3 ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวว่า กรณีผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ มีขั้นตอนกฎหมายใดที่ขัดขวางไม่ให้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ หรือไม่ และนายวิษณุระบุว่า “ปกติการแต่งตั้งตำแหน่งใดก็ตาม เป็นพระราชอำนาจ กรณีแต่งตั้งข้าราชการประจำ ผู้พิพากษาอัยการอธิบดี หรือแม้แต่ขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ได้มีข้อตกลงกับสำนักพระราชวังมา 2-3 ปีแล้วว่าให้เข้มงวดกวดขัน ถ้ามี ก็ให้กราบบังคมทูลขึ้นไปว่า มีเหตุแบบนี้อยู่ แล้วจะโปรดเกล้าฯ อย่างไร ก็แล้วแต่” โดยในกรณีโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายกฯ ผู้รับผิดชอบคือประธานสภา ในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ถ้านั่งปธ.สภาพร้อมรับผิดชอบ
การให้ความเห็นของนายวิษณุแบบนี้ แม้เป็นความพยายามอธิบายกระบวนการที่ทำกันมา แต่ต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งอื่นๆ ที่ยกตัวอย่างคือข้าราชการประจำ ต่างจากตำแหน่งนายกฯที่เป็นฝ่ายการเมืองโดยแท้และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน การยกมาเปรียบเทียบแบบนี้ จะกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และกระทบต่อพระราชสถานะทรงดำรงความเป็นกลางทางการเมืองและศูนย์รวมจิตใจ ในเมื่อประธานสภาในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เป็นผู้มีอำนาจและต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว นายวิษณุก็ไม่ควรอ้างถึงพระมหากษัตริย์ ถ้าตนเป็นประธานสภา ตนพร้อมรับผิดชอบ

ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านรัฐบาล รัฐบาลเดิมควรส่งมอบงานให้ว่าที่รัฐบาลใหม่ ตนพูด เช่นนี้ไม่ได้ต้องการละลาบละล้วงหรือล่วงเกินใคร แต่ต้องการร่วมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ที่ผู้ได้รับมอบความไว้วางใจจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง จะได้รับส่งมอบงานเพื่อเตรียมความพร้อมเป็นรัฐบาล ทำงานรับใช้ประชาชนต่อไป

ส่วนการให้ความเห็นของอาจารย์วิษณุ ไม่ทราบว่าให้ความเห็นในฐานะอะไร ถ้าในฐานะรองนายฯ คงจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ในการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเท่าใดนัก เพราะประชาชนจะวิจารณ์ได้ว่ากำลังชี้นำใครหรือองค์กรใดอยู่หรือไม่ แต่ถ้าพูดในฐานะนักวิชาการ อดีตอาจารย์สอนกฎหมาย คงห้ามปรามกันไม่ได้ เพราะเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนคนหนึ่ง

“ผมมั่นใจว่าจะไม่มีใครหรือองค์กรใด สามารถขัดขวางเจตจำนงของประชาชนที่มอบความไว้วางใจให้พรรคการเมืองทั้ง 8 พรรคกว่า 27 ล้านเสียง ซึ่งจะเป็นพลังให้ มุ่งหน้าสู่การจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนจนสำเร็จ เพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยและเพื่อส่งมอบนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของ พี่น้องประชาชนทุกคน” นายปดิพัทธ์ กล่าว

‘วิษณุ’แนะดูคำร้อง-คำสั่งศาล
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ที่มีคนออกมาโต้แย้งเรื่องคุณสมบัตินายพิธาว่า ถ้าเป็นไปตามข่าวถือเป็นการโต้แย้งที่ถูกต้องแล้ว เพราะการฟ้องร้องตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ศาลจะสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ เนื่องจากเป็นการฟ้องศาลอาญา แต่ศาลที่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ได้คือศาลรัฐธรรมนูญ และการจะสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นเริ่มทำหน้าที่

กรณีของนายพิธา ถ้าได้รับรองเป็นส.ส.ก็สามารถเข้าปฏิญาณตนในฐานะส.ส.ได้ แต่ถ้ามีคนไปยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส. ศาลสามารถสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นส.ส.ได้ ยกเว้นในคำร้องจะขอให้ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมด แล้วศาลสั่งให้หยุดทั้งหมด จะทำให้เสนอชื่อบุคคลที่ถูกร้องชิงตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้

หากเสนอชื่อไปแล้วไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ประธานสภาจะนำความขึ้นกราบ บังคมทูล ว่าอย่างไร และหากโปรดเกล้าฯ การแต่งตั้งรัฐมนตรี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการคือนายกฯ กระบวนการทั้งหมดจะไล่เรียงตามที่กล่าวมา ถึงเวลานั้นยังไม่รู้ว่าศาลจะสั่งอย่างไร จึงไม่อยากพูดอะไรที่เป็นการชี้ช่อง แต่ขอย้ำว่าทั้งหมดอยู่ที่คำร้องของผู้ยื่นร้องและคำสั่งของศาล

ผู้สื่อข่าวถามว่าสุดท้ายเรื่องจะกลับมาอยู่ที่ดุลพินิจของประธานสภา นายวิษณุกล่าวว่า ประธานสภาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการจัดการเรื่องนี้ เพราะผู้ลงนามเพียงคนเดียวในการนำความขึ้นกราบบังคมทูล และเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ ผู้ทำหน้าที่ประธานสภาต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะต้องเป็นผู้ที่ รับผิดชอบ ถ้าบุคคลที่ถูกร้องไม่ได้รับการโหวตเลือกจากสภาชื่อตกไปก็แล้วไป แต่ถ้าสภาโหวตเลือกเป็นนายกฯ ผู้เป็นประธานสภาต้องคิดหนัก และส.ส. ส.ว. ที่ร่วมโหวตบุคคลที่ถูกยื่นร้องอาจต้องมีส่วนรับผิดชอบในทางการเมือง

แรงงานร้อง – นายเซีย จำปาทอง ว่าที่ส.ส.พรรคก้าวไกล นำกลุ่มลูกจ้างบริษัท แอลฟ่า สปินนิ่ง ในจ.สมุทรปราการ 60 คน เข้าร้องเรียนนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้บังคับใช้กฎหมายกับผู้บริหารบริษัทที่สั่งลดค่าจ้าง 50% และค้างจ่ายค่าจ้างตั้งแต่เดือนเม.ย. ที่กระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.

ส.ว.เข้าชื่อสอบสเป๊กส.ส.ได้
ต่อข้อถามว่าแสดงว่าศาลมีอำนาจสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะกรณีดำรงตำแหน่ง ส.ส. นายกฯ โดยไม่ครอบคลุมผู้มีชื่อเป็นแคนดิเดต นายกฯ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่กล้าตอบเพราะเราไม่มีตัวอย่าง ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะสั่งหรือไม่สั่งก็ได้ โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 จะเป็นกรณีพิจารณาตำแหน่งส.ส. ส.ว. รัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้มีกรณีนาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สมัยเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.เท่านั้น จึงสามารถชิงตำแหน่งนายกฯ ได้ ต่างจากกรณีของนายพิธา นายวิษณุกล่าวว่า ไม่เคยมีกรณีการยื่นร้องให้หยุดทำหน้าที่ ผู้ชิงตำแหน่งนายกฯ มาก่อน เมื่อถามว่าถ้าจะยื่นร้องควรให้มีการรับรองนายพิธา เป็นส.ส.ก่อน นายวิษณุกล่าวย้ำว่า “ผมไม่พูด ชี้ช่อง ถ้าผมตอบสื่อตรงนี้ถือว่าผมชี้ช่อง”

ต่อข้อถามว่าในการโหวตนายกฯ หากผู้ถูกเสนอชื่อไม่มีใครได้เสียงรับรองเกิน 376 เสียง ของทั้งสองสภา ต้องค้างขั้นตอนนี้ไว้ก่อนใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ถูกแล้ว ถ้าพูดตอนนี้จะถูกหาว่าชี้ช่องให้รัฐบาลปัจจุบันอยู่ต่อไปอีกยาว จึงอยากให้ช่วยกันทำให้เสร็จโดยเร็ว ถ้าวันนี้ยังเลือกนายกฯ ไม่ได้ พรุ่งนี้ก็เลือกใหม่

เมื่อถามว่ามองว่า กกต.จะใช้อำนาจตามมาตรา 151 ฟ้องนายพิธา ต้องมีต้นเหตุมาก่อนหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มีหรือไม่มี ไม่รู้ แต่กกต.จะฟ้องตามอำนาจมาตรา 151 แต่ขอไม่ตอบเพราะรู้ว่าสื่อคิดอะไร ส่วนกรณีที่มีผู้ระบุว่า ส.ว.ไม่สามารถเข้าชื่อตามธรรมนูญมาตรา 82 เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของ ส.ส.ได้ นายวิษณุกล่าวว่า ส.ว.สามารถลงชื่อตามมาตรา 82 เพื่อขอตรวจสอบส.ส. และส.ว.ได้ เนื่องจากไม่ได้มีบทเฉพาะกาลใด เพียงแต่ให้เข้าชื่อรวมจำนวนกันให้ได้ 1 ใน 10 แต่ยังไม่ถึงที่สุดเพราะยังมีขั้นตอนอีกหลายด่าน

‘เศรษฐา’ย้ำนักลงทุนขอตั้งรบ.ไว
เมื่อเวลา 13.20 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่นักลงทุนต่างชาติกังวลสถานการณ์การเมืองไทยว่า ตนได้พบปะและพูดคุยกับนักลงทุนเป็นประจำ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.บริษัทหลักทรัพย์มีการจัดสัมมนาออนไลน์ มีนักลงทุนเข้าร่วมประมาณ 85-170 คน สิ่งที่เขาห่วงใยมากที่สุดคือประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงมี สิ่งดีๆ อยู่เยอะมาก แต่ความไม่แน่นอนของรัฐบาลรักษาการทำให้การลงทุนหยุดชะงัก เขาอยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว ตนในฐานะที่ทำงานกับพรรคเพื่อไทยได้แถลงถึงเจตจำนงชัดเจนว่าจุดยืนของพรรคอยากให้พรรค การเมืองที่ไปทำเอ็มโอยูสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว และอยากให้นายพิธาเป็นนายกฯ น่าจะได้ช่วยผ่อนคลายปัญหาไปได้เยอะ

ผู้สื่อข่าวถามว่าการตั้งรัฐบาลยังไม่มีความคืบหน้าจะส่งผลกระทบกับการลงทุนหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ก็เหนื่อย เพราะมีปัจจัยเยอะ ตัวแปรเปลี่ยนตลอด เป็นที่น่ากังวลของนักลงทุน หากมีการตั้งรัฐบาลได้โดยเร็วคงไม่มีแนวโน้มที่นักลงทุนจะย้ายฐานการผลิต แต่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ด้วย เชื่อว่ารัฐบาลใหม่น่าจะสนับสนุนการลงทุนในประเทศไทยเยอะ ส่วนการเดินสายพบนักธุรกิจของ นายพิธาจะเป็นส่วนหนึ่งในความมั่นใจว่ารัฐบาลใหม่พร้อมเข้ามาสานต่อเรื่องการลงทุน ทำให้เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลได้น่าจะสามารถดึงดูดความสนใจให้มีการกลับมาลงทุนในประเทศไทยได้อีกครั้ง

เมื่อถามว่ากังวลสถานการณ์การเมือง ขณะนี้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า อย่าใช้ คำว่าเป็นห่วง แต่อยากให้ใช้คำว่าเดินหน้าโดยเร็วมากกว่า วันนี้ตนมาเจอหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเพื่อเรียนให้ทราบว่าเราทำอะไรไปแล้วบ้าง สัปดาห์หน้าตนจะลงพื้นที่ไปพูดคุยกับผู้ประกอบการรายย่อยในจังหวัดที่เรามีตัวแทนส.ส.อยู่ เพื่อดูว่าความต้องการของเขาคืออะไร

“อยากลงพื้นที่จ.น่าน แต่อยู่ระหว่างวางกำหนดการว่าจะไปเมื่อไร ต้องการเข้าไปดูไร่โกโก้และไร่กาแฟของชาวบ้านในพื้นที่ ยืนยันว่าไม่ได้ลงพื้นที่หาเสียงแข่งกับนายพิธา แต่ต้องการไปดูปัญหาและกลับมาพูดคุย กับส.ส.ในพื้นที่ และช่วยเหลือได้จริงๆ รวมทั้งเป็นการเตรียมตัวในการเลือกตั้งอีก 4 ปีข้างหน้าเพื่อให้พรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นที่ 1 อีกครั้ง” นายเศรษฐากล่าว

‘อิ๊ง’ให้กำลังใจ‘ทิม’-ไม่พลิกขั้ว
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เบรกนั่งเก้าอี้นายกฯ ว่า ไม่ใช่เรื่องที่ทางครอบครัวเบรก แต่เป็นเรื่องที่คุณแม่พูดถึงลูกสาวคนเล็ก ท่านคงภูมิใจที่ตนมาอยู่ในจุดนี้แต่ลึกๆ คงเห็นว่าตนมีความเป็นเด็ก ซึ่งเป็นแค่ในความรู้สึก แต่ในความเป็นจริงเรารู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เด็ก เรื่องที่คุณแม่เป็นห่วงเราก็เข้าใจอยู่แล้วและ ไม่ได้โกรธ คุณแม่เป็นห่วงตั้งแต่ตนตั้งท้องและลงพื้นที่ ต้องพูดตลอดว่าตนโอเค หาหมอแล้ว ย้ำว่าไม่ได้มีมิติอื่นจริงๆ

ต่อข้อถามว่าพร้อมเป็นนายกฯ หรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า “ถ้าไม่พร้อมอิ๊งคงไม่ให้ชื่อตัวเองไปลง ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ก้าวมาอยู่จุดนี้ อิ๊งรู้สึกว่าถ้าเราไม่พร้อมต้องบอกคนในพรรคว่าเราไม่พร้อม” ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้นายพิธามีคดีจำนวนมาก น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เพื่อไทยเคยผ่านกระบวนการถูกยุบพรรคมาแล้วถึง 2 ครั้ง จึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหนักแน่นในประชาธิปไตย เคารพเสียงของประชาชน กระบวนการยุติธรรมต่างๆ ขอให้พิจารณาตามข้อมูลหลักฐานขอส่งกำลังใจให้นายพิธาด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากปมหุ้นของนายพิธา ส่งผลกระทบกับการเลือกนายกฯ การตั้งรัฐบาลยังเป็นฝ่ายประชาธิปไตยใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า แน่นอน ฝ่ายประชาธิปไตยต้องจับมือกันให้แน่น ขอปฏิเสธกระแสข่าวการพลิกขั้วในช่วงที่ผ่านมา เราไม่มีแผนที่จะพลิกขั้วใดๆ ทั้งสิ้น งงข่าว ดีลลับที่ออกมาจำนวนมาก คงลับมากเพราะตนไม่รู้เรื่อง ซึ่งมันไม่ใช่ อยากให้หนักแน่นไว้ พรรคเพื่อไทยคุยกับพรรคก้าวไกลไว้อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ส่วนกระแสข่าวโผรัฐมนตรีต่างๆ ที่มีชื่อน.ส.แพทองธารด้วย น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ตนเห็นโผออกมาหลายครั้ง ขอบคุณสำหรับทุกตำแหน่งแต่ไม่ใช่เลย ยังไม่ทราบเลย เมื่อถามว่าหากจัดตั้งรัฐบาลจะเข้าไปรับตำแหน่งฝ่ายบริหารหรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ขอรอดูก่อน และต้องรอดูผู้มีประสบการณ์หลายท่านที่ต้องตกลงกัน รวมถึงต้องพูดคุยกับพรรคร่วมด้วย

ห่วงพ่อ – น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย เปิดใจที่พรรคเพื่อไทย เป็นห่วงนายทักษิณ ชินวัตร บิดา ที่ล่าสุดยังยืนยันกลับประเทศไทยเดือนก.ค.นี้ พร้อมกับย้ำอีกครั้งสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกฯ ไม่แยกขั้วจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.

ยัน‘โทนี่’ยังกลับไทยก.ค.นี้
ส่วนกระแสข่าวครอบครัวชินวัตรเบรกนายทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทยน.ส.แพทองธารกล่าวว่า จริงๆ แล้วไม่มีมิติทางการเมืองอะไรเลย มีแต่มิติทางครอบครัว หากซีเรียสขนาดนั้นคงไม่นัดกันทานข้าวนอกบ้าน คงคุยกันที่บ้านแล้วจบได้ คิดว่าเป็นแค่ความห่วงใยของคุณแม่ ซึ่งเป็นห่วงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะห่วงเรื่องของตน ท่านพูดในฐานะแม่ของลูกสาวคนเล็ก ไม่ได้พูดในฐานะแม่ของแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ย้ำว่าไม่มีมิติทางการเมืองด้านอื่นจริงๆ ข่าวมีการวิเคราะห์ไปมากมาย

ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังอยากให้นายทักษิณกลับมาหรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า “อยากให้กลับอยู่แล้ว แต่อิ๊งอยากให้คุณพ่อเป็นคนตัดสินใจเองว่าอยากกลับมาตอนไหน อย่างไร ท่านอยากกลับมาเลี้ยงหลาน ยิ่งตอนนี้เพิ่งจะมีหลานคนที่ 7 ยิ่งอยากกลับ แต่ให้ท่านตัดสินใจเองดีกว่า”

ต่อข้อถามว่านายทักษิณยังยืนยันว่าจะกลับเดือนก.ค.นี้ใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า คุยล่าสุดยังเป็นเช่นนั้น พวกตนถามว่าได้ดูสถานการณ์ทางการเมืองหรือไม่ ท่านตอบว่าดูอยู่แล้ว ท่านไม่อยากกลับมาแล้วเป็นความวุ่นวาย คุณพ่อมีความสำคัญทางการเมือง หากจะกลับมาต้องดูเรื่องความเหมาะสม เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเลื่อนกลับ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า “ไม่ค่ะ ตอนนี้ยังไม่มี แต่ที่พูดหมายความว่าเราต้องดูใกล้ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นี่อิ๊งคิดแทนนะ คุณพ่อไม่ได้พูด เรื่องวันที่ เขาบอกจะให้อิ๊งประกาศ เขาก็ยังไม่ได้บอกว่าจะเลื่อน”

ส่วนกระแสข่าวครอบครัวไม่อยากให้กลับมาเพราะกลัวถูกหลอกหมายถึงอะไร น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ไม่มีอะไรเลย คำว่าถูกหลอกคืออะไร ตลอดเวลาที่พ่อไม่อยู่ 17 ปีแน่นอนมีข้อมูลข่าวสารที่ท่านได้รับ ซึ่งถูกบ้าง ผิดบ้าง ไม่คิดว่าใครจะมาหลอกเราหรืออะไรเป็นพิเศษ เป็นสิ่งที่ครอบครัวคุยกันว่าอยากให้ดูข้อมูลให้ดี ให้คิดให้ดี เป็นความห่วงใยที่เตือนสติกัน

ตม.พร้อมรับ‘ทักษิณ’
เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. กล่าวถึงกระแสข่าวการกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกฯ ว่า หากจะกลับเข้ามา ทาง สตม.ต้อง เตรียมการ เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ และเพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ยืนยันว่าปัจจุบันยังไม่ได้รับการประสานในเรื่องดังกล่าว ทราบข้อมูลผ่านทางสื่อมวลชนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในส่วนแนวทางการปฏิบัติหากกลับเข้าประเทศไทยจริงๆ ยืนยันต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่มีแนวทางวางเอาไว้เหมือนผู้ต้องหาตามหมายจับทั่วไป หาก สตม.ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน อาจเป็นที่ครหาของสังคมได้

ฟัน‘สุวิจักขณ์’ทุจริตนาฬิกาสภา
เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้พิจารณากรณีไต่สวน เรื่อง โครงการการจัดซื้อนาฬิกาติดรอบอาคารรัฐสภา มูลค่า 15,422,845 บาท เมื่อครั้งนายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เมื่อปี 2556 โดยมีนายสุวิจักขณ์ กับพวกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับบริษัทเอกชนในการกำหนดสเป๊ก รายละเอียด ราคากลาง โดยมีเจ้าหน้าที่สภาเข้าไปร่วมในการดำเนินการ เพื่อกำหนดล็อกสเป๊กนาฬิกายี่ห้อ BODET ของบริษัท อีควิพเม้นท์ จำกัด ให้เป็นผู้ชนะและเป็นผู้มีสิทธิ์ทำสัญญากับรัฐสภา ทั้งที่วัตถุประสงค์การจดจัดตั้งบริษัทไม่ได้มีเรื่องจำหน่าย และติดตั้งระบบนาฬิกา

นอกจากนี้ ยังมีการปลอมหนังสือรับรองผลงาน และสัญญาจ้างที่ใช้ประกอบการเสนอราคา จนกระทั่งมีการอนุมัติลงนามในสัญญา อีกทั้งในขั้นตอนการส่งมอบงานให้รัฐสภานั้น ทางบริษัท อีควิพเม้นท์ จำกัด ไม่ได้สั่งนาฬิกาเข้ามาจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายโดยตรง แต่สั่งจากบริษัท พรีเซียสไทม์ เทรดดิ้ง ซึ่งเป็นผู้แข่งขันอีกราย ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วจึงมีมติชี้มูลความผิด นายสุวิจักขณ์กับพวก มีโทษทั้งวินัยและอาญา แต่ปัจจุบันนายสุวิจักขณ์ได้พ้นจากการดำรงตำแหน่งแล้ว จึงพ้นวินัย ส่วนโทษทางอาญานั้น ป.ป.ช.จะส่งสำนวนไปยังอัยการเพื่อส่งฟ้องศาลอาญาทุจริตต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน