เหยื่อสาวไทย รวบ5-ล่าอีก6

ตร.ไซเบอร์บุกจับ 5 ผู้ต้องหาเครือข่ายโรแมนซ์สแกม มีทั้งหนุ่มไนจีเรีย ไอวอรีโคสต์ และสาวไทย หลังปูพรมตรวจค้น 4 จุดในพื้นที่กทม. ยึดของกลางอื้อ แฉสร้างโปรไฟล์เฟซบุ๊ก หลอกเหยื่อโอนเงิน เน้นเหยื่อหญิงสูงอายุ ฐานะทางการเงินดี อ้างเป็นแพทย์ทหารสหรัฐ และสหราชอาณาจักร เกษียณอายุมีเงินพันล้าน อยากย้ายมาอยู่ไทย แต่ถูกจับเป็นตัวประกัน ไม่สามารถถอนเงินในบัญชีเป็นค่าไถ่ได้ สาวไทยตกเป็นเหยื่อคนเดียวโอนเงินให้ 30 ล้าน เผยแค่ 2 เดือนมีเหยื่อ 50 ราย สูญเงิน 300 ล้านบาท แจ้ง 3 ข้อหาหนัก เตรียมล่าอีก 6 คน

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2 แถลงผลปฏิบัติการระดมปิดล้อมตรวจค้น 4 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทลายเครือข่ายแก๊งเรดเลเบิ้ล โรแมนซ์สแกม เพื่อตามจับบุคคลตามหมายจับ 11 ราย

โดยจุดที่น่าสนใจคือ การเข้าตรวจค้นห้องพักเลขที่ C 407 ชั้น 4 เจอาร์ แมนชั่น ซอยอ่อนนุช 25 จับกุมนายเอ็มบีมา โฟฟาน่า อายุ 30 ปี สัญชาติโกตดิวัวร์ หรือไอวอรี โคสต์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 23 มิ.ย. ในฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน พร้อมของกลางเงินสดจำนวนหนึ่ง ซิมโทรศัพท์ เอกสารการโอนเงินไปยังต่างประเทศจำนวนมาก

นอกจากนี้จากการตรวจสอบหนังสือ เดินทาง พบว่าเดินทางเข้ามาโดยใช้วีซ่านักเรียน, นักศึกษา โดยระบุมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งส่วนนี้ต้องประสานกับทาง สตม.และสถานศึกษาว่าเข้ามาเรียนและใช้วีซ่าผิดประเภทหรือไม่

สำหรับภาพรวมในจุดอื่นๆ ที่ตรวจค้น สามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้อีก 2 ราย ประกอบด้วย นายไบรต์ ชิซัม เอ็นเมเรม อายุ 30 ปี ชาวไนจีเรีย ได้ที่คอนโดฯ แห่งหนึ่ง ย่านเพชรเกษม 39 และนางอังคณา คาห์น สาวไทย อายุ 33 ปี ได้ที่ย่านพระรามสาม พร้อมของกลาง นาฬิกาหรูหลายรายการ อาทิ ยี่ห้อโรเล็กซ์ ปาเต๊ะ นอกจากนี้ยังมีทองคำรูปพรรณ ทองคำแท่ง กระเป๋าแบรนด์เนมจำนวนมาก สมุดบัญชีธนาคาร และโทรศัพท์มือถือ

แสร้งรัก – ตำรวจไซเบอร์บุกทลายเครือข่ายแก๊งเรดเลเบิ้ล โรแมนซ์สแกม หลอกหญิงไทยให้หลงรักแล้วลวงโอนเงินกว่า 300 ล้านบาท โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 ราย จากการตรวจค้น 4 จุดในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.

การปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการทลายเครือข่ายโรแมนซ์สแกมที่ออกอุบายหลอกผู้เสียหายให้หลงรัก จากนั้นให้โอนเงิน จากแนวทางสืบสวนพบว่ามีการแบ่งงานกันทำ โดยจะมีกลุ่มสร้างโปรไฟล์ปลอมหลอกเหยื่อ, กลุ่มบัญชีหน้าม้า มีหน้าที่เปิดบัญชี บัตรอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงซิมโทรศัพท์ ให้กับกลุ่มคนร้ายใช้ในการรับ-โอนเงินของ ผู้เสียหาย, กลุ่มหน้าม้ากดเงินและควบคุม การโอนเงินเพื่ออําพรางเส้นทางการเงิน และกลุ่มจัดการทางการเงิน หรือโพยก๊วน แลกเปลี่ยนเงิน

พล.ต.ท.วรวัฒน์กล่าวว่า การปฏิบัติการ ครั้งนี้สามารถจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการได้ ทั้งสิ้น 5 ราย สำหรับพฤติการณ์การก่อเหตุของขบวนการนี้ จะใช้วิธีการเดิมๆ ในการสร้างโปรไฟล์เฟซบุ๊กปลอมและหาภาพถ่ายฝรั่งผิวขาว หน้าตาดีมาสร้างโปรไฟล์ว่าเป็นแพทย์ทหารของประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา หรือสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่าจะเกษียณอายุราชการทหาร และมีทรัพย์สินเป็นพันล้านบาท และอยากย้ายมาใช้ชีวิตบั้นปลายในประเทศไทย โดยจะเลือกเหยื่อเป็นหญิงสูงอายุที่มีฐานะทางการเงินดี เมื่อเริ่มตีสนิท และเหยื่อเริ่มหลงเชื่อก็จะเริ่มหลอกลวง เช่น อ้างถูกจับเป็นตัวประกันและไม่สามารถถอนเงินในบัญชีเพื่อ จ่ายเงินค่าไถ่ได้ หรือต้องการเดินทางมาประเทศไทย แต่ติดปัญหาเรื่องการเดินทาง

จากข้อมูลพบว่ามีผู้เสียหายชาวไทยที่ถูกขบวนการนี้หลอกลวงมากกว่า 50 ราย จำนวนนี้มี 3 รายที่เข้าให้ปากคำกับทางตำรวจ โดยหนึ่งในผู้เสียหายให้ข้อมูลกับตำรวจ สอท.ว่ามีการโอนเงินให้ถึง 30 ล้านบาท จากที่ได้ข้อมูลมาจากบุตรสาวของผู้เสียหายทราบว่ามารดาเพิ่งพูดคุยกับทางคนร้ายได้เพียง 2-3 วันก็มีการโอนเงินให้ จากการตรวจสอบในขบวนการดังกล่าว ทำให้ทราบว่าหลังจากคนร้ายได้เงินจากทางผู้เสียหายแล้ว ก็จะดำเนินการโอนส่งต่อไปยังบัญชีต่างๆ เพื่ออำพรางเส้นทางการเงิน ก่อนไปรวมที่บัญชีของ น.ส.อังคณา ผู้ร่วมขบวนการคนไทย จากนั้นเงินจะถูกแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล ผ่านบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงิน และแปลงกลับเป็นสกุลเงินไนจีเรีย โอนเข้าบัญชีผู้ต้องหาคนดำปลายทางในไนจีเรีย โดยใช้ระยะเวลา ไม่เกิน 10 นาทีในการดำเนินการต่างๆ

จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้ข้อมูลว่าจะมีการคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อดำเนินการโอนก็จะสามารถทำให้ถอนเงินบัญชีปลายทางในประเทศไนจีเรียได้ทันที และจากการสอบปากคำเบื้องต้น ทำให้เชื่อว่ามีการโอนเงินออกนอกประเทศไปแล้วมากกว่า 100 ล้านบาท

ด้าน พล.ต.ต.อำนาจกล่าวว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ตั้งแต่ในช่วงเดือนเม.ย. จนถึงปัจจุบัน ระยะเวลาเพียง 2 เดือน พบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชี น.ส.อังคณากว่า 300 ล้านบาท โดยผู้ต้องหาชาวต่างชาติทั้งสองรายให้ข้อมูลกับทางตำรวจว่าจะได้ส่วนแบ่งจากการหลอกลวงผู้เสียหายคิดเป็นเงินไทยที่อัตรา 1,000 บาท ต่อ 1 บาท ส่วนผู้ร่วมขบวนการชาวไทยที่ทำหน้าที่เปิดบัญชีรับโอนและแลกเปลี่ยนเงินจะได้ส่วนแบ่งที่ 5-7% ต่อยอดการหลอกลวงผู้เสียหาย และตัว น.ส.อังคณาก็ยังได้ค่าดำเนินการในการจัดหาคนต่างชาติผิวสีเข้ามาในไทย และจัดปาร์ตี้คนผิวสีเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 6 คน เป็นกลุ่มบัญชีม้าระดับล่างที่อยู่ระหว่างติดตามจับกุม ส่วนหัวหน้าขบวนการใหญ่ เชื่อว่าอยู่ในประเทศไนจีเรีย

พล.ต.ท.วรวัฒน์กล่าวเสริมว่า ขบวนการนี้มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไนจีเรีย 419 ซึ่งเป็น กลุ่มอาชญากรข้ามชาติไนจีเรียหรือไม่ อยู่ระหว่างการขยายผล รวมทั้งในส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกลุ่มร้านแลกเงิน ซึ่งหลังจากนี้ได้รวบรวมแผนประทุษกรรม เพื่อรายงาน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการดำเนินการทำฐานข้อมูล รวมทั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ก็ให้ความสำคัญต่อการปราบปรามอาชญากรรมนี้ด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน