ดัน‘จักรพงษ์’รมช.กต. ภท.สลับศุภมาสนั่งอว. รทสช.ขอเปลี่ยน2รมต. พิชชารัตน์แทนชโยทิตส่งเช็กประวัติ-ทูลเกล้า

โผครม.เศรษฐา 1 ใกล้จบ แกนนำเพื่อไทยถกหนัก 2 ตำแหน่ง ดึงเก้าอี้รมว.กลาโหมกลับมาให้สส. อีสาน ลดแรงต้านจากคนเสื้อแดง พร้อมดันนายทะเบียนพรรค ‘จักรพงษ์ แสงมณี’ นั่งรมช. ต่างประเทศ ด้านภูมิใจไทยสลับตัววุ่น ‘ทรงศักดิ์’ ช่วยมหาดไทย โยก ‘ศุภมาส’ นั่งรมว.การอุดมศึกษาฯ ขณะที่ รทสช.ขอปรับใหม่ 2 ตำแหน่ง ส่ง ‘พิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ’ นั่งว่าการฯ แทน ‘หม่อมปืน’ หลังเจ้าตัวขอไม่รับเก้าอี้ ‘พิมภัทรา’ โควตาภาคใต้ ขึ้นรัฐมนตรีช่วยแทน ‘สุพล’ เตรียมส่งสลค.เช็กประวัติ ก่อนทูลเกล้าฯ ‘พิธา’ ส่งกำลังใจให้ครม.เศรษฐา ทวงคำสัญญาเร่งผลักดันกระจายอำนาจ-ส่งเสริมความเท่าเทียม

เพื่อไทยดึงสส.อีสานนั่งกลาโหม
วันที่ 27 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจัดสรรตำแหน่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หรือ โผครม.เศรษฐา 1 ใกล้ลงตัวแล้ว ตอนนี้เหลือ 2 เก้าอี้สุดท้าย ที่แกนนำพรรคเพื่อไทยยังคงถกเถียงอย่างหนัก คือ เก้าอี้ รมว.กลาโหม ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาต่อต้านอย่างหนักหลังปรากฎชื่อนายทหารที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 เบื้องต้นแกนนำพรรคเพื่อไทยหารือว่าจะดึงกลับมาให้สส.พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่นี้แทน คาดว่าจะเป็นสส.ภาคอีสาน เพื่อช่วยลดกระแสต่อต้านของคนเสื้อแดง

ดูงาน – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้การต้อนรับนายนิพนธ์ คนขยัน สส.บึงกาฬ คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน จาก 3 อำเภอจ.บึงกาฬ ที่มาศึกษาดูงานโครงการโคล้านตัว ที่บ้านดอนจันทร์ ต.บ้านไร่ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย

ดัน‘จักรพงษ์’รมช.ต่างประเทศ
อีกตำแหน่งคือ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งหลังจากโยกนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ มาทำหน้าที่ รมช.คลัง จึงต้องสรรหาบุคคลที่เหมาะสม คือ นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีความรอบรู้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและต่างประเทศ แต่เนื่องจากนายจักรพงษ์ยังไม่เคยรับตำแหน่งทางการเมือง จึงวางตัวให้ทำหน้าที่ รมช.ต่างประเทศ และให้ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ซึ่งมีชื่อทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ซึ่ง นายจักรพงษ์จะเข้ามาช่วยดูแลด้าน ต่างประเทศอีกทางหนึ่ง

ส่งรายชื่อเช็กประวัติ-ทูลเกล้าฯ
รายงานข่าวแจ้งว่า รายชื่อครม.ทั้งหมดจะลงตัวภายในค่ำวันนี้ และไม่เกินวันที่ 29 ส.ค. นายเศรษฐา จะนำรายชื่อครม.ทั้งหมดส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ก่อนนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป

โดยในส่วนพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ควบ รมว.คลัง นายภูมิธรรม รองนายกฯ ควบ รมว.พาณิชย์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ ควบรมว.ต่างประเทศ นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายจักรพงษ์ แสงมณี รมช.ต่างประเทศ

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายสุทิน คลังแสง รมว.วัฒนธรรม นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.มหาดไทย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ส่วนรมว.กลาโหม อยู่ระหว่าง การหารือ

ภท.สลับ‘ศุภมาส’นั่งรมว.อว.
พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ ควบ รมว.มหาดไทย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์

พรรคพลังประชารัฐ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ควบ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข นายไผ่ ลิกค์ รมช.พาณิชย์

พรรคชาติไทยพัฒนา นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

พรรคประชาชาติ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม

รทสช.เกลี่ยใหม่ 2 เก้าอี้
พรรครวมไทยสร้างชาติ เดิมได้ส่งรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีทั้ง 4 คน ไปยังพรรคเพื่อไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ประกอบด้วย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯควบ รมว.พลังงาน ม.ล.ชโยทิต กฤดากร รมว.อุตสาหกรรม นายสุพล จุลใส รมช.มหาดไทย และนายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์

แต่ล่าสุด พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ขอดึงรายชื่อทั้งหมดกลับมาใหม่ เนื่องจาก ม.ล.ชโยทิต ไม่ขอรับตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม โดยมีชื่อ นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ มาแทน ส่วนชื่อนายสุพล จุลใส มีรายงานว่าล่าสุดชื่อหลุดจากตำแหน่ง โดยมีการเสนอชื่อจากสัดส่วนภาคใต้เป็น น.ส.พิมภัทรา วิชัยกุล สส. นครศรีธรรมราช มาแทนเป็นรัฐมนตรีช่วย โดยช่วงเย็นวันที่ 28 ส.ค.นี้ พรรคจะประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เป็นการภายใน คาดว่าจะประชุมภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงรายชื่อตัวบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค และแจ้งให้ กก.บห. ทราบตามขั้นตอน

คาดแถลงนโยบายต้นก.ย.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา คาดว่าประมาณต้นเดือนก.ย. ซึ่งตามขั้นตอนต้องแถลงนโยบายรัฐบาลภายใน 15 วัน ภายหลังโปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่ และครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนเข้าทำหน้าที่

โพลชี้รบ.สลายขั้วแก้ขัดแย้งไม่ได้
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจเรื่อง “ความขัดแย้งทางการเมือง สลายหรือยัง?” สำรวจระหว่างวันที่ 23-25 ส.ค. จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่างเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยร้อยละ 87.63 ระบุไม่เคยไปร่วมชุมนุมใดๆ กับกลุ่มทางการเมือง ร้อยละ 4.35 ระบุเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.-กลุ่มเสื้อแดง) ร้อยละ 3.13 ระบุเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.-กลุ่มเสื้อเหลือง) ร้อยละ 3.05 ระบุเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และร้อยละ 2.82 ระบุว่า เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มสามนิ้ว (กลุ่มเสื้อส้ม)

กลุ่มทางการเมืองที่ประชาชนมองว่าตนเองอยู่ในปัจจุบัน พบว่า ร้อยละ 69.47 ระบุว่าไม่อยู่ในกลุ่มทางการเมืองใดๆ ร้อยละ 19.85 ระบุว่า กลุ่มสามนิ้ว ร้อยละ 6.64 ระบุว่า กลุ่มนปช. ร้อยละ 2.59 ระบุว่ากลุ่ม พธม. และร้อยละ 1.45 ระบุว่า กลุ่ม กปปส.

ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลพิเศษ “สลายขั้ว” ของพรรคเพื่อไทย โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้มีการสลายความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. พบว่า ร้อยละ 36.72 ระบุไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 20.61 ระบุเห็นด้วยมาก ร้อยละ 20.53 ระบุว่าไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 19.85 ระบุค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 2.29 ระบุว่าไม่ทราบ

ไม่เห็นด้วยนำ‘ทักษิณ’กลับ
สำหรับการกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะทำให้มีการสลายความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส. พบว่าร้อยละ 30.76 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 27.02 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 22.29 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 18.25 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 1.68 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ ไม่สนใจ

ส่วนความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทางการเมืองในอนาคต พบว่าร้อยละ 39.39 ระบุว่ากลุ่มเสื้อส้มกับทุกกลุ่ม (เสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส.) ร้อยละ 24.89 ระบุว่าไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มอีกต่อไป ร้อยละ 16.56 ระบุว่า กลุ่มเสื้อแดงกับกลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 6.72 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลืองกับกลุ่มเสื้อแดง ร้อยละ 2.44 ระบุว่า กลุ่มเสื้อแดงกับกลุ่ม กปปส. ร้อยละ 2.29 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลืองกับกลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 1.45 ระบุว่า กลุ่ม กปปส.กับกลุ่มเสื้อส้ม ร้อยละ 0.53 ระบุว่า กลุ่มเสื้อเหลืองกับกลุ่ม กปปส. และร้อยละ 10.53 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

พิธาร่วมพิธี‘ผูกข้อมือเดือนเก้า’
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศจากวัดพระยาสุเรนทร์ เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ซึ่งจัดงานประเพณีผูกข้อมือเรียกขวัญเดือนเก้า (กี่จึลาคุปุ) ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวปกา เกอะญอ โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วยนายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.พิมพ์กาญจน์ กีรติวิราปกรณ์ ส.ส.กทม. เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ โดยมีนายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้การต้อนรับ

งานดังกล่าวมีชาวปกาเกอะญอเดินทางมาจากหลายจังหวัดโดยเฉพาะจ.ชลบุรี จำนวนหลายพันคน สวมเสื้อของกลุ่มชาติพันธุ์รอรับนายพิธาและทีมงาน ซึ่ง ผู้มาร่วมประกอบด้วยกลุ่มคนหลากหลายวัย พร้อมเตรียมดอกไม้มามอบให้นายพิธา ขณะเดียวกัน มีชาวปกาเกอะญอมาอำนวยความสะดวกในพื้นที่วัดด้วย

ต่อมาเวลา 10.35 น. นายพิธาและทีมงานได้เดินทางมาถึงวัด โดยสวมเสื้อกลุ่มชาติพันธุ์ ท่ามกลางกลุ่มชาวปกาเกอะญอยืนรอรับนายพิธากันอย่างเนืองแน่น และตะโกนต้อนรับอย่างกึกก้อง จากนั้นตัวแทนได้มอบกลองมโหระทึก ปี่เขาควาย และเสื้อชนเผ่าให้นายพิธาเป็นที่ระลึก

ร่วมเรียกขวัญ – นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังคงได้รับความสนใจจากชาวบ้าน ระหว่าง ร่วมพิธีประเพณีผูกข้อมือเรียกขวัญเดือนเก้า (กี่จึลาคุปุ) ของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวปกาเกอะญอ ที่วัดพระยาสุเรนทร์ เขตคลองสามวา กทม. เมื่อวันที่ 27 ส.ค.

ย้ำอยู่เคียงข้างประชาชน
นายพิธากล่าวบนเวทีว่า วันนี้ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มาร่วมประเพณีผูกข้อมือ อยากบอกว่าคุณค่าของพี่น้องชาวกะเหรี่ยงอยู่ในใจของตนเสมอ ข้างหน้าเป็นอย่างไร ข้างหลังก็เป็นอย่างนั้น ความตรงไปตรงมา คงเส้นคงวาจะอยู่คู่กับคนคนนี้ตลอดไป เสื้อที่พี่น้องให้มาไม่มีตะเข็บ ไม่มีกระเป๋า เปรียบเสมือนความเรียบง่ายติดดินกับประชาชน ตราบใดที่ตนยังเป็นคนของประชาชนอยู่ยังจะเป็นแบบเดิมเสมอไป นี่คือการยืนยันกับประชาชนว่ายังมีนักการเมืองที่อยู่เคียงข้างพี่น้องชาวชาติพันธุ์อย่างแน่นอน เพราะเราเชื่อว่า ความหลากหลายคือจุดแข็งของประเทศนี้ ไม่ใช่จุดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเสมอภาคที่มีอยู่ 4 เสาด้วยกัน เพื่อดูแลอย่างเสมอภาค เป็นธรรม และเพิ่มความเป็นไทยให้พวกท่านโดยไม่ลดความเป็นชาติพันธุ์แม้แต่นิด ทุกคนต้องได้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในประเทศไทยของพวกเราทุกคน

นายพิธาได้ขึ้นเวทีเพื่อทำพิธีผูกข้อมือร่วมกับตัวแทนชาวปกาเกอะญอ และ นายสุรพงศ์กันอย่างชื่นมื่น จากนั้นชาวปกาเกอะญอได้จัดแสดงดนตรีและร้องรำทำเพลงพื้นเมืองกันอย่างสนุกสนาน ก่อนเสร็จสิ้นพิธีในเวลา 12.30 น.

หวัง‘บิ๊กเล็ก’ปฏิรูปกองทัพ
นายพิธาให้สัมภาษณ์ถึงหน้าตาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ว่า ทั้งให้กำลังใจและกังวลใจในหลายเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลจะทำ ทั้งการกระจาย อำนาจและความเท่าเทียม รวมถึงการปฏิรูปกองทัพที่เคยทำมา ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้ให้สัมภาษณ์ไว้ และพรรคก้าวไกลก็เตรียมจะผลักดัน ส่วน ครม.ก็ขอให้กำลังใจ และหวังว่าจะเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง และสัญญาประชาคมที่ยึดโยงประชาชนไว้ขอให้ทำให้สำเร็จ

เมื่อถามว่าการยกเลิกเกณฑ์ทหารจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ หากพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็นรมว.กลาโหม นายพิธากล่าวว่า ต้องให้โอกาสดู ตนเชื่อว่าหากเป็นสิ่งที่สังคมและประชาชนต้องการ เพื่อให้กองทัพทันสมัย สามารถดูแลพลทหารอย่างมีสิทธิมนุษยชน ให้มีการตอบแทนที่เหมาะสม ตนคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อกองทัพ สังคม และประเทศชาติมากที่สุด

สว.สมชายเตือนรบ.ดูบทเรียน
นายสมชาย แสวงการ สว. โพสต์ เฟซบุ๊ก ระบุว่า ฝากเตือนด้วยหวังดี ไม่มีขู่ ไม่ใช่หมอดูไม่ใช่โหร แต่ประวัติศาสตร์สอนเราไม่ให้เดินพลาดซ้ำ “กงล้อประวัติศาสตร์ 9 ปีลุงตู่ 8 ปี ป๋าเปรม โชติช่วงชัชวาล ครม.รับไม้เสวยสุข เศรษฐกิจเฟื่องฟูฟองสบู่ คอร์รัปชั่น บุฟเฟ่ต์คาบิเนต จบไม่สวยด้วยรสช. รัฐบาลใหม่ดูบทเรียน อย่าพลาดซ้ำ กงล้อประวัติศาสตร์”

ชี้เพื่อไทยเสียมท.โคตรขาดทุน
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความระบุว่า เสียมหาดไทย ค้าขายโคตรขาดทุน น่าจะครั้งแรกที่พรรคแกนนำ ที่มีเสียง 141 เสียง ยอมยกมหาดไทยให้พรรครอง ที่มี 71 เสียง เพื่อแลกคมนาคม แถมคนอยากได้คมนาคม ไม่ใช่เนื้อแท้ของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นนักการเมืองที่เพิ่งย้ายจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มาอยู่เพื่อไทย มหาดไทยที่หลุดมือ ทำให้เสียโอกาสอะไรบ้าง

1.การบริหารราชการส่วนภูมิภาคทั้งหมด เพราะมหาดไทย บังคับบัญชาผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งประเทศ ผู้ว่าฯ เป็นผู้นำและกำกับ หัวหน้าส่วนราชการทุกกระทรวงในจังหวัด 2.การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น เพราะมหาดไทยโดยนายอำเภอ กำกับดูแลกำนันและผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ

3.มหาดไทยยังกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่สำคัญคือ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าภูมิภาค การประปานครหลวง การประปาภูมิภาค 4.มหาดไทยยังมีหน้าที่จัดการ เลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด คือ อบจ. เทศบาล อบต. กทม. พัทยา โดยการมอบหมายจาก กกต. และ 5.สูญเสียโอกาสในการเป็นผู้ผลักดันนโยบายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่โดดเด่นและสำคัญ ค้าขายขาดทุนปานนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย เองยังอยากคุมกระทรวงพาณิชย์

พิชายตั้งฉายา‘รัฐบาลอึ่งไข่’
นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมือง และยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ขอตั้งฉายารัฐบาลนี้ว่าเป็น รัฐบาลอึ่งไข่ อนึ่ง คำว่า อึ่งไข่ มาจากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรค เพื่อไทยเอง จึงดูเหมาะสมกับสถานการณ์เป็นอย่างดี เพราะรัฐบาลนี้รวมพรรค การเมืองหลายพรรคจนท้องโตคล้ายอึ่งไข่

อย่างไรก็ตาม อึ่งไข่ต้องระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะชาวบ้านในอีสานนิยมจับมาทำอาหาร เป็นอาหารยอดนิยมมากในปัจจุบัน และอาจทำให้ครอบครัวอึ่งไข่ สูญพันธุ์ได้ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

แดงปทุมฯเดือดไม่เอาคนสนิทตู่
นายศรรัก มาลัยทอง แกนนำคน เสื้อแดงปทุมธานี กล่าวถึงคนเสื้อแดงกังวลว่าผู้ที่จะเข้ามารับตำแหน่ง รมว.กลาโหม จะเป็นทหารที่มีความเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ว่า คาดว่านายทหารคนสนิทของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา รักษาการนายกฯ จะมาเป็น รมว.กลาโหม ซึ่งมองว่ามันมากไปแล้ว เพราะนายทหารเหล่านี้ล้วนถูกมองว่ารู้เห็นในการสลายประชาชนคนเสื้อแดงมือเปล่าที่แยกราชประสงค์ปี 2553

พวกเราคนเสื้อแดงไม่ตำหนิพรรค เพื่อไทย ที่จัดตั้งรัฐบาลแล้วไปดึงพรรคต่างๆ ที่เคยเป็นปรปักษ์กับคนเสื้อแดงมาก่อนหน้านี้ เพราะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ประกาศวางมือทางการเมืองในทุกด้านไปแล้ว แต่ถ้ายังคิดจะเอาคนที่มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายน่าสงสัยมาหลอกใช้ประชาชน บอกเลยรอบนี้จะหนักกว่า 14 ตุลา, พฤษภา 35 และปี 53

“ขอเตือนไม่อย่างนั้นรัฐบาลจะต้องเผชิญกับพวกเดียวกันเอง นายพลคนเดียว กับประชาชนคนส่วนใหญ่ เลือกเอา” แกนนำคนเสื้อแดงกล่าว

‘สาธิต’บี้ตั้งกก.สอบ 16 สส.
ที่ จ.ระยอง นายสาธิต ปิตุเตชะ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่ภาคกลาง ให้สัมภาษณ์ถึงการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดใหม่ว่า เห็นว่าในพรรคต้องพูดคุยกัน และจำเป็นต้องให้พรรคปรับตัวให้นิ่ง เพื่อเดินหน้าต่อให้เร็วที่สุด โดยเราควรหารือร่วมกันว่าจะเห็นต่างอย่างไร เราต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง ตนเชื่อว่าในทางการเมืองไม่มีอะไรที่คุยกันไม่ได้

นายสาธิตกล่าวว่า ตนได้ยื่นหนังสือร้องเรียนไปถึงหัวหน้าพรรค ให้ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ 16 สส.ที่โหวตสวนมติพรรค เน้นไปที่ สส.คนหนึ่งที่มีพฤติกรรมเสื่อมเสียและเป็นปฏิปักษ์กับ กก.บห. แต่อีกหลายคนก็เป็นแค่การโหวตตามเอกสิทธิ์ ขึ้นอยู่กับกรรมการที่ตั้งมาตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม เป็นพรรคการเมืองก็ต้องคุยกัน

เรือนจำเตรียมรับญาติเยี่ยมโทนี่
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. นายนัสที ทองปลาด ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกรณีการเปิดให้เข้าเยี่ยมอาการของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 28 ส.ค. ว่า ตามระเบียบนั้นก่อนที่นายทักษิณ จะเข้าเรือนจำจะต้องเขียนรายชื่อผู้ที่สามารถเข้าเยี่ยมได้ไม่เกิน 10 รายชื่อ จากนั้นผู้ที่ประสงค์จะเข้าเยี่ยมต้องมาระบุวันที่-ลงชื่อกับเจ้าหน้าที่เรือนจำไว้ก่อน

เมื่อถึงวันที่ลงทะเบียนไว้ให้เดินทางมาที่เรือนจำเพื่อมาดูรายชื่อว่าสามารถเข้าเยี่ยมได้หรือไม่ โดยจำกัดผู้ที่สามารถเข้าเยี่ยมได้ไม่เกิน 10 คน ใน 1 วัน 1 ครั้ง ครั้งละ ไม่เกิน 40 นาที โดยในวันพรุ่งนี้มีรายชื่อผู้ที่ประสงค์จะเข้าเยี่ยมครบแล้วเป็นรายชื่อบุคคลในครอบครัวทั้งสิ้นแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ สามารถเริ่มเข้าเยี่ยมได้ในเวลาราชการ ตั้งแต่ 09.00-15.00 น. หรือสามารถเยี่ยมผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ หรือวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้ ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยระหว่างการสนทนาทั้งแบบเจอตัวหรือผ่านกล้อง จะมีผู้คุมคอยอยู่ใกล้ๆ เสมอ

ตั้งเกณฑ์ใหม่ภาษีหนุนการศึกษา
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษาฉบับใหม่ได้มีผลบังคับแล้ว เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 768) พ.ศ.2566 ซึ่งมีการปรับปรุงเกณฑ์การบริจาคให้เกิดความครอบคลุม และลดความเหลื่อมล้ำในการได้รับบริจาคของสถานศึกษาแต่ละประเภท

น.ส.ไตรศุลีกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ตามมาตรการภาษีฯ กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงิน บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ให้แก่สถานศึกษา 5 ประเภท ได้แก่ 1.สถานศึกษาของรัฐ 2.โรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบ 3.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน 4.สถานศึกษาที่ตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) และ 5.สถาบันอุดมศึกษา ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศอนุมัติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีฯ ได้แก่ มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล (CMKL) และมหาวิทยาลัยอมตะ ซึ่งเกณฑ์ใหม่ได้เพิ่มสถาบันอุดมศึกษา และผู้บริจาคจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย และกำหนดว่าการบริจาคต้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรเท่านั้น

น.ส.ไตรศุลีระบุว่า ทั้งนี้ มาตรการภาษีฯ นี้มีผลสำหรับการบริจาคที่เกิดขึ้นระหว่าง วันที่ 1 ม.ค.2565-31 ธ.ค. 2567 โดยสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับนั้น กรณีบุคคลธรรมดาสามารถนำเงินมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่นๆ ส่วนกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำเงินหรือทรัพย์สินมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของ รายจ่ายที่บริจาคแต่จะไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา

แพทย์ฉุกเฉิน – นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธาน เปิดการประชุมวิชาการการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติขององค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่มเกล้า กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 27 ส.ค.

รัฐหนุนสมุนไพรไทยพุ่ง1แสนล.
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการสนับสนุนสมุนไพรไทย ว่า รัฐบาลเชื่อมั่นศักยภาพสมุนไพรไทย และผลักดันให้สมุนไพรมีมูลค่าในตลาดโลกเพิ่ม โดยการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยปี 65 มีมูลค่าสูงถึง 5.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 ที่มีมูลค่า 4.8 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์เป้าหมายในปี 2570 ขนาดตลาดวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยเพิ่มขึ้นถึงกว่า 1 แสนล้านบาท

น.ส.รัชดากล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Health and Wellness ที่นำสมุนไพรไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต อาทิ เครื่องสำอาง ยาและอาหารเสริม ในปี 2563 มีมูลค่าตลาดรวม 9.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะขยับไปสู่ระดับ 16.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 ด้วยอัตราเฉลี่ยเติบโตร้อยละ 6.5 ต่อปี ด้วยความเชื่อมั่นต่อสมุนไพร ผู้ประกอบการไทย และความได้เปรียบด้านวัตถุดิบที่ไทยมีสมุนไพรกว่า 1,800 ชนิดที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์เชิงอุตสาหกรรมได้ ขณะที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ร่วมกับนักวิจัยด้านพืชสมุนไพร ไบโอเทค และ สวทช. นำงานวิจัยการพัฒนาการผลิตพืชสมุนไพร 5 ชนิด บัวบก ขมิ้นชัน กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร และกะเพรา พืชสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพทางการผลิต คุณภาพทางการผลิต สามารถต่อยอดไปสู่ความมั่นคงทางอาหาร เกิดเกษตรแม่นยำที่มีการนำเทคโนโลยีผสมผสานการเกษตรยุคดิจิทัลมาใช้ในการเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิต

น.ส.รัชดากล่าวอีกว่า ล่าสุดมีแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2566-2567 ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ เพื่อการผลิตสมุนไพรได้มาตรฐาน มีคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยผู้ประกอบการสมุนไพรที่สนใจการพัฒนาสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพโทร. 0-2564-6700 ต่อ 3305

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน