คาดประชุม-12กันยา เชื่อมือ‘สุทิน’รมว.กห. ชลน่านลาออกหัวหน้า แต่ไม่ทิ้งเก้าอี้รัฐมนตรี หนูป้อง‘ชาดา-เพิ่มพูน’

‘เศรษฐา’ลั่นลดค่าไฟ-ราคาน้ำมันทันทีในการประชุมครม. นัดแรก กางไทม์ไลน์คาดทูลเกล้าฯ รายชื่อรมต. 1 ก.ย. แถลงนโยบายต่อรัฐสภา 8 ก.ย. ประชุมครม. 12 ก.ย. นายกฯ วอนอย่าเพิ่งยี้ครม.ชุดใหม่ ขอวัดที่ผลงาน เชื่อ ‘สุทิน’ คุมกลาโหมได้ เผย 1 ก.ย.ควง ‘ปานปรีย์-ธรรมนัส’ ลุยแก้ปัญหาประมงที่แม่กลอง ‘อนุทิน’เมินเสียงวิจารณ์‘ชาดา-น้องเนวิน’ ‘หมอชลน่าน’ทำตามสัญญาไขก๊อกหัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว ‘อดิศร’ เชียร์ ‘โต้ง-นพดล’ นั่งแทน ‘เสรีพิศุทธ์’ ลาออก สส. ปัดผิดหวังไม่ได้เก้าอี้รมต.

ทีมรองโฆษกรัฐร่ำไห้ลา‘บิ๊กตู่’
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. เวลา 10.23 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเดินทางถึงทีมรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คน ประกอบด้วย น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ จากพรรครวมไทย สร้างชาติ (รทสช.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล จากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และน.ส.รัชดา ธนาดิเรก จากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้เข้าพบพร้อมมอบพวงมาลัยเพื่อแสดง ความขอบคุณที่ให้โอกาสและเชื่อมั่นทีมงานโฆษก คอยให้การสนับสนุนภารกิจของทีมโฆษก ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้บังคับบัญชาแล้ว ยังเปรียบเหมือนผู้ใหญ่ในครอบครัว ที่คอย ให้คำแนะนำปรึกษาและให้กำลังใจแก่ทีมโฆษกและเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ทุกด้านตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมา

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวขอบคุณทีมรองโฆษก ที่เข้ามาอวยพร ขอบคุณสำหรับความร่วมมือกันในการทำงานทุกภารกิจที่สามารถผ่าน ไปได้อย่างราบรื่น และอวยพรให้ทีมโฆษก ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนเองที่กำลังจะ เกิดขึ้นในอนาคตอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง และส่วนรวมต่อไป หลังจากนี้ทุกคนยังสามารถพบเจอกันได้ มีอะไรก็พูด คุยกัน ไม่ได้หายไปไหน

ทั้งนี้ บรรยากาศการเข้าพบเป็นไปอย่างอบอุ่น ระหว่างที่พล.อ.ประยุทธ์กล่าวขอบคุณทีมรองโฆษกมีน้ำตาคลอ ด้วยความตื้นตันใจ หลังจากนั้นทั้งหมดได้โอบกอดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

อำลา – น.ส.รัชดา ธนาดิเรก น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล และน.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ทีมรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลั้นน้ำตาไม่อยู่ระหว่างนำพวงมาลัยเข้าอำลา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในโอกาสสิ้นสุดวาระ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ทำเนียบ

ก่อนหน้านี้เวลา 09.00 น. ทีมรองโฆษกรัฐบาล ทั้ง 3 คน ได้กราบลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ทั้งพระพรหมบนยอดตึกไทยคู่ฟ้า ศาลพระภูมิเจ้าที่และศาลตา ศาลยาย ก่อนหมดวาระการปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่น.ส.ทิพานันโพสต์เฟซบุ๊กขอยุติบทบาททางการเมืองตามพล.อ.ประยุทธ์ ‘ความสุข ความทรงจำ ไม่มีที่สิ้นสุด’ เมื่อการเดินทางบนถนนการเมืองของท่านนายกฯ ลุงตู่ ได้สิ้นสุดลงในวาระนี้ เมื่อมาด้วยกัน ก็ไปด้วยกัน ต่างไปเดินบนเส้นทางใหม่ ตามฝันของตนเอง แม้ไม่ได้เดินทางร่วมกัน เช่นเดิม เชื่อว่าปลายทางเราไม่ต่างกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 15.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้ถ่ายรูปร่วมกับข้าราชการตำรวจประจำทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด และในวันที่ 31 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ที่ทำเนียบรัฐบาลในฐานะนายกฯ คนที่ 29 เป็นวันสุดท้าย โดยจะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ร่วมถ่ายรูปและพิธีอำลากับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล

‘บิ๊กป๊อก-นริศ’อำลามหาดไทย
เวลา 12.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย (มท.1) พร้อมด้วยนายนริศ ขำนุรักษ์ รมช.มหาดไทย จัดงานเลี้ยงพบปะสื่อมวลชนประจำกระทรวงมหาดไทยและทำเนียบรัฐบาล เพื่ออำลาตำแหน่ง โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวง อธิบดีกรมต่างๆ และข้าราชการกระทรวง เข้าร่วม

พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ขอฝากสังคมไว้ กับสื่อมวลชนเพราะมองว่าในสถานการณ์เหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน สื่อมีอิทธิพลกำหนดทิศทางเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง จึงขอฝากประเทศชาติไว้ด้วย ส่วนการที่มีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้ามา เมื่อตนลงจากตำแหน่งก็ถือเป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือตัดสินใจอย่างไร เช่น การขึ้นภาษีหรือขึ้นค่าเอฟที เป็นเรื่อง ของรัฐบาลชุดใหม่ สื่อจะเป็นผู้เช็กความสมดุลให้ โดยการวิพากษ์วิจารณ์หากทำดีหรือไม่ดี เพื่อให้สังคมลงตัว

“ผมเข้าใจการทำงานของสื่อที่อาจจะมีคำถามรุนแรง แต่สื่อถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศชาติมาก เพราะพูดอะไรสังคมจะฟัง อยากฝากว่าถ้าจะทำให้ขัดแย้งก็ทำได้ ถ้าจะทำให้เบาลงก็ทำได้ ฉะนั้นขอฝากประเทศชาติไว้ด้วย ใครมาใหม่ผมก็ขอให้กำลังใจ ฉะนั้นเราต้องเคารพการตัดสินใจบริหารแผ่นดิน ของเขา ส่วนอนาคตของผมอายุขนาดนี้ต้องรักษาสุขภาพดูแลร่างกาย แต่ยังไม่มีหลานให้เลี้ยง ขอบคุณข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยมีความคล้ายกับกองทัพบก ผมเชื่อมั่นในความสามารถของข้าราชการ เพียงแต่ อย่าไปวุ่นวายในทุกเรื่อง” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว

กางไทม์ไลน์ครม.เศรษฐา 1
วันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ทีมงานมาส่งเอกสารประวัติ ในตำแหน่งรมว.คลัง ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทำเนียบรัฐบาล เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันทีมงานของ นายไผ่ ลิกค์ สส. กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มีชื่อเป็นรมช.พาณิชย์ ได้นำเอกสารมาส่งเพิ่มเติมที่สลค. ส่วน ผู้มีชื่อเป็นรัฐมนตรีที่ยังไม่ได้ยื่นประวัติ จะส่งเอกสารในวันเดียวกันนี้ครบทุกคน เนื่องจากสลค.ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสาร ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ

รายงานข่าวเปิดเผยไทม์ไลน์ของรัฐบาลเศรษฐา 1 ว่า หลังการตรวจสอบคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรีเสร็จสิ้น ในวันที่ 1 ก.ย. คาดว่าจะนำรายชื่อครม.ขึ้นทูลเกล้าฯ จากนั้น จะเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเริ่มปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งในส่วนของทำเนียบรัฐบาล ได้เตรียมรถตู้ของสลค. ไว้ 9 คัน เพื่อนำ ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ รวมทั้งได้ซักซ้อม เจ้าหน้าที่และเตรียมอุปกรณ์สำหรับถ่ายภาพติดบัตรประจำตัวครม. ที่บริเวณตึกสันติไมตรี ก่อนที่เข้าเฝ้าฯ ด้วย

เบื้องต้นมีการเตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันศุกร์ที่ 8 ก.ย. และวันอังคารที่ 12 ก.ย. จะประชุมครม.นัดแรก ส่วนการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ ระหว่างวันที่ 16-22 ก.ย.นี้ นายเศรษฐาจะเข้าร่วมประชุม คาดว่าจะเดินทางในวันที่ 19 ก.ย.

นอกจากนี้ คณะทำงานของนายเศรษฐา ยังได้วางกลยุทธ์การลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยวันที่ 31 ส.ค. เวลา 12.00 น. นายเศรษฐาพร้อมด้วยนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ว่าที่รมช.คลัง ซึ่งทั้งสองคนเป็นคณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย จะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) ไปยังตลาดเมืองไทยภัทร เขตห้วยขวาง กทม. พบปะประชาชนและ ผู้ประกอบการค้า-ร้านอาหารในพื้นที่ พูดคุยประเด็นค่าครองชีพ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าก๊าซหุงต้ม

ส่วนวันศุกร์ที่ 1 ก.ย. นายเศรษฐาลง พื้นที่จ.สมุทรสงคราม พบปะผู้ประกอบการ ประมงในพื้นที่ ที่ท่าเทียบเรือวัดปากสมุทร ต.แหลมใหญ่ อ.เมือง เพื่อพูดคุยถึงผล กระทบจากประกาศของไอยูยู หรือการ ทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และ ไร้การควบคุม และแนวทางแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนของชาวประมง โดยมี นายปานปรีย์ นพ.พรหมินทร์ ว่าที่เลขาธิการนายกฯ รวมทั้งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่าที่รมว.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการ พรรคพลังประชารัฐ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ นายปลอดประสพ สุรัสวดี นางนลินี ทวีสิน ร่วมคณะด้วย

‘นิด’ขออย่ารีบยี้-เชื่อมือ‘สุทิน’
ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณ์หน้าตาครม.ที่บางคนอาจ ไม่เหมาะกับบางตำแหน่งว่า ต้องให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลและผู้ประสานงานจัดตั้ง ครม.ด้วย หน้าตาหรืออะไรก็มีสิทธิ์ที่คน จะคิดกันได้แต่ต้องให้เกียรติกับรัฐมนตรี และมั่นใจรัฐบาลของเรามีภารกิจมาก มี เป้าหมายในการทำงานอย่างชัดเจน คงวัด กันที่ตรงนี้ เพราะวันนี้ทุกคนคงต้องเริ่มทำงานแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีเสียงสะท้อนหากพลเรือนคุมกระทรวงกลาโหม (กห.) เป็นการถูกด้อยค่า นายเศรษฐากล่าวว่า คิดว่านายสุทิน คลังแสง เป็นผู้อาวุโส เป็นสส.หลายสมัย เท่าที่รู้จักนายสุทินเป็นคนที่ให้เกียรติคน เชื่อว่าการประสานงานกับกองทัพจะเป็นไปได้ด้วยดี ส่วนตัวจะเข้าไปช่วยดูตรงนี้ด้วย ต้องให้แน่ใจว่าทุกสถาบันได้รับการดูแลเอาใจใส่ และได้รับการพูดคุยอย่างเหมาะสม สมฐานะ

ส่วนการจัดทำนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา นายเศรษฐากล่าวว่า มีความคืบหน้าตลอด เมื่อวันที่ 29 ส.ค. พูดคุยกับพรรค ภูมิใจไทย แล้ว ซึ่งนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ว่าที่เลขาธิการนายกฯ เป็นคนเจรจาและรวบรวมข้อมูล เราก็เร่งด่วนในเรื่องนี้ เพราะอยากแถลงนโยบายโดยเร็วหลังเข้าถวายสัตย์ ประเทศจะได้เดินไปข้างหน้าได้ ซึ่งคาดว่า ไม่เกิน 1 สัปดาห์หลังถวายสัตย์จะแถลงนโยบายได้

ลั่นครม.นัดแรกลดค่าไฟ-น้ำมัน
เวลา 11.00 น. นายเศรษฐาต้อนรับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค รวมไทยสร้างชาติ เพื่อหารือถึงการส่งไม้ต่อในการทำงานด้านเศรษฐกิจ

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ว่า ได้หารือ เรื่องราคาพลังงาน รวมถึงประเด็นอื่นๆ ซึ่ง นายสุพัฒนพงษ์ได้ฝากฝังไว้หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือขั้นตอนในการลดราคาค่าไฟกับค่าน้ำมันดีเซล โดยจะมีประกาศหลังการ ประชุมครม.นัดแรกแน่นอน ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังการประชุมครม.นัดแรกจะสามารถลดได้ทันทีแน่นอนใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ทันทีครับทันที ประกาศทันที และขอดู ขั้นตอนนิดหนึ่ง ทำงานไม่หยุด เพราะต้องดูนโยบายอื่นๆ ด้วย และถือว่านายสุพัฒนพงษ์ให้ความกรุณาและยินดีส่งไม้ต่อให้ด้วยความราบรื่น

ด้านนายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า เรื่องการลดราคาพลังงาน เป็นเรื่องการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากกว่า ส่วนการพูดคุยอย่างเป็นทางการต้องให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มาพูดคุยกันอีกครั้ง วันนี้เป็นการมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ว่ามีอะไรจะส่งไม้ต่อไปถึงรัฐบาลใหม่ได้ เป็นโอกาสที่ดีของรัฐบาลรักษาการ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่ามีอะไรจะส่งมอบ หรือส่งต่อความคิดเห็นใดๆ ไปถึงรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่ขอ รับทราบสิ่งที่รัฐบาลรักษาการ หรือรัฐบาลที่ผ่านมาได้ทำอะไรไว้บ้าง ส่วนจะสานต่อ เรื่องอะไร จะดัดแปลง หรือทำให้ดีขึ้นก็เป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่

‘วิษณุ’ชี้‘พิชิต’ไม่เข้าข่ายต้องห้าม
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณ์คุณสมบัติของนายพิชิต ชื่นบาน ว่าที่รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่เคยถูกจำคุกคดีละเมิดอำนาจศาลว่า ไม่ทราบว่านายพิชิต จะเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเลขาธิการครม.ยังไม่ได้รายงาน แต่หากเป็นกรณีเรื่องขาดคุณสมบัติ นายพิชิตได้มาบอกว่ามีข้อกล่าวหาตอนแรกเรื่องทุจริต แต่สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้อง และที่ลงโทษเป็นเรื่องละเมิดอำนาจศาล โดยคดีเกิดตั้งแต่ช่วงปี 2552-2553 ผ่านมาเกิน 10 ปีแล้ว จึงไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 และ 160 แต่หากถูกจำคุกและพ้นโทษ ไม่ถึง 10 ปี เป็นไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า การละเมิดอำนาจศาล ถือเป็นคำพิพากษาหรือเป็นคำสั่งของศาล นายวิษณุกล่าวว่า เป็นคำสั่ง ต่อข้อถามว่า ถ้าเป็นคำสั่งสามารถนำมาใช้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 98 และ 160 ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่อยากตอบ เพราะเป็นปัญหาใหม่อีกข้อหนึ่ง และโดยทั่วไปไม่ถือเป็นโทษอาญา ผู้สื่อข่าวถามว่า คดีเรื่องจริยธรรมสามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เป็นอีกประเด็นหนึ่ง หากจะตั้งข้อสังเกตเรื่องจริยธรรม สามารถตั้งได้กับทุกคน ส่วนจะหนักเบามากน้อยอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่สะกิดถอนชื่อออกดีกว่า
ต่อข้อถามว่าหน่วยงานใดควรเป็น ผู้ชี้ขาดเรื่องจริยธรรม นายวิษณุกล่าวว่า สภาต้องพิจารณา และส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้ชี้ขาด เพราะเป็นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม คนอื่นจะไปชี้ หรือเลขาธิการครม.จะไปชี้ว่าบกพร่องมิได้ บางทีก็กล่าวหากันไปแต่ไม่เห็นมีใครเอาเรื่องอะไร แต่หากจะดำเนินการจะมีขั้นตอน และก่อนหน้านี้มีคนเคยถูกถอดถอน เรื่องคุณสมบัติจริยธรรมมาแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากคุณสมบัติก้ำกึ่ง สลค.จะปล่อยผ่านไปก่อนได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ปล่อยหมด ถ้าเป็นเรื่องจริยธรรมเขาไม่กล้าไปชี้

เมื่อถามว่าหากเป็นประเด็นเรื่องข้อกฎหมาย สลค.ควรปล่อยไปก่อนได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า สลค.จะรายงานให้นายกฯ คนใหม่ทราบ เพื่อให้ตัดสินใจเองด้วยการไปคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ ในอดีตเราเคยท้วงขึ้นไปว่าจะเป็นปัญหา จัดเป็นพวกหนึ่ง และเป็นปัญหาอีกแน่ๆ อีกพวกหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็ฟังแล้วเปลี่ยน แต่ถ้าอาจจะเป็นปัญหา บางทีเขาก็เสนอตั้ง อยู่ๆ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะไม่มีใครยกขึ้นมาหรืออาจจะไม่รู้ก็ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าสามารถตัดตอนตั้งแต่ ก่อนขั้นตอนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค ถ้าเห็นว่ายุ่งและไม่อยากไปตายเอาดาบหน้า ควรถอนเสียก่อนตั้งแต่ตอนนี้ ก็แล้วแต่พิจารณา เมื่อถามว่าสภาทนายความ เคยถอนใบอนุญาตทนายของนายพิชิต จะถือว่าผิดเรื่องจริยธรรมหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เรื่องการถอนมารยาททนายความ ถือเป็นอีก เรื่องหนึ่ง ตนไปนั่งตำแหน่งรักษาการรมว.ยุติธรรม สั่งเรื่องมารยาททนายความ ทุกวัน ก็แค่ถอน เหมือนถอนใบอนุญาตแพทย์หรือใบประกอบโรคศิลปะ เมื่อเลยระยะเวลา เพิกถอนไปแล้วว่า สามารถไปยื่นขอใหม่ได้

คำตอบ – นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทำหน้าเบะปาก เมื่อผู้สื่อข่าวซักถามถึงกระแสโจมตีคุณสมบัตินายชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่มีชื่อเป็นรมช.มหาดไทย ในการให้สัมภาษณ์ที่อาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 30 ส.ค.

‘หนู’เมินคนวิจารณ์‘ชาดา-เพิ่มพูน’
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์พร้อมทำท่าคว่ำปาก กรณีนาย ชาดา ไทยเศรษฐ์ ว่าที่รมช.มหาดไทย ถูก นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรค พลังประชารัฐ ร้องเรียนเรื่องการเสียภาษี ว่า เขามีการตรวจสอบคุณสมบัติอยู่ ทุกอย่างต้องอธิบายด้วยหลักของกฎหมาย พรรค ตรวจสอบคุณสมบัติระดับหนึ่ง สลค. ตรวจสอบอีกระดับหนึ่ง และประชาชนก็ตรวจสอบอีก ดังนั้นอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ต้องเป็นไปตามนั้น เราไม่ทำผิดกฎหมายแน่นอน ความรู้สึกของคนมีทั้งชอบและไม่ชอบ จะเอามาเป็นสาระสำคัญไม่ได้ ต้องดูตามกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวถามว่าในโซเชี่ยลมีเดียมีการวิจารณ์นายชาดา เรื่องยาเสพติด นายอนุทินกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามหลักฐาน ตนไม่เคยเห็นนายชาดาทำผิดกฎหมายหรือทำ สิ่งที่ไม่เหมาะสมใดๆ เวลาอยู่ที่ จ.อุทัยธานี นายชาดาลงพื้นที่พบชาวบ้าน ทำตัวกลมกลืน และต้องไปถามคนอุทัยธานีว่านายชาดา เป็นอย่างไร มั่นใจว่าคนอุทัยธานีต้องตอบว่าเป็นคนที่ดี รับใช้ประชาชนและเสียสละ

ว่าที่รมต. – นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เข้าประชุมสภา ผู้แทนราษฎรโดยมีเพื่อนสมาชิกร่วมแสดงความยินดีที่มีชื่อเป็นรมช.มหาดไทย ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงประวัติและคุณสมบัติส่วนตัว ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 30 ส.ค.

ส่วนที่มีการวิจารณ์ว่าส่งนายตำรวจ (พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ น้องนายเนวิน ชิดชอบ) ไปคุมกระทรวงศึกษาธิการ นายอนุทินย้อนว่า “พล.ต.อ.ครับ ผ่านตำแหน่งสำคัญมาแล้ว” ต่อข้อถามว่า อาจไม่มีประสบการณ์ด้านการศึกษา นายอนุทินกล่าวว่า “แล้วผมมีประสบการณ์หมอหรือไม่” ผู้สื่อข่าวถามว่า นโยบายทางการศึกษาจะผลักดันในกรอบนโยบายพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทย นายอนุทินกล่าวว่า รวมกัน เพราะมีการประชุมหารือ ซึ่งตนได้ส่งทีมของพรรคภูมิใจไทยไปร่วมร่างคำแถลงนโยบายของนายกฯ แล้ว ต้อง รับฟังนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวเปลี่ยนรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีของพรรคว่า ขอยืนยันว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นรายชื่อเดิมทั้ง 4 ตำแหน่ง ที่เสนอตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติไปยัง สลค.แล้ว ทุกคนล้วนเป็นบุคคลที่พรรคได้คัดสรร แล้วว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และตั้งใจที่จะช่วยพี่น้องประชาชนให้อยู่ดีกินดี มีความมั่นคงในชีวิต

‘เศรษฐา’ให้เกียรติ‘ชลน่าน’ทิ้งหน.
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน จะลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า ทราบเรื่องแล้ว วันนี้ นพ.ชลน่านคงประกาศเรื่องนี้เอง ต้องให้เกียรติ ผู้ใหญ่ในพรรคมีการคุยกัน แต่ต้องให้เกียรตินพ.ชลน่านในการแถลงต่อข้อถามว่าเรื่องเซอร์ไพรส์ที่นายเศรษฐาเคยบอกคือเรื่องที่นพ.ชลน่านจะลาออกใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ใช่ นพ.ชลน่านประกาศไว้นาน หากมีการเลือกนายกฯ เสร็จเรียบร้อย และหากเสร็จภารกิจ นพ.ชลน่าน ก็จะประกาศ

ต่อข้อถามว่าถ้านพ.ชลน่านลาออกใครจะมาเป็นหัวหน้าพรรคต่อ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องมีการประชุมพรรค เพราะเราเป็นพรรคที่มีสมาชิกเยอะ คงต้องว่าไปตามกฎพรรคการเมือง และคงต้องมีรักษาการไปก่อน ซึ่งต้องมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคใหม่ ภายใน 60 วัน ขอฟังนพ.ชลน่านแถลงก่อน ส่วนคุณสมบัติของคนที่จะเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป ในฐานะเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคคิดว่าต้องเป็นคนที่อยู่ในพรรคมานาน มีความรู้ความสามารถ รอบรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง ความมั่นคงเศรษฐกิจและสังคม

เมื่อถามว่ามองว่านพ.ชลน่านจะมีโอกาสกลับมานั่งหัวหน้าพรรคอีกหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนไปก้าวล่วงสิทธิของสมาชิกพรรคทุกท่านไม่ได้ หนึ่งคนหนึ่งเสียง เราเคารพระบบพรรคการเมือง เมื่อถามว่าส่วนตัวจะเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ด้วยหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่ขอพูดเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับการเลือกกก.บห.

‘อดิศร’เชียร์‘โต้ง-นพดล’แทน
นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โพสต์วิดีโอผ่านทวิตเตอร์ว่า วันนี้นพ.ชลน่าน จะลาออกจากหัวหน้าพรรค ตามที่ปราศรัยไว้กับประชาชน เมื่อภารกิจการจัดตั้งรัฐบาลประสบความสำเร็จ ส่งนายเศรษฐา เป็นนายกฯ ได้เรียบร้อย นพ.ชลน่านจึงได้ปฏิบัติตามคำพูดคือลาออก จะมีการเลือกตั้งกก.บห.ใหม่ภายใน 60 วัน

นายอดิศรให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค. มีการประชุมพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน แสดงเจตจำนงต่อที่ประชุมว่าจะลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคตามที่เคยกล่าว หลายครั้งช่วงหาเสียงว่าเพื่อไทยจะไม่จับมือกับพรรค 2 ลุง หากจับมือกันจะขอลาออก จากหัวหน้าพรรค ทำให้กก.บห.ชุดปัจจุบันหลุดออกไปทั้งหมด ส่วนตัวอาลัยอาวรณ์ กับการเป็นหัวหน้าพรรคของนพ.ชลน่าน อยากให้กลับมาเป็นอีกครั้ง ขณะนี้พรรค เพื่อไทยยังไม่มีแคนดิเดตหัวหน้าพรรค แต่ส่วนตัวเห็นว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ และอดีตรมว.คลัง หรือนายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตรมว. ต่างประเทศ เหมาะสมเป็นหัวหน้าพรรคได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าการลาออกของ นพ.ชลน่าน จะลดแรงเสียดทานหรือไม่ นายอดิศรกล่าวว่า คงไม่เกิดขึ้นเพราะผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ด่าก็ด่าอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดา เราก็บริหารกันไป เพราะ 8 หรือ 9 ก.ย. แถลงนโยบายรัฐบาลแล้ว เราจะได้บริหารประเทศ จะเหลือก็แต่ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรที่ยังไม่มีใครรับ ต่อข้อถามว่ามาตรฐานของนพ.ชลน่าน ต่ำกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่ เพราะยังไม่ได้ลาออกจากการเป็นสส. อีกทั้งยังได้เป็นรัฐมนตรีด้วย นายอดิศร กล่าวว่า เราไม่กล้าอาจเอื้อมไปถึงนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่รู้ว่าใครเป็นหัวหรือเป็นหาง

ดี๊ด๊าจ่อเป็นปธ.วิปรัฐบาล
ต่อข้อถามว่าหากพรรคเพื่อไทยจับมือ กับพรรค 2 ลุง จะเป็นฝ่ายค้านอิสระตามที่ เคยประกาศไว้หรือไม่ นายอดิศรกล่าวว่า ตนมีความคิดไม่แตกต่างกับนพ.ชลน่าน แต่ถูกวางตัวให้เป็นประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ซึ่งต้องประสานงานและดูระเบียบวาระการประชุม เช่น การจัดทำประชามติ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเกณฑ์ทหาร เป็นต้น และดูกฎหมายของทุกพรรค ตนเป็นคนชอบสภา จึงขออนุญาตทำหน้าที่ประธานวิปรัฐบาล ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่ารองนายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองอย่างไรที่อาจมี 2-3 คน ไม่ผ่านคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี โดยเฉพาะนายพิชิต ชื่นบาน ทนายของตระกูลชินวัตร ที่จะเป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ นายอดิศรกล่าวว่า ไม่มีใครขาดคุณสมบัติ นายพิชิตไม่ได้ทำความผิดและพ้นเวลาละเมิดอำนาจศาลมาแล้ว ซึ่งอัยการสั่งไม่ฟ้อง แต่รู้สึกเสียดายนายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่มีชื่อจะเป็นรองนายกฯ ตั้งแต่ครั้งแรก ที่พูดไม่ได้ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง แต่นายชูศักดิ์มีลักษณะคล้ายนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จึงเป็นห่วงว่าฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลจะแข็งพอหรือไม่ และความสามารถของนายชูศักดิ์เป็นที่ยอมรับ ซึ่งได้แต่แสดงความเป็นห่วง

เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรไม่ให้การประชุมสภาล่มเหมือนที่ผ่านๆ มา นายอดิศรกล่าวว่า สิ่งที่สส.ทำยากที่สุด คือการมาประชุมสภา ไม่เหมือนตอนหาเสียง เพราะมีคนมาหา มาพูดคุยซึ่งเป็นมาทุกสมัย แต่ขอร้องว่าถ้า ทั้งสองฝ่ายให้ความร่วมมือกฎหมายก็จะผ่าน เมื่อถามอีกว่าแสดงว่าไม่การันตีว่าการประชุมจะไม่ล่มใช่หรือไม่ นายอดิศรกล่าวว่า เชื่อมั่นว่าคะแนนที่รัฐบาลได้ 300 กว่าเสียง น่าจะพอในการที่จะบริหาร แต่ขอร้องให้ทุกพรรค เข้าร่วมประชุม ไม่ใช่ประธานวิปไปหาสส. ตนขอเป็นเบ๊ให้สภาครั้งหนึ่ง

ตามสัญญา – นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จับมือกับนายภูมิธรรม เวชยชัย และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ภายหลังแถลงลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตามที่หาเสียงหากจับมือพรรค 2 ลุงจะลาออกจากหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 30 ส.ค.

‘ชลน่าน’ประกาศไขก๊อก
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่พรรคเพื่อไทยมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค เพื่อหารือ เกี่ยวกับกรณีที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยใช้เวลาหารือนาน 2 ชั่วโมง จากนั้นนพ.ชลน่านพร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ร่วมแถลงข่าว

นพ.ชลน่านกล่าวว่า จากการประชุมกก.บห.ครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดสุดท้าย ที่ตนเคยระบุไว้ว่าถ้าตนทำหน้าที่หัวหน้า เมื่อพิจารณารับผิดชอบในการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยเสร็จเรียบร้อย ตนจะมาประกาศกับสื่อมวลชนผ่านไปยังประชาชนว่าจะลาออกจากหัวหน้าพรรคตามที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2566 ในเวทีดีเบตหาเสียงเลือกตั้งสส.

“เมื่อวันนี้ภารกิจเสร็จเรียบร้อย ผม นพ.ชลน่านขอทำตามที่เคยประกาศไว้เป็นสัจจะที่ผมเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยและกก.บห.มีมติจัดตั้งรัฐบาลกับพรรค พลังประชารัฐ มีมติจับมือดีลกับลุงป้อม ผมในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมที่จะลาออก และขออนุญาตประกาศ ณ ตรงนี้ว่าขอลาออกจากหัวหน้าพรรคตามที่ผมได้ประกาศเอาไว้ ณ บัดนี้”

นพ.ชลน่านกล่าวว่า ที่ตนเลือกประกาศ ในวันนี้ เพราะเหตุผลความจำเป็นในการ จัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ ที่พรรคเพื่อไทยมีความจำเป็น โดยกก.บห.และสมาชิกพรรคส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ และขณะนี้อยู่ใน ขั้นตอนนำรายชื่อทูลเกล้าฯ ถือว่าภารกิจสำเร็จเรียบร้อย

‘ชูศักดิ์’รักษาการหัวหน้า
ด้านนายประเสริฐกล่าวว่า ในที่ประชุมกก.บห. นพ.ชลน่านได้กล่าวขอบคุณกก.บห.ทุกท่าน ตามข้อบังคับเมื่อหัวหน้าพรรค ลาออก กก.บห.ที่เหลือทั้งหมดต้องหมดสภาพ แต่ กก.บห.อื่นๆ นอกจากหัวหน้าพรรค ยังรักษาการอยู่ ซึ่งที่ประชุมวันนี้มีมติเลือกนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค ขึ้นมาเป็นรักษาการหัวหน้าพรรคแทน ส่วนการสรรหา กก.บห.ชุดใหม่ จะต้องทำในระยะเวลา 60 วัน

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากมีสมาชิกเสนอชื่อ ให้กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะรับหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ตนต้องนำ เรื่องนี้ไปพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน ยืนยันว่าการทำหน้าที่หัวหน้าพรรคที่ผ่านมา ทำงานด้วยความสุข ความภาคภูมิใจ ภารกิจที่ได้รับ มอบหมายจากพรรคในวันที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 ต.ค.2564 ทำให้พรรคเป็นสถาบันการเมืองเพื่อประชาชน ซึ่งได้รับการตอบรับจากสมาชิกและบุคลากรภายในพรรคเป็นอย่างดี

ช่วงวิกฤตรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พวกเราทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แต่สิ่งที่ได้รับคือ บทเรียนอันยิ่งใหญ่มาก หลังเลือกตั้งยิ่งทำให้ตนรู้สึกผูกพัน มีความรัก มีความยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค และเห็นผู้คนของพรรคทุ่มเทเสียสละเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ฉะนั้นคำกล่าวอ้างวาทกรรม ข้อโจมตีหรือข้อเห็นแย้งต่างๆ ล้วนเป็นมิติหนึ่งทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจของพวกเราคือทำเพื่อประชาชน

“ถามว่าผมรู้สึกอะไร ผมไม่มีความรู้สึกเสียใจ โกรธเคือง หรืออะไรต่างๆ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อ ทุกอย่างมีข้อกำจัด ทุกอย่างมีสิ่งต้องรับ และผูกมัดไว้ก็ต้องปฏิบัติตามแบบนั้น ผม ไม่ได้หนีไปไหนยังอยู่กับพรรคเพื่อไทยและ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด” นพ.ชลน่านกล่าว ต่อข้อถามว่าการลาออกจากหัวหน้าพรรคแต่ยังคงเป็นสส.และว่าที่รัฐมนตรี ใช่หรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า “ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ผมประกาศเอาไว้ ผมพูดไว้เพียงแต่ จะลาออกจากหัวหน้าพรรค”

กั๊กคัมแบ๊กหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าอยากฝากถึงประชาชนที่หมดศรัทธากับตัวเองหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรื่องศรัทธาและความเชื่อเป็นสิทธิส่วนบุคคล เป็นเสรีภาพบนพื้นฐานที่เขา ได้รับ หวังว่าประชาชนที่มีความรู้สึกแม้จะแตกต่างกัน หรือจะมีความเชื่อหรือศรัทธา หรือไม่อย่างไร หากได้พิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริง เชื่อว่าจะไม่ต้องมาบอกว่าศรัทธาหรือ ไม่ศรัทธา แต่เราพร้อมหันหน้าเข้าหากัน และมองจุดสำคัญของแต่ละคนที่เป็นประโยชน์ของบ้านเมือง ตรงนั้นน่าจะเป็นมุมที่ดีที่สุด

เราไม่สามารถตอบสนองความพึงพอใจของทุกคนได้ มีเพียงระดับหนึ่งที่ตอบสนองได้ และเป็นเรื่องธรรมดา หน้าที่ของเราคือ การทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน สมาชิกพรรคการเมือง อยู่ในมิติทางการเมือง ก็แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องให้เหมาะสมที่สุด ภายใต้สิทธิเสรีภาพของกฎหมาย

ต่อข้อถามว่าจะเป็นเหมือนพรรค การเมืองอื่นหรือไม่ที่ลาออกจากหัวหน้าพรรค แล้วมีการเสนอชื่อเข้ามาใหม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ขอให้ไปดูกระบวนการ เพราะระหว่างพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองกับบุคคลต้องแยกกัน ตนแสดงความรับผิดชอบในฐานะบุคคล ไม่ได้เอาพรรคมาเกี่ยวข้อง เกี่ยวเพียงแค่เล็กน้อยที่เป็นเหตุเป็นผลเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นพ.ชลน่าน นายภูมิธรรม และ นายประเสริฐ ต่างไหว้กัน พร้อมทั้งลุกขึ้นมาจับมือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

‘เสรีพิศุทธ์’ลาออกสส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีมีข่าวว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) ยื่นหนังสือลาออกจากสส. เมื่อสอบถามไปยังนายวิรัตน์ วรศสิริน อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรี รวมไทยยอมรับว่าได้ลาออกแล้วจริง ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ให้มีผลภายในวันที่ 1 ก.ย. ซึ่งลำดับถัดไปของบัญชีรายชื่อพรรคเสรี รวมไทย คือ นายมังกร ยนต์ตระกูล เลขาธิการพรรคเสรีรวมไทย แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม

ที่พรรคเสรีรวมไทย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แถลงว่า ตนได้ลาออกจากสส.ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. หลังรัฐสภาให้ความเห็นชอบ นายเศรษฐา เป็นนายกฯ ตนเสียสละมามาก ในการเลือกตั้งครั้งนี้ตนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมา 1 เสียง ขณะที่ผู้สมัครของพรรคเสรีรวมไทย มีความสามารถอีกหลายคน กลับไม่ได้รับเลือก แต่คนที่เมาแล้วขับรถชน คนที่ทะเลาะวิวาท ตบตีผู้หญิง มีประวัติรับโทษจำคุกมาก่อน กลับได้รับเลือก ทำให้ตนไม่ได้ศรัทธากับการเลือกตั้ง

ส่วนที่ตนเพิ่งลาออก เพราะยังมีภารกิจ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ตั้งแต่สมัยพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ เคยโทรศัพท์ติดต่อไป ขอเสียงสว.และพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อพรรคก้าวไกลไปไม่ได้ก็ต้องสนับสนุนพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ตนรู้จักนายทักษิณ ชินวัตร มานานแล้ว เพราะเป็นรุ่นพี่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จะทิ้งได้อย่างไร ตอนนี้ภารกิจเสร็จสิ้นแล้วก็จะลาออกมาสร้างพรรคใหม่ ตนทำหน้าที่ในสภามา 4 ปีแล้ว ไม่เคยไปขอตำแหน่งใคร ไม่เคยยึดติด จึงสละให้คนในพรรคได้ทำงานบ้าง แต่หันกลับไปเทียบกับคนที่จะเป็นรัฐมนตรีแย่งกันเหมือนหมา แย่งชามข้าว เวลามีชามข้าวชามเดียว แย่งกันวายป่วงไปหมด

ตอนนี้รัฐมนตรีก็แย่งกัน เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ตนสงสัยว่าพวกนี้พอไปนั่ง เจ้ากระทรวงไม่อายข้าราชการประจำกัน บ้างหรือ ข้าราชการประจำอย่างตนเติบโต มาอย่างมีระบบระเบียบ แต่มาเจอเจ้านาย แย่งผลประโยชน์กันน่าดู เคารพได้หรอ นักการเมืองไทยมีคนซื่อสัตย์สุจริตบ้างไหม ซื้อเสียงเข้ามา ทุจริตแล้วกลับไปซื้อเสียง กันใหม่ โกงกันทั้งนั้น ตนยืนยันไม่เคยสัญญากับพรรคเพื่อไทยว่าเข้ามาช่วยเพื่อแลกกับตำแหน่งอะไร แตกต่างจากพรรคก้าวไกล ที่เสนอตำแหน่งให้ และไม่ผิดหวังที่ไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ เพียงแต่สงสัยที่ตั้งคนที่มีคดีติดตัวไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์อย่าง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รุ่นน้องตนเป็นรมว.ศึกษาธิการ เห็นแล้วปวดหัว

ซัดแหลกแย่งชามข้าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หน้าตาครม.ดูไม่เหมาะสมใช่หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ก็ไป ดูเอา พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนตายเจ็บเยอะจึงถูกดำเนินคดี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แต่เนื่องจากเป็นผบ.ตร. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มาออกคำสั่งยกโทษให้ แต่ตนถามว่า ยกโทษให้ความผิดยังอยู่หรือไม่

ส่วนกรณีทนายของตนยื่นสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ตรวจสอบคุณสมบัติ พล.ต.อ.พัชรวาทนั้น เป็นความ หวังดีของทนายที่ต้องการให้เกิดความ เป็นธรรมในสังคม เพราะหากปล่อยให้เสนอชื่อในครม. เลขาธิการครม. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รวมถึงนายเศรษฐา อาจติดคุกได้ เพราะเวลาเสนอรายชื่อขึ้นไปจะมีการแนบเอกสารข้อเท็จจริงขึ้นไปทั้งหมด แต่ถ้าครั้งนี้ตรวจสอบแล้วบอกว่าไม่ผิด ตนจะมาตรวจสอบต่อ และหากส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วขาดคุณสมบัติ คนเหล่านี้จะต้องติดคุก

การไปตรวจสอบประวัติพล.ต.อ.พัชรวาทจะไม่สร้างความขัดแย้งให้กับพรรคร่วม เพราะตนอยู่กับแค่ 8 พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่ 11 พรรคร่วม ไม่ได้ร่วมกับพรรคสองลุงและพรรคภูมิใจไทย ผู้สื่อข่าวถามกรณีนายพิชิต ชื่นบาน ว่าที่รมต.ประจำสำนักนายกฯ อ้างว่าไม่ได้ถูกคำพิพากษาแต่จำคุกการจากหมิ่น ศาล พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ตรวจสอบ

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวถึงกรณีที่ นายเศรษฐาไปพบพล.อ.ประยุทธ์ ว่า “พอเสร็จนายเศรษฐาก็ไปพบประยุทธ์ คุยกันหนุงหนิง ผมก็ไม่รู้หรอกเขาคุยอะไร แต่สิ่งที่จะคุยกันคือ มึงทำได้ไงว่ะ เขาปฏิวัติมึง แล้วมึงก็ไปคุยกับเขาเฉยเลย มันต้องมีการสมยอม ข้อตกลงอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ประยุทธ์ ผิดพลาด ถ้าเป็นเสรีพิศุทธ์ขึ้นมา ประยุทธ์ ก็ไม่มีแผ่นดินอยู่ พอเป็นเศรษฐา ประยุทธ์ ก็ยิ้มย่อง แบบนี้ตกลงกันจริงหรือป่าว ตกลงแบบนี้หักหลังประชาชน”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ใครหักหลัง พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐาจะรู้จักใคร ต่อข้อถามว่า นายเศรษฐาเป็น หุ่นเชิดใช่หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ย้อนถามว่า “เขาไม่รู้ตัวหรือ” เมื่อถามว่าใคร เป็นคนชักใยเบื้องหลัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า “ก็เจ้าของพรรคเขา” ต่อข้อถามกรณี นายสุทิน คลังแสง เป็นว่าที่รมว.กลาโหม พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า กลุ้มใจ หลายตำแหน่งไม่รู้ตั้งกันไปได้อย่างไร

‘บัญญัติ’ออกโรงแฉ‘เดชอิศม์
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ ให้สัมภาษณ์กรณีนายเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคดูแลภาคใต้ พาดพิงเป็นสาเหตุที่ทำให้เคยย้ายไปอยู่พรรคไทยรักไทยว่า ตอนตนเป็นหัวหน้าพรรค หลักใหญ่ที่ใช้ตัดสินใจสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนใครให้ลงสมัครสส. มี 2 หลักการ หลักแรกมักให้สส.ในจังหวัดพูดจาและลงความเห็นกันเอง หลักที่สองใช้หลัก กก.บห. โดยเฉพาะให้ รองหัวหน้าพรรคเป็นหลัก ยืนยันตนตัดสินใจไม่ผิด เพราะการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคได้สส.สงขลายกจังหวัดเช่นกัน ไม่เข้าใจทำไมนายเดชอิศม์ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดในเวลานี้

ยืนยันว่า 21 ส.ค.ที่ผ่านมา พรรคมีมติ ให้งดออกเสียงโหวตนายเศรษฐา เป็นนายกฯ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ สส.สงขลา บอกว่าเมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาลแนวทางมติมีเพียง งดออกเสียงกับไม่เห็นชอบ ซึ่งถูกต้อง งดออกเสียงคือปฏิเสธแบบสุภาพ แม้กระทั่งนายเดชอิศม์เองพูดในที่ประชุมว่าอยาก ให้งดออกเสียง หลังพอดูออกว่าอยากให้ งดออกเสียงจำนวนมาก นายชวน หลีกภัย ลุกขึ้นบอกว่าขอลงมติไม่เห็นชอบ ตนอภิปรายต่อ สุดท้ายนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรค พูดว่าคงไม่ต้องลงมติมั้ง นายเดชอิศม์ยังลุกขึ้นทักท้วงว่าไม่ต้อง มีมติหรือ ตนบอกว่าสิ่งที่นายจุรินทร์พูดหมายความว่าไม่ต้องลงคะแนน เพราะฟังดูแล้วเสียงส่วนใหญ่ให้งดออกเสียง จึงถือว่า วันนั้นมีมติพรรคแน่นอน

นายบัญญัติกล่าวว่า ทราบว่านายจุรินทร์กำลังเล็งหาคนเป็นประธานคณะกรรมการ มาทำหน้าที่สอบข้อเท็จจริงเรื่องที่เกิดขึ้น คณะกรรมการชุดนี้จะทำความชัดเจนได้ มากขึ้น ทั้งเรื่องพรรคมีมติหรือไม่มีมติ และใครกันแน่ที่ฝ่าฝืนมติพรรค ถือเป็นเรื่องดี จะได้จบ ไม่คาราคาซังกันอีก หลังลงมติโหวตนายกฯ ผ่านพ้นไป มีสส.ใหม่มาปรับทุกข์ว่าไม่สบายใจที่ลงมติเห็นชอบ ตนได้ให้สติ ไปว่าอาจมีอีกหลายคนที่คิดแบบเดียวกัน จึงแนะนำว่าการทำการเมืองมีเพื่อนเป็นเรื่องดี แต่อย่าตามใจเพื่อนจนเสียหลัก เป็นนักการเมืองความคิดของตัวเองสำคัญ แต่ความคิดของ คนอื่นสำคัญกว่า โดยเฉพาะประชาชน กรณีไปลงคะแนนกันตนคิดว่าอันตราย เพราะในความรู้สึกของชาวบ้านอาจมองว่าเราอยาก เป็นรัฐบาลมากเหลือเกินหรือไม่ และอาจถูกมองว่าเราตกเป็นเหยื่อ

‘ไอลอว์’ยื่น 2 แสนชื่อชงประชามติ
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) พร้อมเครือข่าย นำโดยนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล แกนนำกลุ่มราษฎร และเครือข่ายกลุ่มประชาชนตั้งรัฐธรรมนูญ นำรายชื่อประชาชน 212,139 คน ที่ร่วมลงชื่อเสนอคำถามทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มายื่น ต่อกกต.

ตัวแทนเครือข่ายกล่าวว่า การเข้าชื่อ ครั้งนี้มีความสำคัญมาก ทุกคนที่ต้องการประชาธิปไตยต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ร่างใหม่ให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คำถามที่จะทำประชามติต้องถูกเสนอโดยประชาชน ครั้งแรกที่ประชาชนจะเป็น ผู้กำหนดคำถามเอง เข้าชื่อโดยประชาชนเอง เราต้องการเพียงแค่ 50,000 รายชื่อ แต่ได้มากกว่า 212,139 รายชื่อ จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นายยิ่งชีพกล่าวว่า เราสามารถคีย์รายชื่อ ลงในระบบไมโครซอฟท์เอ็กซ์เซลได้ภายใน 3-4 วัน หวังว่ากกต.จะเร็วกว่าเรา และอยากถามกกต.ว่าจะตรวจสอบรายชื่อเสร็จกี่โมง เรารออยู่ อย่าช้ากว่าเรา เพราะอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ยื่นแล้วสามารถตรวจสอบเสร็จได้เลย และนำข้อเสนอนี้ไปวางที่โต๊ะก่อนการประชุมครม.นัดแรก นี่คือสิ่งที่เราอยากเห็น

‘วิษณุ’ชี้นายกฯ-เสนอชื่อผบ.ตร.
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงพ.ร.บ.ตำรวจ แห่งชาติ ฉบับใหม่ จะมีผลต่อการพิจารณาแต่งตั้งตำรวจได้ยากกว่าเดิมหรือไม่ว่า ยอมรับว่ายุ่งยากกว่าเดิม เพราะมีการกำหนดไว้ว่ารายชื่อบุคคลต้องมาจากที่ไหน ส่งมาตามลำดับอย่างไร และกำหนดจำนวนโควตาไว้ชัด เช่น ตำแหน่งอะไรขึ้นไปเป็นอะไร 100 % ตำแหน่งอะไรไปเป็นอะไร ใช้อาวุโส 50% และตำแหน่งอะไรขึ้นไปเป็นอะไร 30% เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า การแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ ที่จะให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ มาพิจารณา จะต้องยึดหลักเกณฑ์อะไร นายวิษณุกล่าวว่า ใช้หลักเดียวกัน แต่ไม่ได้แปลว่าใช้โผรายชื่อเดียวกัน ต่อข้อถามว่า รอง ผบ.ตร.ที่จะขึ้นเป็นผบ.ตร.ต้องใช้เรื่องอาวุโส ขึ้นมาพิจารณาด้วยหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ใช้อาวุโสประกอบ แต่ไม่ได้ใช้เรื่องอาวุโสเป็นหลัก ไม่เหมือนกับระดับผู้บัญชาการที่ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.

ต่อข้อถามถึงความชัดเจนหากพิจารณารองผบ.ตร.ลำดับ 4 ขึ้นมา จะทำให้รองผบ.ตร. ลำดับ 1-3 ฟ้องร้องได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่ตอบ ต้องไปดูที่ต้นเรื่องว่าใช้เหตุผลอะไรที่เสนอชื่อ ต้องบอกเหตุผลประกอบ หากเหตุผลฟังได้ก็แล้วไป เหมือนกับคราวที่แล้ว การพิจารณากรณีของพล.ต.อ.สุวิระ ทรงเมตตา กับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เป็นผบ.ตร. โดยพล.ต.อ.สุวิระ มีอาวุโสมากกว่าแต่คนที่เสนอชื่อได้อธิบายเหตุผลมาว่าใครเหมาะกว่าใคร เพราะอะไร เพื่อให้ที่ประชุมเป็นผู้ลงมติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงมติตามที่เสนอ แต่ท้ายสุดที่ประชุมดังกล่าวลงมติตามที่ผบ.ตร.ตอนนั้นเสนอ เรื่องก็จบ

เมื่อถามว่าพ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ คนที่มีสิทธิ์เสนอชื่อผบ.ตร.ต้องเป็น ผบ.ตร.คนเก่าหรือนายกฯ นายวิษณุกล่าวว่า เป็นผบ.คนเก่า แต่เนื่องจากผบ.คนเก่ามีส่วนได้เสีย จึงกลายเป็นนายกฯ เสนอ แต่ย้ำว่าเสนอชื่อมาแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาตามนั้น เพราะการแต่งตั้งผบ.ตร.นอกจากเรื่องอาวุโสต้องดูเรื่องความเหมาะสม และอีกหลายอย่างประกอบด้วย

โปรดเกล้าฯทหาร762ตำแหน่ง
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ราชกิจจานุเบกษาประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้นายทหาร รับราชการ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการ สนองพระเดชพระคุณ รวม 762 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีตำแหน่งสำคัญ ประกอบด้วย

กองทัพไทย พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) พล.อ.อนุสรณ์ คุ้มอักษร เป็นรองผบ.ทสส. พล.อ.โดมศักดิ์ คำใสแสง เป็นรองผบ.ทสส. พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน เป็นรองผบ.ทสส. พล.อ.อ.ชานนท์ มุ่งธัญญา เป็นรองผบ.ทสส.

กองทัพบก พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.สุขสรรค์ หนองบัวล่าง เป็นรองผบ.ทบ. พล.อ.กิตติศักดิ์ บุญพระธรรมชัย เป็นประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ เป็นผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ เป็นผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.ท.พนา แคล้วปลอดทุกข์ เป็นเสนาธิการทหารบก พล.ท.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ต.ประสาน แสงศิริรักษ์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 3

กองทัพเรือ พล.ร.อ.อะดุง พันธ์เอี่ยม เป็นผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข เป็นรองผบ.ทร. พล.ร.อ.โกวิท อินทร์พรหม เป็นประธานคณะที่ปรึกษา กองทัพเรือ พล.ร.อ.ชลทิศ นาวานุเคราะห์ เป็นผู้ช่วยผบ.ทร. พล.ร.อ.วรวุฒิ พฤกษารุ่งเรือง เป็นเสนาธิการทหารเรือ พล.ร.ท.ชาติชาย ทองสะอาด เป็นผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ

กองทัพอากาศ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) พล.อ.อ.ณรงค์ อินทชาติ เป็นรองผบ.ทอ. พล.อ.อ.พงษ์สวัสดิ์ จันทสาร เป็นประธานคณะ ที่ปรึกษากองทัพอากาศ พล.อ.อ.วิศรุต สุวรรณเนตร เป็นผู้ช่วยผบ.ทอ. พล.อ.อ.อนันตชัย แก้วศรีงาม เป็นผู้ช่วยผบ.ทอ. พล.อ.ท.เสกสรรค์ คันธา เป็นเสนาธิการทหารอากาศ

สั่งสรุปผลงานเพื่อเลือก‘ผบ.ตร.’
วันที่ 30 ส.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มีหนังคำสั่งลงวันที่ 25 ส.ค. ใจความระบุว่า “เรื่อง การคัดเลือก แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ, พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.”

ด้วย ก.ตร.ในการประชุมครั้งที่ 9/2556 เมื่อ 25 ส.ค.66 ได้มีมติให้ถอนเรื่องการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ออกจากระเบียบวาระการประชุมตามที่นายกรัฐมนตรี ประธาน ก.ตร. เสนอ เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลโดยให้นายกรัฐมนตรี ท่านใหม่ได้เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกข้าราชการตำรวจที่จะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ต่อไป

เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของนายกรัฐมนตรีในการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่จะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. จึงให้ท่านดำเนินการจัดทำผลการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งสรุปสภาพปัญหาการปฏิบัติงานหรือสภาพปัญหาของ ตร. ในปัจจุบัน และแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวในอนาคตหากได้รับการคัดเลือกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. โดยจัดทำเป็นเอกสารรวมจำนวนไม่เกิน 4 แผ่น (ขนาด A4) แล้วส่งไปยัง ตร.(ผ่าน สกพ.) ภายใน 1 ก.ย. 66 จึงแจ้งมาเพื่อทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้มีรายงานว่า เวลาต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกันก็ยังได้มีคำสั่งย้ำอีกครั้ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน